Skip to content

Outside Of Time 988


บทที่ 988 ฝูเสียแหลกสลาย

หลังจากนั้น 2 วัน

CC

ในแผ่นดินใหญ่หมู่เกาะใต้ที่อยู่ติดทะเลเหมือนกับแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ ในเทือกเขารกชัฏแห่งหนึ่ง ฝูเสียที่รูปลักษณ์เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง หน้าตาเหมือนต่างเผ่ากำลังเร่งเดินทาง

2 วันนี้ เขาซ่อนอำพรางตัวมาตลอด เริ่มจากใต้ทะเลมุ่งหน้าไปยังมหาสมุทรนอก

สำหรับเขา ในเมื่อแดนตะวันออกแห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ล้วนกำลังตามหาสวี่ชิง เช่นนั้นตนไปยังมหาสมุทรนอกก็น่าจะปลอดภัยกว่ามาก

แม้อันตรายที่มหาสมุทรนอกจะมากมาย เขาเองก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเหยียบย่างเข้าไป แต่เทียบกันแล้วเหมาะที่จะซ่อนอำพราง

เพียงแต่ตัวเลือกนี้ หลังจากที่เขาสัมผัสได้ว่ามีผนึกไร้รูปร่างทางหนึ่งสกัดกั้นมหาสมุทรนอกและมหาสมุทรในก็จำต้องล้มเลิก

ผนึกนี้มาจากโองการของเผ่ามนุษย์และเผ่านภาคิมหันต์ ด้วยพลังอำนาจเทพที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ เกิดเป็นผนึกจากวาจา

ทันทีสัมผัส การซ่อนอำพรางของเขาก็ยากที่จะรักษาสมดุล

หลังจากจ้องสวี่ชิงอยู่นาน ในใจของฝูเสียก็ยิ่งเคร่งเครียด

สุดท้ายเขาก็ปรับเปลี่ยนทิศทาง

เดิมวางแผนว่าจะหาที่ซ่อนตัวต่อไปในใต้ทะเล แต่ 2 วันนี้ เขาสัมผัสได้ว่าจำนวนของจิตเทพใต้ทะเลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลทุกชั่วขณะ

มากขึ้นเรื่อยๆ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ

เหมือนว่าสิ่งมีชีวิตคุณสมบัติเทพทั้งหมดในทะเลล้วนเข้าร่วมการตามหานี้

แม้แต่น้ำทะเลก็ยังทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดไปเล็กน้อย เหมือนว่ากระแสใต้น้ำนอกร่างของตนเพิ่มมากขึ้นอย่างแปลกประหลาด

“โดยเฉพาะวิหคเพลิงสวรรค์ตัวนั้นคอยสัมผัสรับรู้อยู่ตลอดเวลา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ของวิเศษมหาจักรพรรดิก็ใกล้จะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว…จะต้องไปจากพื้นที่บริเวณ!”

แต่ติดที่ความกดดันและความรู้สึกอันตรายที่เพิ่มขึ้นไม่หยุด ฝูเสียหลังจากที่ล้มเลิกความคิดที่จะมุ่งหน้าไปยังมหาสมุทรนอก ทั้งล้มเลิกการซ่อนตัวอยู่ในมาหสมุทรใน จึงต้องมายังแผ่นดินใหญ่หมู่เกาะใต้ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของเขตปกครองผนึกสมุทร

พื้นที่แห่งนี้แทบจะไม่มีขั้วอำนาจเผ่ามนุษย์ ควบคุมดูแลโดยเผ่าพันธุ์ระดับกลาง 7 เผ่า โดยปกติแล้วติดต่อกับโลกภายนอกน้อยมาก ในมุมหนึ่งก็นับว่าเป็นดินแดนที่สกัดกั้นกับโลกแห่งหนึ่ง

อีกทั้งภูมิประเทศในแผ่นดินใหญ่นี้มีเทือกเขาเป็นหลัก พื้นที่ริมชายแดนเป็นทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา

เพียงแต่ดินแดนแห่งนี้ดูเหมือนเหมาะที่จะซ่อนตัว แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้กลับดึงดูดสายตาของคนมากกว่าเดิม

ดังนั้นจึงกลายเป็นตัวเลือกภายใต้ความอับจนหนทางของฝูเสีย

“แต่ว่า ที่นี่แม้จะเป็นดินแดนตะวันออก ทว่ากลับไม่ใช่ดินแดนที่ดูแลควบคุมโดยเผ่ามนุษย์โดยตรง…”

