บทที่ 982 ชายขอบของเวลา
เสียงสวรรค์ดังสะท้อนในใต้ทะเล
กลิ่นอายความตายกำลังใกล้เข้ามา
ไม่ว่าจะเป็นข้างหน้า หรือข้างหลัง
แต่สวี่ชิงที่แปลงเป็นวิหคทอง ตอนนี้ในดวงตาแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่น คว้าท่อนแขนขาดเอาไว้ ไปตามท่วงทำนองของเสียงสวรรค์ พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วทั้งหมด
ขณะที่พุ่งไป สายตาของเขาฉายประกายวาบ ยิงเพลิงวิหคทองของตัวเองออกมา
เพียงพริบตา เปลวเพลิงลุกโหมขึ้นมาบนร่างสวี่ชิง ราวว่าใต้ทะเลมีดอกไม้แห่งเปลวเพลิงดอกหนึ่งเบ่งบาน
หอบม้วนไปทั่วทุกสารทิศ
ทุกอย่างนี้ทำให้เขาที่อยู่ใต้ทะเลเจิดจ้าพร่างพราย ราวลูกธนูเปลวไฟ ดึงดูดสายตาทุกคู่ได้ไปตามสัญชาตญาณ
พุ่งตรงไปทางราชรถสัมฤทธิ์ที่มาเยือนอย่างรวดเร็ว
เสี้ยวขณะนี้ สวี่ชิงในใจว่างเปล่า ความคิดทั้งหมดเขาปิดกั้นมันไว้ข้างนอก ทั้งคนจมอยู่สภาวะที่แปลงเป็นวิหคทอง จมอยู่ในเสียงเพลงบรรเลงจากท่อนแขนขาด
เหมือนวิหคทองตัวหนึ่งจริงๆ เข้าใกล้ไปยังราชรถสัมฤทธิ์เรื่อยๆ
โคลนใต้ทะเลแผ่ออกไป น้ำทะเลดำสนิทยิ่งขุ่นมัว และจากการลุกไหม้ของเปลวเพลิงทั่วร่างสวี่ชิง ในน้ำทะเลขุ่นมัวนี้ก็กลายเป็นจุดดึงดูดสายตา ดังนั้น สายตาของฝูเสียจึงจับจ้องตามมา
ทันทีที่สายตาจับจ้องมา ทั่วตัวของวิหคทองที่แปลงร่างมาจากสวี่ชิงก็สะท้านเฮือก
เขาสัมผัสได้ถึงพลังสายตาของเจ้าเหนือหัวอีกครั้ง หรือพูดได้ว่า สัมผัสได้ถึงน้ำหนักของอำนาจในสายตา
นั่นคือการลบเลือน การตัดเฉือน
ลบร่องรอยทิ้งไป ตัดเฉือนการมีตัวตนอยู่ทิ้ง
ในสายตานี้ เปลวเพลิงสีดำที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาก็พลันมอดดับ ถูกตัดขาด
และในตอนนี้เอง ในน้ำทะเลที่ไกล ตัวตนน่าครั่นคร้ามที่อยู่ท่ามกลางความรางเลือนก็ปรากฏขึ้นในสายตาของวิหคทองที่แปลงร่างมาจากสวี่ชิง
นั่นคือยักษ์ตัวใหญ่โตมโหฬารตนหนึ่ง!
