Skip to content

Outside Of Time 985



HH

บทที่ 985 ทะเลต้องห้ามท้องฟ้าปรวนแปร!

วิหคมาเยือนทะเลต้องห้าม สั่นสะเทือนทุกชีวิต

วันนี้หมู่เกาะที่มีกลุ่มเผ่าอยู่มากมายบนทะเลต้องห้ามล้วนถูกบดบังท้องฟ้าในพริบตานั้น!

รัศมีสีแดงเข้าแทนสีท้องฟ้า

พายุที่พัดไหลอยู่กลางอากาศเข้าแทนความว่างเปล่า

เปลวเพลิงที่กวาดม้วนผิวทะเลชิงสิทธิ์นั้นไปจากคลื่นทะเลต้องห้าม

พวกมันพุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง กวาดซัดด้วยจิตสังหารและความโกรธเกรี้ยว!

“ปักษาสวรรค์ทักษิณออกสู่ทะเล!”

“นั่นคือวิหคเพลิงสวรรค์!”

“เกิดเรื่องอะไร ถึงกับทำให้วิหคเพลิงสวรรค์โมโหปานนี้!!”

เสียงเคารพยำเกรง เสียงหวาดหวั่นพรั่นพรึงอื้ออึงบนหมู่เกาะมากมายในทะเลต้องห้าม

สายตานับไม่ถ้วนพากันตกไปยังท้องฟ้า ตกไปยังเงาร่างใหญ่โตที่กลายเป็นพายุน่ากลัวกวาดม้วนฟ้าดิน

การคาดเดาต่างๆ ก็คืบขยายตามมา แต่ไม่ว่าอย่างไร ยามนี้…ทุกเผ่าที่เห็นฉากนี้ในทะเลต้องห้ามล้วนจิตใจเกิดคลื่นหมื่นจั้ง

จึงมองไปยังทิศทางที่พายุมุ่งหน้าพร้อมกันโดยสัญชาตญาณ

ทะเลต้องห้าม เหนือแดนต้องห้ามมรณะในอดีต แดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้ดุจภูเขามหึมา

ภูเขานี้สูงใหญ่ยิ่ง เงยหน้ามองยากเห็นยอดเขา ยังกินบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล

มองไกลๆ มีรอยตราอักขระลึกลับมากมายปรากฏบนเขาเป็นระยะ พวกมันแหวกว่ายพร้อมเปล่งแสงเรืองรอง เวียนมาชนกันเองบ่อยครั้ง จะมีเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังเบาต่างกันทอดมาตามจำนวนที่รอยตรากระทบกัน

บางครั้งแผ่วเบาราวกระซิบ บางครั้งรุนแรงดุจอัสนี

นี่คือมหาค่ายกลคุ้มกันบรรพตของแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณี มหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดของเผ่าเป็นคนวางไว้ตอนนั้น

แดนศักดิ์สิทธิ์ถูกเรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เพราะมีมหาจักรพรรดิ

ตอนจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวจากไป คนที่มีคุณสมบัติติดตามเขาไปย่อมเป็นเผ่าต่างๆ ที่มีมหาจักรพรรดิบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

เพียงแต่หลังจากเวลาไหลผ่าน หลังจากเกิดเหตุการณ์เหนือคาดที่ไม่อาจล่วงรู้ สุดท้ายยังมีวันสิ้นมหาจักรพรรดิ

ดังนั้นจึงมีการปรากฏของแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเหลือง

หลังมหาจักรพรรดิผู้บุกเบิกเผ่าแดนศักดิ์สิทธิ์สิ้นชีพก็ไม่มีมหาจักรพรรดิคนใหม่มาสืบทอด แดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้…ก็คือระดับเหลือง

แดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีก็เป็นสถานการณ์เดียวกัน แม้มหาจักรพรรดิเผ่านี้สิ้นชีพนานแล้ว แต่มหาค่ายกลคุ้มกันบรรพตที่วางไว้ยังคงปกป้องเผ่านี้มาหลายหมื่นปี