มาพร้อมด้วยความคิดเช่นนี้ ฝูเสียที่เหยียบย่างเข้ามาในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ ตลอดทางมาเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปหลายครั้ง ตัดร่องรอยและผลกรรมเวรทุกอย่างของตัวเองอย่างระมัดระวัง ทะยานไปในขุนเขารกชัฎอย่างระมัดระวัง

ขณะเดียวกันเขาก็หลอมเจดีย์ผุพังอยู่ตลอดเวลา ลองหลอมสวี่ชิงไปในร่างด้วยให้เร็วที่สุด

เพียงแต่พลังของเจดีย์ผุพังอัศจรรย์นัก แรงต้านทานของฟองอากาศคงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นขั้นตอนการหลอมช้าเป็นอย่างมาก

นี่ยิ่งเพิ่มความร้อนรนเร่งรีบให้กับฝูเสีย

สิ่งที่ทำให้เขายิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีกคือสวี่ชิงที่อยู่ในเจดีย์ผุพัง

คำพูดก่อนหน้านี้ของตนถูกอีกฝ่ายจับข้อมูลบางอย่างได้ ดังนั้นในหลายวันนี้ การต่อต้านของสวี่ชิงยิ่งรุนแรงขึ้น ประเดี๋ยวๆ ก็ส่งจิตเทพบางอย่างออกมา

แม้จิตเทพเหล่านี้เขาจะตัดทิ้งทั้งหมด ไม่อาจส่งออกไปข้างนอกได้ แต่ดังมาในจิตใจของเขาก็ทำให้เขาค่อยๆ เครียดขึ้นมาได้เหมือนกัน

“คำถามครั้งที่แล้ว เจ้าเลือกที่จะไม่ตอบ ท่าทางแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อกำเนิดกาลกิณีที่เจ้าอยู่เกิดปัญหาแล้วจริงๆ”

สวี่ชิงขัดสมาธินั่งสมาธิ ตอนนี้อาการบาดเจ็บฟื้นฟูไปเกือบครึ่งแล้ว ส่งจิตเทพออกมา

ไม่ได้ตอบกลับ

“หรือบางที…อาจจะไม่มีอยู่แล้ว”

สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง ภายใต้การชักนำจากความเป็นเทพ เขามีเหตุผลเป็นอย่างมาก ดังนั้นต่อให้นิสัยไม่ชอบพูดอะไรมาก แต่เขาต้องการปฏิกิริยาของเจ้าเหนือหัวผู้นี้มาวิเคราะห์ข่าวของโลกภายนอก

“เช่นนั้นเจ้าในตอนนี้น่าจะกำลังหนีอยู่กระมัง หลบหนีการไล่ล่าสังหารจากเผ่ามนุษย์ หลบซ่อนการค้นหาจากขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ”

สวี่ชิงเอ่ยต่อไป

แต่ฝูเสียก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่ว่าสวี่ชิงจะพูดอะไร ก็ไม่ตอบกลับแม้แต่น้อย

แต่ความเคร่งเครียดในใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

และดีที่การวิเคราะห์ต่อแผ่นดินใหญ่หมู่เกาะใต้ของเขาจะถูกต้องอยู่บ้าง หลังจากหลายวันที่เข้ามาในแผ่นดินใหญ่หมู่เกาะใต้แห่งนี้ เขาสัมผัสถึงการค้นหาจากจิตเทพที่เหมือนอย่างในมหาสมุทรในไม่ได้

ดังนั้นจึงชั่งน้ำหนัก ฝูเสียเลือกถ้ำแห่งหนึ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้นเตรียมซ่อนตัวสักช่วงหนึ่ง หลอมเจดีย์นี้อย่างสุดกำลัง

แต่ความสุขสงบนี้ก็เป็นเพียงแต่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น

ในยามที่ม่านราตรีปกคลุมลงมา นอกถ้ำที่ฝูเสียอยู่ ฟ้าดินคำรามเลื่อนลั่น จิตเทพแข็งแกร่งมากมายกวาดมาเป็นระลอกๆ