ร่างสูงใหญ่ของมันเต็มไปด้วยรยางค์ ขยับไหวไม่หยุด ที่ไหล่ของมันยังแบกโซ่เหล็กเส้นหนาเส้นหนึ่งเอาไว้ด้วย
โซ่เหล็กทอดตัวยาวไปยังที่ไกล ท่ามกลางความรางเลือนจะมองเห็นที่สุดปลายโซ่เป็นราชรถสัมฤทธิ์คันหนึ่ง
ราชรถคันนี้ผุพัง บนนั้นเต็มไปด้วยสนิม เต็มไปด้วยร่องรอยของกาลเวลา แต่ตัวรถสูงใหญ่ รูปสลักที่ทั้งวิจิตรปราณีตแต่ไม่ขาดความยิ่งใหญ่ ทำให้บนนั้นแผ่รัศมีอำนาจจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งออกมา
เห็นว่ายักษ์ตอนนี้ลากราชรถสัมฤทธิ์ ก้าวฝีเท้ายาวอยู่ใต้ทะเล ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงมา มหาสมุทรเกิดคลื่นตะกอน ทำให้คลื่นทะเลแผ่ออกไป
สิ่งที่ปรากฏพร้อมกับมันคือเสียงกัดฟันน่ากลัวดังกรอดๆ กรอดๆ!
ทันทีที่ดังขึ้นในหูสวี่ชิง ความหวาดกลัวก็ผุดขึ้นมาในใจเขา แม้ด้วยพลังบำเพ็ญของเขาในตอนนี้ เมื่อพบยักษ์ลากราชรถตนนี้อีกครั้ง ทว่าพลังกดดันที่มาจากอีกฝ่ายก็ยังคงทำให้ทั่วทั้งร่างของเขาสั่นสะท้านไปตามสัญชาตญาณ
แต่ความเร็วของสวี่ชิงไม่ช้าลงเลยแม้แต่น้อย กลับเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เพียงพริบตาก็ทะลุผ่านกระแสน้ำเชี่ยว พุ่งทะลุโคลนตม ปรากฏตัวต่อหน้ายักษ์ลากราชรถ
เทียบกับยักษ์ วิหคทองที่แปลงร่างมาจากสวี่ชิงเล็กจ้อยไร้ค่าที่จะพูดถึง
แต่กลิ่นอายของวิหคทอง ตลอดจนเพลงบรรเลงที่ดังมาจากท่อนแขนขาด ในเสี้ยวขณะนี้…ก่อขึ้นเป็นผลกรรมเวรพิเศษ ไม่อาจตัดได้ขาด
ดังนั้น ฝีเท้าของยักษ์หยุดชะงัก เงยหน้าขึ้น
ปล่อยให้วิหคทองที่แปลงร่างมาจากสวี่ชิงปรากฏขึ้นข้างหน้ามา แล้วพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วจากข้างศีรษะของมัน
อาศัยร่างอันใหญ่โตของมันขวางไว้ข้างหน้าฝูเสีย
สวี่ชิงวางเดิมพันได้ถูกแล้ว
เพียงแต่…แทบจะในเสี้ยวพริบตาที่สวี่ชิงประชิดเข้าใกล้ยักษ์ลากราชรถ ฝูเสียดึงสายตาที่จับจ้องไปบนร่างสวี่ชิง
“ตัวเจิดจ้าพร่างพราย ทำให้สายตาของข้าจับจ้องไปตามสัญชาตญาณ จากนั้นอาศัยการขัดขวางจากร่างยักษ์ลากราชรถ ทำให้สายตาที่แฝงไว้ด้วยจิตสังหารของข้าจับจ้องไปที่ยักษ์ตนนี้ จากนั้นก็กระตุ้นเงื่อนไขที่ไม่รู้บางอย่าง สร้างอุปสรรคขัดขวางขึ้นมาอย่างนั้นหรือ”
“เข็มสมบัติของมหาจักรพรรดิที่อยู่กับลูกข้าเล่มนั้น คงอยู่กับเจ้ากระมัง ร้อยเรียงเชื่อมโยงผลกรรมเวรของข้า เจ้ายังทำไม่ได้”
“มีแผนการ แต่ยังไม่มาก”
ฝูเสียเอ่ยราบเรียบ เพียงก้าวเดียวก็ข้ามผ่าน หลบหลีกราชรถ
เรื่องนี้สำหรับเขาแล้วไม่ยาก
ในเมื่อไม่ว่ายักษ์ลากราชรถตนนี้ในยามที่มีชีวิตจะน่าครั่นคร้ามเพียงใด แต่ตอนนี้ก็เป็นแค่ซากศพเท่านั้น ต่อให้ยังเหลือสัญชาตญาณอยู่บ้าง แต่ขอเพียงไม่ไปแตะ ย่อมไม่เป็นอะไร