เพียงแต่ด้วยเวลาไหลผ่าน ไม่มีพลังมหาจักรพรรดิส่งเสริม อานุภาพของมันก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง บัดนี้ไม่มีพลังขั้นสูงสุดอย่างเคย แต่ยังคงแข็งแกร่ง

ยามนี้ขณะรอยตราค่ายกลเปล่งแสง เกล็ดน้ำแข็งหลายพันลี้รอบด้านที่เกิดจากชั้นน้ำแข็งบนภูเขาละลายตกบนทะเลต้องห้ามก็สั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกำลังสั่นพ้องกับค่ายกล

พื้นที่นี้เรือเข้าไม่ได้ อสูรทะเลไม่กล้าย่างกราย เกิดเป็นเกาะภูเขาบนทะเลต้องห้าม

บวกกับกลิ่นอายเอกภพที่แผ่จากเขาลูกนี้ ให้ความรู้สึกเก่าแก่คร่ำโลก ขณะเดียวกันก็มีความกดดันไร้ที่มาผสานกับความว่างเปล่าบนดินแดนต้องประสงค์ เกิดเป็นกลุ่มหมอกสีขาว

ไอหมอกกระจายทั่วทิศโดยมีเขาลูกนี้เป็นศูนย์กลาง เทียบกับทะเลต้องห้ามมืดมิดรอบด้าน สีตัดกันอย่างชัดเจน

ดังนั้นช่วงเวลานี้ เผ่าอื่นบนหมู่เกาะรอบด้านต่างมองว่าที่นี่เหมือนแดนสวรรค์

แต่วันนี้…นอกแดนสวรรค์มีลมปีศาจพัดเสียงมารทอดมา

ลมนี้เกิดจากเปลวเพลิง มุ่งมาจากทางใต้ พริบตาที่ปรากฏ สะท้อนเสียม่านฟ้าแดงฉานดุจย้อมด้วยเลือดสด คล้ายวันสิ้นโลกมาเยือน

เผาไหม้จนหมอกดำบนทะเลต้องห้ามพลิกม้วน ราวกับภูติผีปีศาจนับไม่ถ้วนกำลังดิ้นรนส่งเสียงกระซิบประหลาดอยู่ในนั้น

นี่คือส่วนหนึ่งของเสียงมาร

อีกส่วนหนึ่งกลับเป็นเสียงหวีดแหลมของสายลม

ยามนี้ฟ้าคำรนดินคำราม สรรพสิ่งทุกชีวิตล้วนกำลังส่งเสียงชวนเวทนา

รวมเข้าด้วยกันเกิดเป็นเสียงคำรามสนั่นหูสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

แดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีเป็นหนังหน้าไฟ

เกล็ดน้ำแข็งหลายพันลี้บนผิวทะเลพลันละลาย

หมอกขาวที่ปกคลุมที่แห่งนี้ถูกจุดไฟในพริบตา ส่วนที่กลายเป็นเปลวเพลิงยังม้วนกลับด้วยสายลมอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะที่เผยให้เห็นภูเขาใหญ่โตด้านใน…

สีแดงฉานปกคลุมม่านฟ้าโดยสิ้นเชิง เพลิงลุกไหม้แผ่คลุมทะเลต้องห้าม พายุและเสียงคำรามกลายเป็นทุกสิ่งในพื้นที่แห่งนี้ แปลงเป็นเงาร่างมหึมาดุจอินทรีดุจปักษาสวรรค์

พุ่งมายังแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีทันใด

พริบตาที่เข้าใกล้ เงาร่างน่าหวาดกลัวดุจอินทรีดุจปักษาสวรรค์นี้ยื่นกรงเล็บใหญ่ยักษ์ออกจากเมฆดำ

คว้ามายังเขาลูกนี้อย่างโหดเหี้ยมจากบนลงล่างพร้อมสายฟ้าแลบนับไม่ถ้วน!

คล้ายหมายจะดึงภูเขามหึมานี้ขึ้นจากทะเล!