นั่นเป็นสัมผัสรับรู้จากผู้แข็งแกร่งที่อยู่ที่แผ่นดินใหญ่แห่งนี้

ฝูเสียลืมดวงตาทั้ง 2 ขึ้นมาทันที ระมัดระวังสุดตัว

จวบจนกระทั่งหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม จิตเทพเหล่านี้ก็สลายไป

แต่ยังไม่ทันที่ฝูเสียจะได้โล่งอก กลับมีเจตจำนงที่น่ากลัวยิ่งกว่า มาพร้อมด้วยพลังอำนาจ พุ่งมาอย่างแข็งแกร่งทรงพลัง

พื้นที่กินไปทั่วทุกสารทิศ บริเวณที่ลงมาเยือน ท้องฟ้าเดือดพล่าน แผ่นดินสั่นไหว ขุนเขาทุกลูกล้วนสั่นคลอน

นั่นคือเทพเจ้า!

ฝูเสียหน้าเปลี่ยนสี เอากรรไกรเล่มนั้นออกมาทันที อำนาจลบเลือนแผ่ลาม ในขณะที่เพิ่มการซ่อนอำพราง นอกถ้ำที่เขาอยู่ ลมแรงพัดกรรโชก

ในสายลมมีเสียงแปลกประหลาดดังเป็นระลอกขึ้นลง

“สวี่ชิง…สวี่ชิง…สวี่ชิง…”

เสียงแหบแห้ง แฝงด้วยท่วงทำนองที่บอกไม่ถูกบางอย่าง ดังก้องไปทั่วทุกทิศ

นี่คือมีเทพเจ้าสำแดงพลังอำนาจเทพของตัวเอง ใช้ชื่อเรียกขาน

ทุกที่ที่ผ่าน ฟ้าดินเปลี่ยนสี กระบี่ใหญ่ข้างหลังฝูเสียสั่นรุนแรงขึ้น สวี่ชิงที่อยู่ในเจดีย์ผุพัง ดวงตาทั้ง 2 พลันลืมขึ้นมา

ในตอนนี้เอง ฝูเสียจัดสินใจอย่างเด็ดขาด กัดปลายลิ้นให้เลือดวิถีอันล้ำค่าของตัวเองไหลออกมา แล้วพ่นไปบนกรรไกร

กรรไกรสั่นสะท้านเฮือก สนิมบนนั้นเกิดมากขึ้นกว่าเดิม สุดท้ายจากการตัดครั้งนี้ ก็ลบทุกอย่างไป

นานหลังจากนั้น เสียงค่อยๆ เลือนหายไป

ส่วนสีหน้าของฝูเสียค่อนข้างซีดขาว

เขาไม่กล้าหยุดอยู่ที่นี่แล้วค่อยไป หลังจากมั่นใจว่าเทพเจ้าจากไปแล้ว เขาก็เดินออกไปทันที กรรไกรยังไม่ได้เก็บลงไป ยังคงรักษาพลังอำนาจลบเลือนเอาไว้ เดินทางต่อไปอย่างรวดเร็ว

เช่นนี้เอง ผ่านไปอีก 2 วัน เขาข้ามผ่านภูเขานับไม่ถ้วน เปลี่ยนทิศทางหลายครั้ง สุดท้ายก็เข้าไปในทะเลทรายแห่งหนึ่ง

ใน 2 วันนี้ ฝูเสียพูดได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน เจอกับจิตเทพเจ้าหลายครั้ง หากไม่ใช่ว่าเขามีกรรไกรมหาจักรพรรดิ เกรงว่าคงถูกพบไปไม่รู้ต่อกี่ครั้งแล้ว

ต่อให้มีกรรไรมหาจักรพรรดิ แต่ใช้งานถี่ขนาดนี้ก็ผลาญพลังไปอย่างมหาศาล

โดยเฉพาะเขาพ่นเลือดวิถีออกมาหลายครั้ง นี่ทำให้พลังบำเพ็ญที่เพิ่งเลื่อนขั้นขึ้นมาของเขาเกิดความไม่เสถียรขึ้นมาเล็กน้อย

แต่เขาก็อับจนหนทางแล้ว

ตอนนี้ความกดดันในใจมาถึงระดับรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นในทะเลทราย ฝูเสียร่างเพียงไหววูบก็เปลี่ยนเป็นเม็ดทราย เคลื่อนไปข้างหน้าตามสายลม