แต่วิธีของสวี่ชิง ถึงจะถูกมองออก แต่ภายใต้วิกฤตเป็นตายเช่นนี้ จะมีแค่วิธีเหล่านี้ที่ฝูเสียพูดมาได้อย่างไร
ดังนั้น เสี้ยวขณะต่อมา ทันทีที่วิหคทองที่แปลงร่างมาจากสวี่ชิงพุ่งผ่านข้างศีรษะยักษ์ลากราชรถไปอย่างรวดเร็ว ท่อนแขนขาดที่เขาคว้าเอาไว้ ดวงตาที่กลางฝ่ามือก็แดงก่ำขึ้นมาทันที
ภูตผีมหาศาลปรากฏขึ้นทันใด
บทเพลงเสียงสวรรค์แต่เดิมเปลี่ยนไปในบัดดล กลายเป็นเสียงโหยหวนครวญครางทันควัน
บทเพลงก็ยังคงเป็นบทเพลงนั้น แต่เสียงกลับน่าขนลุก
กลายเป็นเสียงของขบวนร้อยภูตผีแห่งรัตติกาล
ซึ่งก็เป็นเสียงที่สำแดงในยามท่อนแขนขาดข้างนั้นอัญเชิญจันทร์แห่งความเสื่อมโทรมออกมาตอนที่เผชิญหน้ากับสวี่ชิงเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง
เพียงพริบตา ใต้ทะเลเดือดพล่าน เงาจันทร์เสื่อมโทรมดวงหนึ่ง พลันปรากฏขึ้นข้างหน้ายักษ์ ข้างกายฝูเสีย
ใบหน้าหญิงสาวเหี้ยมเกรียมบนนั้น ดวงตาทั้ง 2 ลืมขึ้น มองไปทางที่นี่ มองไปทางฝูเสีย!
พลังต้องห้ามเทพที่เหมือนคำสาปกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งสะท้านฟ้าในเสี้ยวขณะนี้
พลังอำนาจเทพมหาศาลเกรียงไกร
ยักษ์ลากราชรถยิ่งสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ศีรษะก้มลงไป แววตาขุ่นมัวจับจ้องไปทางฝูเสียทันที
ฝูเสียขมวดคิ้ว ร่างหยุดชะงักกลางท้องฟ้า สายตาฉายแววแปลกประหลาด
ขณะเดียวกัน สวี่ชิงทางนั้นก็ทุ่มเททุกอย่าง อาศัยโอกาสนี้ ไหมวิญญาณในร่างลุกไหม้ ลำแสงหลบหนีฉาบวาบขึ้นอีกครั้ง
เพียงพริบตา เงาร่างของเขาก็หายไปจากข้างหลังยักษ์
ในยามที่ปรากฏตัวขึ้น ก็อยู่ห่างออกไปหมื่นลี้แล้ว
บนผิวน้ำ
เงาร่างสวี่ชิงพลันปรากฏขึ้นมา ปากกระอักเลือดไม่หยุด ปรอทเซียนที่ไหลออกมาจากกายเนื้อปริแตกมากยิ่งขึ้น ผสมไปกับเลือด หยดลงไปในมหาสมุทร
ฝีเท้าโซเซยิ่งกว่าเดิม เหมือนว่าจะยืนได้ไม่นิ่งแล้ว
กลิ่นอายความตาย จากความบิดเบี้ยวและเน่าเปื่อยของวิญญาณ กำลังแผ่ลามไป
นั่นคือพลังคำสาปของพระจันทร์แห่งความเสื่อมโทรม
แม้คำสาปที่แผ่ออกมาจากการปรากฏขึ้นของเงาจันทร์ก่อนหน้านี้จะไม่ได้ตั้งเป้าโจมตีเขา แต่เศษพลังที่แผ่มาก็ยังคงทำให้วิญญาณของสวี่ชิงทางนี้เน่าเปื่อย
แต่ว่าวิธีแก้คำสาป สวี่ชิงนั้นรู้
ดังนั้นเพียงพริบตาที่ปรากฏตัวขึ้น เขาก็ควบคุมท่อนแขนขาดให้บรรเลงเสียงสวรรค์รับจันทร์ที่แท้จริง
เพลงนี้ลอยออกมา ดังไปในวิญญาณ นี่ถึงทำให้ความเน่าเปื่อยของวิญญาณสวี่ชิงสลายไป
จากนั้นเขาก็ถ่ายทอดเสียงทันที แต่เสี้ยวขณะต่อมา…สีหน้าของสวี่ชิงเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม
“ยังอยู่ในขอบเขตของเขา!”