กรงเล็บของวิหคเพลิงสวรรค์เคลื่อนลงจากฟ้าดุจมือเทพเจ้า ผ่านบริเวณใดความว่างเปล่าล้วนฉีกขาด ฟ้าดินสะเทือนเลื่อนลั่น ทะเลต้องห้ามกำลังยุบลง

พลังกดดันน่าหวาดกลัวพร้อมความโกรธเกรี้ยวรุนแรงแผ่คลุมทั่วทิศในชั่วลมปราณ

เมื่อเคลื่อนลง เปลวเพลิงเทียมฟ้าแผดเผาน้ำทะเลรอบเขาลูกนี้ทั้งหมด เปลวเพลิงบนม่านฟ้าแผ่คลุมเขาลูกนี้ทุกพื้นที่

เสียงสนั่นหวั่นไหวพลันแหวกท้องฟ้าขึ้นมา สะท้านสะเทือนทะเลต้องห้าม

เขาบ่อเกิดกาลกิณีสั่นไหวรุนแรง

แต่ในตอนนั้นเอง เสียงแค่นเย็นพลันทอดมาจากในเขา พริบตาต่อมารอยตราอักขระทั้งหมดของภูเขานี้ลอยขึ้นฟ้าพร้อมกัน รวมเป็นม่านแสงมหึมา

เป็นมหาค่ายกลคุ้มกันบรรพตของแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีนั่นเอง

ยามนี้ค่ายกลปรากฏ แสงหมุนวนเกิดเป็นรัศมีเรืองรองสาดส่องทั่วทิศ ขณะเดียวกันรอยตรานับไม่ถ้วนในนั้นก็ต่างส่งพลังทรงอานุภาพออกมา

ทำให้การป้องกันของม่านแสงนี้บรรลุถึงขีดสุด ต่อต้านกรงเล็บของวิหคเพลิงสวรรค์ที่คว้าเข้ามาทันใด

เสียงสนั่นหวั่นไหวกระเทือนท้องฟ้า

มากพอให้สะเทือนครึ่งหนึ่งของคลื่นทะเลต้องห้ามจนระเบิดกระจายในฉับพลัน

น้ำทะเลรอบด้านซัดคลื่นใหญ่สูงเทียมฟ้าม้วนทั่วทิศ

กรงเล็บวิหคเพลิงสวรรค์สุดท้ายก็ไม่อาจเคลื่อนลง คว้าอยู่บนค่ายกลนั้น

ในค่ายกล ชาวเผ่าทั้งหมดในแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณียามนี้แต่ละคนล้วนจิตใจปั่นป่วน พวกเขาพากันเงยหน้ามองวิหคเพลิงสวรรค์ที่บดบังนภาอยู่นอกค่ายกล

ขณะทุกคนเกิดคลื่นในใจ เงาร่างผู้เฒ่าคนหนึ่งปรากฏบนยอดเขา

เป็นบรรพจารย์ที่มีพลังบำเพ็ญเจ้าเหนือหัวขั้นสูงสุดของแดนศักดิ์สิทธิ์นี้นั่นเอง

เขาเงยหน้ามองโลกภายนอกผ่านม่านแสง

เขารู้จักวิหคเพลิงสวรรค์ และรู้ฐานะของอีกฝ่ายในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

ยังคาดพลังและสภาวะของเขาได้ด้วย

แต่ตอนนี้ดูแล้ว พลังของวิหคเพลิงสวรรค์ที่เขาคิดไว้ยังถือว่าสอดคล้อง แต่สภาวะที่คิดไว้กลับต่างกันมากโข

‘ดินแดนต้องประสงค์หรือแม้กระทั่งเอกภพล้วนหาสิ่งประหลาดได้ยาก พลังต้นกำเนิดเทพของมันน่าสะพรึงกลัว บนตัวกลับไม่มีผลกรรมของซ่างฮวงแม้แต่น้อย…’

‘มันเดินเส้นทางเทพเจ้า แต่กลับ…ยังไม่ได้จุดเพลิงเทวะ!’

ในใจบรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีพลันกดดัน

‘ไม่ได้จุดเพลิงเทวะ อาศัยแค่พลังต้นกำเนิดเทพของตนถึงกับต่อต้านมหาค่ายกลคุ้มกันบรรพตได้ และพลังกดดันที่เผยออกมาแม้มิอาจเทียบแท่นเทวะ มิสู้มหาจักรพรรดิ แต่คู่คี่สูสีกับข้า…’

‘มันทำได้อย่างไร!’

‘ไม่ได้จุดเพลิงเทวะ อาศัยการสั่งสมพลังต้นกำเนิดเทพถึงกับบรรลุระดับที่เพียงได้ยินก็หวาดกลัว เช่นนั้นถ้ามันจุดเพลิงเทวะ…’

บรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง

‘ความลึกล้ำในความสามารถที่ซ่อนอยู่ของมันเรียกได้ว่าเลิศล้ำในต่ำใต้…สิ่งประหลาดนี้มีใจทะเยอทะยานสะท้านฟ้าเช่นกัน’

‘มันหมายจะทำให้รากฐานแข็งแรงโดยอาศัยการสั่งสมอย่างต่อเนื่องของตน อยากจะเป็นเทพแท้ในก้าวเดียวตอนจุดเพลิงเทวะ?’

‘แต่บนตัวมัน…มีข้อบกพร่อง!’

‘มันถูกมัดไว้! มีบางคนจองจำมันไว้ในพื้นที่ทะเลทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ทำให้มันออกมาได้ไม่ไกลนัก…’

‘ดังนั้น มันจึงอยากเป็นเทพแท้ในก้าวเดียวเพื่อทำลายพันธนาการนี้?’

คิดถึงตรงนี้ บรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีสีหน้าเคร่งขรึม อ้าปากกล่าวคำแช่มช้า “สหายวิหคเพลิงสวรรค์มาถึงนี่ แม้โทสะปกคลุมนภา อย่างไรก็ต้องให้เหตุผลกันหน่อย”

เสียงเขาสะเทือนโลกภายนอกดุจอัสนี

นอกค่ายกล วิหคเพลิงสวรรค์ที่กดกรงเล็บไว้บนค่ายกลมีเปลวเพลิงลุกท่วมกาย แผดเสียงสนั่นฟ้า สะท้านนภาสะเทือนปฐพี “ส่งสวี่ชิงออกมา!”

“สวี่ชิง?” บรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีมีคลื่นในใจ คิดเชื่อมโยงถึงเรื่องที่ฝูเสียออกจากด่านก่อนหน้านี้ ในใจมีคำตอบแล้ว เพียงแต่ฝูเสียเป็นตัวแทนความหวังของอนาคตแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณี ยังเป็นผู้คุ้มครองเผ่าคนถัดไปเพียงคนเดียวในตอนนี้ที่ตนตั้งใจอบรมบ่มเพาะ

ระดับความสำคัญของเขาเหนือกว่าชาวเผ่าทั้งหมด

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตนบาดเจ็บรักษาไม่หายมานานปีจนใกล้ถึงขีดจำกัด เรียกได้ว่าแม้ชาวเผ่าตายทั้งหมด แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายยังอยู่ เช่นนั้นเผ่าย่อมอยู่ต่อไปได้

ไม่อย่างนั้น เมื่อตนถึงขีดจำกัดและจากไป ฝูเสียก็สิ้นชีพ แดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณี…ก็ไม่อาจมีอยู่ต่อไปได้เช่นกัน

แดนศักดิ์สิทธิ์อื่นที่โลภอยากได้บ่อเกิดกาลกิณีจะมากขึ้น

ในบันทึกของแดนศักดิ์สิทธิ์ หลายหมื่นปีมานี้ฉากที่แดนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีเจ้าเหนือหัวเหล่านั้นถูกแบ่งเฉือนถูกกลืนรวบล้วนมีให้เห็นถ้วนทั่ว

‘ตอนนั้นแดนศักดิ์สิทธิ์พิสดารบันลือก็เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ’

ดังนั้น แม้ข้างในเขาถอนใจรู้สึกเรื่องนี้จัดการยากยิ่ง ทั้งยังแฝงด้วยอันตรายใหญ่หลวง แต่ยังคงเลือกจะเชื่อว่าฝูเสียไม่ใช่คนโง่ ในเมื่อทำเช่นนั้นก็ย่อมเป็นการตัดสินใจหลังพิจารณาข้อดีข้อเสียแล้ว

‘บนตัวสวี่ชิงผู้นั้นต้องมีผลประโยชน์ใหญ่หลวงที่ฝูเสียเชื่อว่าสามารถเอาชีวิตทั้งเผ่าไปเดิมพันได้!’

บรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีผู้นั้นจึงขมวดหัวคิ้ว บนหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจ

“สวี่ชิงที่เจ้าว่า คือผู้นำแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์กับวิญญาณทมิฬใช่หรือไม่” เขากล่าวพลางยกมือหยิบแผ่นหยกอันหนึ่งมาบีบเบาๆ ฉับพลันบนนั้นปรากฏเงาร่างมากมาย

เหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลต่างๆ ที่แดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีรวบรวมไว้ เงาร่างสายหนึ่งในนั้นเป็นลักษณะของสวี่ชิง

“ที่สหายปักษาสวรรค์ทักษิณว่าคือเผ่ามนุษย์ผู้นี้สินะ”

“ข้าผู้เฒ่าไม่เคยพบคนผู้นี้”

พูดจบ เขาหันไปจ้องมองชาวเผ่าบนแดนศักดิ์สิทธิ์ เอ่ยคำราบเรียบ “พวกเจ้าเคยพบหรือไม่”

ชาวเผ่าในแดนศักดิ์สิทธิ์พากันส่ายหน้า

“ดังนั้น สหายปักษาสวรรค์ทักษิณ เจ้ารังแกกันเกินไปเช่นนี้เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเจ้าอาจมาหาผิดที่”

บรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีมองวิหคเพลิงสวรรค์อย่างตรงไปตรงมา

แต่ในพริบตาที่เขาเอ่ยคำออกมา จิตสังหารฉายวาบในตาวิหคเพลิงสวรรค์ที่นอกค่ายกล มันกระพือปีกทีหนึ่งร่างกายมหึมาพลันพุ่งไปยังท้องฟ้า

ทันทีที่ถึงกลางอากาศ มันหันกายเปลี่ยนทิศทาง ถึงกับดิ่งลงมาหาเขาลูกนี้ดุจดาวตกเปลวเพลิง!

ระหว่างนั้นไม่มีหยุดพักแม้แต่น้อย พลังไม่เคยลดลงแม้เพียงครึ่ง

ผ่านบริเวณใดความว่างเปล่าล้วนแตกแยก ฟ้าดินสั่นสะเทือน น้ำทะเลเดือดปุด กลิ่นอายน่าหวาดกลัวสะท้านฟ้าเคลื่อนลงมา

เปลวเพลิงรอบด้านยิ่งระเบิดรุนแรง

ฉากนี้ทำให้บรรพจารย์แดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีในม่านแสงผู้นี้รู้สึกถึงความกดดัน ประกายฉายวาบในดวงตา กำลังจะเสริมพลังค่ายกลไปเผชิญหน้ากับการจู่โจมถัดไปของวิหคเพลิงสวรรค์

แต่ในตอนนั้นเอง ฟ้าดินสะเทือนเลื่อนลั่น ค่ายกลส่งข้ามมหึมาถึงกับแหวกความว่างเปล่าในที่นี้โผล่ขึ้นมากลางอากาศ

กลิ่นอายแดนใหญ่เซ่นจันทราระเบิดออกจากค่ายกลส่งข้ามใหญ่โตนี้

ขณะพลังแผ่ขยาย ความกดดันครอบคลุมทั่วทิศ เสียงเย็นชาสายหนึ่งดังกึกก้องในที่นี้ดุจปราณกระบี่แหวกอากาศ

“รังแกเจ้าแล้วอย่างไร”

“หาถูกที่หรือไม่ พวกเราเข้าไปแล้วย่อมตัดสินได้!”