วันแรก ทุกอย่างเป็นปกติ

วันที่ 2…ฝูเสียที่กำลังเคลื่อนหน้าไปอย่างระมัดระวัง เม็ดทรายที่แปลงมาจากเขาพลันหยุดชะงัก เขาได้ยินเสียงเพลง

“ทราย 10 ลี้เฝ้าตามหา หนองน้ำร้อยลี้ลงไปงม สุสานพันลี้วิ่งสิวิ่ง ป่าไผ่หมื่นลี้หาเจอแล้ว ฝูเสียเอ๋ยฝูเสียเจ้าอยู่หนใด ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”

เพลงนี้แปลกประหลาดนัก น้ำเสียงแฝงด้วยความน่าขนลุกดังมาในใจฝูเสีย ยิ่งกลายเป็นคลื่นความหวาดกลัวสะท้านฟ้า

เพราะในนั้นเรียกชื่อของเขาออกมา!

เสี้ยวขณะต่อมา ทั่วทั้งผืนทะเลทรายจากเสียงดังก้องของบทเพลงก็สั่นสะเทือนขึ้นมา เม็ดทรายนับไม่ถ้วนลอยขึ้นฟ้า รวมเป็นมือทรายเล็กๆ มากมาย โบกไหวขึ้นมาตรงนั้นราวทุ่งหญ้า

บทเพลงบทนั้นดังออกมาจากเม็ดทรายทุกเม็ด

ขณะที่ดังก้องและโบกไหว ความรู้สึกหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจก็พลันผุดขึ้นมาในใจฝูเสียที่หน้าเปลี่ยนสี

แปรเปลี่ยนเป็นวิกฤตชีวิตเป็นตายอันรุนแรง

ฝูเสียลมหายใจหอบถี่ ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้นระเบิดทรายที่ตนแปลงร่างมาไปเสี้ยวหนึ่ง เลือดวิถีนับไม่ถ้วนสาดไปบนกรรไกรที่ปรากฏออกมา

ตัดฉับลงไป

ตัดผลกรรมเวรของตัวเอง ตัดร่องรอยของตัวเอง ยิ่งตัดซึ่งเวลา กระทั่งว่ายังใช้พลังต้นกำเนิดของกรรไกรเล่มนี้ด้วย

เสี้ยวขณะต่อมา ทุกอย่างรอบๆ ในสัมผัสรับรู้ของฝูเสียก็รางเลือน ในยามที่ทุกอย่างชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ไปจากบริเวณทะเลทรายที่ตนอยู่ อาศัยพลังต้นกำเนิดของกรรไกร ฝืนเคลื่อนย้าย มาปรากฏยังหนองน้ำในพื้นที่ที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่ง

เพิ่งปรากฏตัวขึ้น เขาก็กระอักเลือดคำโตออกมาอย่างห้ามไม่ได้

ไม่ทันที่เลือดจะสาดออกมา เขาก็ยกมือขึ้นมาทันที คว้าเลือดเอาไว้แล้วลบมันไป

เขาจะทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ไม่ได้

ในดวงตาของเขา ความหวาดกลัวชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

“นั่นคือเทพเจ้าระดับใดกัน…อีกเพียงนิดเดียวก็เกือบรอบรู้เกี่ยวกับข้าทั้งหมดแล้ว!!”

ฝูเสียลมหายใจหอบถี่ ตลอดทางมานี้ เรื่องราวที่เขาพบเจออันตรายขึ้นเรื่อยๆ และแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้เขามีพลังบำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัว ก็สัมผัสได้ถึงเส้นด้ายแห่งความเป็นตายเหมือนกัน

และตอนนี้ยังไม่ทันที่เขาจะได้มองเห็นรอบๆ ชัดๆ ใจที่เดิมก็เกิดระลอกคลื่นของเขาจู่ๆ ก็เดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง

เพราะ…ในหนองน้ำในพื้นที่ที่ไม่รู้จักแห่งนี้ น้ำกำลังกระเพื่อม โคลนกำลังขยับขยุกขยิก ต้นไม้แห้งรอบๆ กำลังสั่นไหว หนอนในโคลนกำลังบิดตัว

สรรพสิ่งทั้งหลายคล้ายว่ามีเจตจำนง

เจตจำนงนี้ไม่มาก เหมือนว่ามีเพียงสัญชาตญาณ แต่สัญชาตญาณนี้…กำลังตามหาเขา ตามหาสวี่ชิง