สวี่ชิงพึมพำ ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น กัดฟันลำแสงหลบหนีต่อไป
เพียงพริบตา เงาร่างหายไป
เวลาไหลผ่านไปช้าๆ
ทะเลต้องห้าม ระลอกคลื่นซัดขึ้นลง
ผิวน้ำดำสนิท มองไปไร้ขอบเขต เทียบกับเมื่อก่อนแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ในเกาะต่างๆ หรือจะเป็นเรือที่ออกเดินทางอยู่ในทะเล สรรพสิ่งทั้งหลาย ทุกอย่างล้วนเป็นปกติ
ที่ควรฝึกบำเพ็ญก็ฝึกบำเพ็ญ ที่ควรล่าเหยื่อก็ล่าเหยื่อ เสียงเอะอะโหวกเหวก ดังสะท้อนก้องไปในพลบค่ำของหมู่เกาะมากมาย
มีเพียงแสงอาทิตย์โพล้เพล้ที่สาดทอลงมาค่อยๆ สลายหายไปในคลื่นสีดำ
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดหม่น
ราตรีกำลังเดินมา
ไม่มีใครรู้ตัว และไม่มีใครสัมผัสได้ว่า บนทะเลต้องห้ามตอนนี้ การไล่ล่าสังหารอันดุเดือดกำลังดำเนินไป
ร่องรอยทุกอย่างล้วนถูกลบไป
อำนาจลบเลือนที่มาจากฝูเสียสามารถทำให้ผู้บำเพ็ญที่มีพลังบำเพ็ญไม่เท่าเขา สัมผัสไม่ได้แม้เพียงน้อยนิด
ส่วนในตอนนั้น จักรพรรดิเก่าแก่ที่ติดตามจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว บุกเบิกแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีพลังบำเพ็ญถึงระดับมหาจักรพรรดิขั้นสุดยอดคนนั้น กรรไกรล้ำค่าที่เขาทิ้งเอาไว้…
นั่นเป็นอาวุธของเผ่าในแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณี เกี่ยวพันกับอำนาจ
เดิมทีบรรพจารย์เป็นผู้ถือครอง แต่เมื่อร้อยปีก่อนเนื่องจากฝูเสียปิดด่านทะลวงระดับเจ้าเหนือหัวได้ ด้วยเหตุนี้บรรพจารย์จึงมอบให้ ในร้อยปีมานี้ก็ลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา คอยตัดเคราะห์ร้ายที่ทะลวงขั้นล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าให้กับเขา
ขณะเดียวกัน ความสำคัญของมันยิ่งกว่านั้นคือให้ฝูเสียบรรลุ ได้รับอำนาจลบเลือนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะเจ้าเหนือหัวเผ่าพวกเขาเท่านั้น
ในเสี้ยวพริบตาที่ฝูเสียสำเร็จ ภายใต้การเพิ่มพลังจากกรรไกรล้ำค่า พลังลบเลือนของเขาก็ถึงระดับสูงสุด
แม้สัมผัสรับรู้ของระดับมหาจักรพรรดิยากจะตัดทิ้งไปได้ แต่ในเวลาสั้นๆ ลบเลือนไป ของวิเศษชิ้นนี้สามารถทำได้
อาณาเขตยิ่งไร้ขอบเขต
ดังนั้น ต่อให้สวี่ชิงทั้งๆ ที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าคน แต่กลับไม่อาจสัมผัสได้ ทั้งๆ ที่เป็นห้วงมิติแต่กลับไร้รูปร่าง