เมื่อเสียงทอดมา เงาร่างผู้อาวุโสเก้าในแดนใหญ่เซ่นจันทราเดินออกมาจากค่ายกล

ทั้งที่มีพลังบำเพ็ญแค่เตรียมสู่เทวะ แต่ยามนี้บนตัวเขากลับเผยความเฉียบขาดที่สามารถข่มขวัญเจ้าเหนือหัวได้

ข้างหลังเขา เงาร่างรัฐทายาท องค์หญิงสาม องค์หญิงห้า รวมถึงผู้อาวุโสแปดต่างทยอยเดินออกมา พลังบนตัวทุกคนปรากฏ อำนาจระเบิดพลัง เทียบกับตอนนั้นแล้วอานุภาพเพิ่มขึ้นมากโข

บุตรแห่งหลี่จื้อฮว่าได้อำนาจมาด้วยพลังเตรียมสู่เทวะ ตอนนั้นเสวียนโยวก็ชื่นชมว่าล้วนเป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน

ในอดีตพวกเขาเคยถูกชื่อหมู่เคี่ยวกรำ เมื่อได้รับอิสระคืนมา ไหนเลยจะธรรมดาไปได้!

ยามนี้ พวกเขามาแล้ว

หลังได้รับข่าวจากเอ้อร์หนิวและรู้ว่าสวี่ชิงเกิดเรื่อง พวกเขาก็มาทันที ขณะเดียวกันยังเอาตำหนักขบถจันทร์สมบัติล้ำค่าของหลี่จื้อฮว่าในตอนนั้นมาด้วย

แต่ที่น่าตกใจกว่า คือถ้าสวี่ชิงหรือเอ้อร์หนิวอยู่ที่นี่จะสามารถรับรู้กลิ่นอายของหลี่จื้อฮว่าที่แผ่ออกจากตัวพวกเขาได้อย่างชัดเจน

ขณะเดียวกัน หลิงเอ๋อร์ที่ด้านหลังพวกเขาก็เดินออกมาด้วยสีหน้าร้อนรน มองแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างโกรธเกรี้ยว

เห็นเป็นเช่นนั้น เงาร่างวิหคเพลิงสวรรค์ที่ดิ่งลงไปพลันหยุดกึก ด้วยชั่วลมปราณที่ฝั่งเซ่นจันทราปรากฏตัว ท่ามกลางฟ้าดินปรากฏค่ายกลใหญ่โตต่อเนื่อง

ผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนต่างเผยจิตสังหาร รวมตัวกันเป็นความชั่วร้ายสะท้านฟ้าเรียงแถวกันออกมาจากค่ายกล

นั่นคือทัพใหญ่ของแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์!

มาช่วยเจ้าแดน!

ในนั้นยังมีกรมบวงสรวงฟ้าทมิฬสวมชุดม่วงนับไม่ถ้วน หว่างคิ้วพวกเขาล้วนมีสัญลักษณ์จันทร์สีม่วง มาจากศาลเจ้าจันทร์สีม่วงเพื่อสู้ให้นายแห่งจันทร์สีม่วง!

จากนั้น ขณะชาวเผ่าแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีต่างจิตใจสั่นสะเทือน บรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีผู้นั้นจิตใจป่วนปั่น ค่ายกลส่งข้ามที่ใหญ่โตยิ่งกว่าส่องสว่างเหนือแดนศักดิ์สิทธิ์

พลังโชคชะตาน่าหวาดกลัวระเบิดออกจากค่ายกล ขณะกวาดซัดทั่วทิศ กองทัพผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนเดินออกมาพร้อมจิตสังหารสะเทือนโลกา

ที่อยู่หน้าสุดคืออ๋องเจิ้นเหยียน!

ยังไม่จบแค่นั้น…

เพราะกลิ่นอายเทพเจ้ากำลังเดินออกจากกาลเวลาในยามนี้!

ทะเลต้องห้ามลมพัดเมฆแผ่คลุม ฟ้าดินเปลี่ยนสี!

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version