ดังนั้นในสัมผัสรับรู้ของฝูเสีย ความรู้สึกอันตรายปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

เขาไม่ทันได้ขบคิด ทำได้เพียงกระตุ้นพลังต้นกำเนิดของกรรไกรอีกครั้ง เงาร่างถูกตัดในเสี้ยวพริบตา หายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลังจากนั้นหลายครั้ง ท่ามกลางการเคลื่อนย้ายไปหลายพื้นที่ รอยแตกร้าวของกรรไกรเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฝูเสียที่ร่างกายและจิตใจยิ่งเกิดความเหนื่อยล้า ในที่สุดก็มาปรากฏตัวบนภูเขาหัวโล้นที่เหมือนสุสานเดียวดายแห่งหนึ่ง

มาถึงที่นี่ ความหวาดกลัวในใจถึงได้ค่อยๆ หายไป

แต่ใจของเขาเหมือนแผ่นดินที่ถูกดวงตะวันกล้าแผดเผา แตกระแหงแสนสาหัส ถูกความร้อนรุ่มปกคลุม

ส่วนจิตเทพของสวี่ชิงก็ส่งมาในตอนนี้

“เวลาของเจ้าไม่มากแล้ว”

“หุบปาก!” ครั้งนี้ ฝูเสียหลังจากที่ผ่านอันตรายมากมายมา ในที่สุดก็อดไม่อยู่ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง

แม้จะเป็นเพียงแค่ 2 คำ แต่สวี่ชิงที่อยู่ในเจดีย์ผุพัง แสงประกายในดวงตาพลันฉายวาบขึ้นมา

เขาได้คำตอบแล้ว

“ท่าทางเวลาของเจ้า…ไม่มากแล้วจริงๆ”

ฝูเสียสีหน้าเคร่งเครียด ตัดจิตเทพของสวี่ชิงทิ้ง ในใจจิตสังหารพวยพุ่ง

“เช่นนั้นก็มาดูกันว่า ข้าจะหลอมสวี่ชิงได้ก่อน หรือจะถูกพวกเจ้าหาตัวเจอก่อน!”

พูดจบ เขาก็กำลังจะไปจากภูเขาลูกนี้ ทว่าในตอนนี้ ปลายขอบฟ้าของที่แห่งนี้พลันมีเมฆมากมายมหาศาลปรากฏขึ้น

ราวมหาสมุทรกำลังมาทางนี้ เดือดพล่านหอบม้วนมา

ยิ่งไปกว่านั้นในหมอกนั่นยังมองเห็นทารกยักษ์ได้รางๆ คลานอยู่ในนั้นอย่างรวดเร็ว

พลังอำนาจสวรรค์ท่วมท้นพลันลงมาเยือนในเสี้ยวขณะนี้ สิ่งที่มาพร้อมกันยังมีเสียงร้องไห้และเสียงร้องเรียกหาบิดาของทารกด้วย

มาพร้อมด้วยความโกรธเคือง

การสะท้อนก้องของเสียงนี้ทำให้กฎเกณฑ์สั่นคลอน กฎระเบียบหมอบ

ฝูเสียดวงตาทั้ง 2 เบิกกว้าง ร้องตกใจเสียงหลง “วิถีสวรรค์”

ขณะสูดลมหายใจ กรรไกรที่ลอยอยู่เหนือศีรษะฝูเสียก็ถูกเขากระตุ้นอีกครั้ง เกิดเป็นพลังสกัดกั้น แล้วพลันตัดลงไป เสียงฉับๆ ดังมาจากกรรไกร

กรรไกรเล่มนี้รอยร้าวเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ดูน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง เงาร่างของฝูเสียก็หายตามไป

ในยามที่ปรากฏตัวขึ้น เขาก็หลงทางแล้วโดยสมบูรณ์ ทำได้เพียงอาศัยสัญชาตญาณและสังหรณ์ ทะยานไปตลอดทาง ระหว่างนั้นได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกอยู่หลายครั้ง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเทพเจ้าหลายหน ทุกครั้งล้วนทำให้เขาไม่สนใจความเจ็บปวด ควบคุมพลังของกรรไกร

ขณะเดียวกันเลือดวิถีก็พ่นออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า

จวบจนกระทั่งวันที่ 8 ที่เขาหลบหนีมาตลอดทาง เขาที่อ่อนล้าจนถึงขีดสุดก็มาถึงพื้นที่แห่งหนึ่ง

ที่นี่ไม่มีจิตเทพของผู้แข็งแกร่ง ไม่มีเสียงร้องของทารก และไม่มีเสียงพึมพำของเทพเจ้า มีเพียง…ป่าไผ่หมื่นลี้

ป่าไผ่สีแดงชาด!