ตอนนี้ก็เช่นกัน
และการไล่ล่าสังหารล้วนเงียบงันไร้เสียงมาโดยตลอด
เขาทุ่มเททุกอย่างที่มีแล้ว
แต่การถ่ายทอดเสียงก็ยังคงไร้ผล
เหมือนว่าฟ้าดินล้วนอยู่ในอาณาเขตของฝูเสีย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ความรู้สึกนี้ จากการมาเยือนของราตรีมืด จากการมอดดับไปของความหวัง ก็ครอบงำซึ่งทุกสิ่ง
“เหลือแค่ลำแสงหลบหนีครั้งสุดท้ายแล้ว…”
ในราตรีมืด บนผิวน้ำที่ห่างจากเผ่าเต่ายักษ์สมุทรไปไม่ไกล สวี่ชิงสีหน้าขาวซีด เขาในเสี้ยวขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อหรือวิญญาณล้วนมาถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว
แต่ในใจของเขายังคงสงบนิ่งเช่นเดิม
ต่อให้ถูกเจ้าเหนือหัวไล่สังหาร ต่อให้เป็นวิกฤตชีวิตเป็นตาย แต่ความเป็นความตายประเภทนี้ ในชีวิตนี้เขาผ่านประสบการณ์มาหลายครั้ง
ครั้งนี้แม้จะอันตรายยิ่งกว่า แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่อาจปล่อยให้ความรู้สึกด้านลบมาควบคุมสติ
ดังนั้น สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ทำให้ความเป็นมนุษย์ที่ตลอดทางมานี้ดับมันเองมาตลอดทางให้สูญเสียประกายไปโดยสมบูรณ์ ทำให้ความเป็นเทพที่มีหลักการเหตุผลเป็นอย่างยิ่งผุดขึ้นมาในร่าง
ดวงตาทั้ง 2 ของเขายิ่งล้ำลึก หันกลับไปมองข้างหลัง
การวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล ผุดขึ้นมาในหัว
เขารู้ว่ายักษ์ลากราชรถแม้จะสามารถส่งผลกระทบให้กับเจ้าเหนือหัวได้ แต่มีความเป็นไปได้สูงมากว่าขัดขวางได้ไม่นานเท่าไร
อย่างไรเสียง จะเป็นยักษ์ลากราชรถก็ดี จะเป็นพระจันทร์แห่งความเสื่อมโทรมล้วนแต่เป็นสิ่งไร้ชีวิตทั้งสิ้น
“และเหตุที่คนคนนี้ปล่อยให้ข้าหนี มีความเป็นไปได้มากว่าเป็นการจงใจ”
“เหมือนว่าจะใช้วิธีนี้ลบตัวตนของข้าไปอีกขั้นหนึ่ง”
“ตอนนี้ดูแล้ว เขาทำสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง”
สวี่ชิงมองอสูรสมุทรตัวหนึ่งที่ว่ายช้าๆ จากในน้ำทะเลข้างล่างเขา
หากเป็นเมื่อก่อน อสูรสมุทรประเภทนี้หลังจากที่สัมผัสสวี่ชิงได้จากที่ไกลๆ ก็จะตัวสั่นงันงกหลบหนี แต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
“น่าจะเป็นผลกรรมเวรบนร่างข้าที่ทำให้เขาหวาดระแวง ดังนั้นจึงไม่ได้เลือกที่จะลงมือฆ่าในทันที”
“หนีต่อไปก็ไร้ความหมายแล้ว”