ลมพัดมา ป่าไผ่ราวทะเลสีแดง ขณะที่โยกไหวเสียงที่ดังมาไม่ใช่เสียงเสียดสีของใบไม้ แต่เหมือนเป็นเสียงแซกๆ ที่เกิดจากลมพัดผ่านทะเลทรายหอบม้วนเม็ดทราย

เสียงที่มาพร้อมกับเสียงนี้ ยังมีบทเพลงเด็กที่ทำให้ในใจของฝูเสียแหลกสลาย

“ทราย 10 ลี้เฝ้าตามหา หนองน้ำร้อยลี้ลงไปงม สุสานพันลี้วิ่งสิวิ่ง ป่าไผ่หมื่นลี้หาเจอแล้ว ฝูเสียเอ๋ยฝูเสียเจ้าอยู่หนใด ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”

เพลงเด็กเพลงนี้ราวอัสนีสวรรค์ ขณะเดียวกับที่ฟาดผ่าในใจฝูเสีย ในทะเลป่าไผ่ก็มีเทพเจ้าองค์หนึ่งเดินมา

ม่านฟ้า เนื่องจากการมาเยือนขององค์ท่านก็สาดแสงสีแดงขึ้นมา

แผ่นดิน เนื่องจากการปรากฏตัวขึ้นขององค์ท่านก็ทอแสงพรายสีแดงออกมา

เวลา เนื่องจากการลงมาเยือนขององค์ท่านก็ถูกอาบย้อมกลายเป็นแม่น้ำสีแดง

สีแดงจากทุกสิ่งทุกอย่าง มาจากฟ้า จากดิน จากเวลา รวมเป็นอาภรณ์สีแดงตัวหนึ่ง!

ผู้ที่เดินมาเป็นชายวัยกลางคนงามสง่าคนหนึ่ง ผมยาวทั้งศีรษะปลิวพริ้ว เส้นผมทุกเส้นไหลวนด้วยประกายแสง พลังอำนาจเทพที่แผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่างทำให้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์อับแสง

เทพเจ้าองค์นี้ชื่อว่าอวี้หลิวเฉิน!

เขาเดินมาข้างหน้าฝูเสียที่สั่นสะท้านไปทั้งตัวทีละก้าวๆ หัวเราะเบาๆ ออกมาทีหนึ่ง

“ฝูเสียเอ๋ยฝูเสียเจ้าอยู่หนใด ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”

ในสมองของฝูเสียสายฟ้าฟาดผ่าโดยสมบูรณ์ สูญเสียพลังต่อต้านทุกอย่าง แม้แต่ความคิดในเสี้ยวขณะนี้ก็ยังหยุดนิ่ง

มีเพียงเพลงเด็กเพลงนั้นที่ยังดังสะท้อนในหัวไม่หยุด เป็นประจักษ์พยานเส้นทางที่เขาเดินผ่านมาทั้งหมดตลอดเส้นทางนี้

ขณะเดียวกัน ท่ามกลางมิติอันไร้ขอบเขต มีขบวนแห่ที่รวมกลุ่มจากตุ๊กตาดินเหนียวขบวนหนึ่ง แบกศาลเจ้าศาลหนึ่งอยู่ เดินอยู่ในห้วงเวลา ทิศทางที่เดินไปคือมหาพงไพรที่อวี้หลิวเฉินอยู่

เงาร่างของเอ้อร์หนิวก็อยู่ในตุ๊กตาดินเหนียวเช่นกัน ควบคุมเถาวัลย์เทพ สัมผัสรับรู้ทิศทาง

“เจ้าเอ้อร์หนิวไร้ประโยชน์ เลิกทรมานเถาวัลย์บางๆ เส้นนั้นของเจ้าได้แล้ว ข้ารู้ตำแหน่งของสวี่ชิงแล้ว”

เสียงเอื่อยเฉื่อยดังมาจากในศาลเจ้า

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version