สวี่ชิงขบคิดอย่างสงบนิ่ง
สำหรับอำนาจของอีกฝ่าย สวี่ชิงไม่อาจรอบรู้ได้ทั้งหมด ยากจะวิเคราะห์ความจริงและทฤษฎีออกมา ทำได้เพียงแค่ใช้เบาะแสที่รู้ไปวิเคราะห์พฤติกรรม
ดังนั้นหลังจากนั้นหลายอึดใจ สายตาของสวี่ชิงก็มองไปยังใต้มหาสมุทร
“เขาต้องการเวลามาลบข้า และข้าก็ต้องการเวลาให้โลกภายนอกรับรู้ถึงการหายตัวไปของข้าทางอ้อมเช่นกัน”
“แต่ทางทฤษฎีแล้ว เวลาของเขาเร็วยิ่งกว่า”
“ดังนั้นสิ่งที่ข้าต้องทำให้ตอนนี้คือทำให้เวลาของเขาช้าลง เพื่อเพิ่มเวลาของข้า…เช่นนั้นมีที่แห่งหนึ่งที่เหมาะมาก”
สวี่ชิงสัมผัสไหมวิญญาณที่เหลืออยู่น้อยนิดในร่างกายอย่างเย็นชา ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนว่าไม่ใช่ของตัวเองจัดการเผาไหม้มันทันที
แลกเอาลำแสงหลบหนีครั้งสุดท้ายมา ร่างหายไปในทันใด
เสี้ยวพริบตาที่ปรากฏตัวขึ้น ก็มาอยู่ในทะเลลึกแล้ว นั่นเป็นร่องมหาสมุทรแห่งหนึ่ง
แต่บาดแผลที่เกิดสสะสมมาอย่างต่อเนื่องในตอนนี้ทะลุขีดจำกัดแล้ว
ร่างของเขาสลายไปข้างนอก เลือดนับไม่ถ้วนคล้ายว่าจะแยกออกไป ดีที่ปรอทเซียนและผนึก เชื่อมต่อร่างนี้เอาไว้
แต่ตอนนี้มองไป สวี่ชิงในตอนนี้ไม่เหลือเค้ามนุษย์แล้ว
วิญญาณของเขากำลังแหลกสลายเช่นกัน
ต่อให้สติสัมปะชัญญะอยู่ภายใต้การค้ำยันความเป็นเหตุเป็นผลของความเป็นเทพ ก็ยังคงสลบไสลไปอยู่ดี
แต่ว่า ก่อนที่จะสลบไป เถาวัลย์เทพในร่างของเขาก็ส่งคำสั่งออกมาอย่างสงบนิ่ง
ดังนั้น ในพริบตาที่เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะไป เถาวัลย์เทพก็ม้วนร่างของเขาพุ่งตรงไปยังร่องมหาสมุทร พุ่งไปในฟองอากาศอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังเจดีย์ผุพังองค์นั้น
หลังจากนั้นครึ่งก้านธูป ในร่องมหาสมุทร เงาร่างของฝูเสียเดินออกมาจากความรางเลือน จ้องมองที่นี่ ในดวงตาของเขาฉายประกายประหลาด
“ที่นี่ก็คือที่พึ่งสุดท้ายของเจ้าเด็กนี่หรือ”
ฝูเสียเอ่ยราบเรียบ ก้าวไปก้าวหนึ่ง มาปรากฏข้างนอกฟองอากาศ เดินเข้าไปข้างใน
พลังต่อต้านของฟองอากาศนั่นพลันปะทุขึ้น พุ่งมาหาฝูเสียทางนี้อย่างทรงพลังเกินต้านทาน
หลังจาก 10 กว่าก้าว ฝูเสียฝีเท้าหยุดนิ่ง มองเจดีย์ผุพังที่ห่างกับตัวเองเพียงหลาย 10 ก้าวกั้นเอาไว้ด้วยฟองอากาศเท่านั้น คิ้วค่อยๆ ขมวดขึ้นช้าๆ
ไม่อาจเคลื่อนไปข้างหน้าต่อได้
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
