บทที่ 996 ตำนานหวนคืน
เพียงคำเดียว ทว่าในชั่วพริบตา ท้องทะเลอันบ้าคลั่งก็สงบลง คลื่นยักษ์ที่โหมกระหน่ำ กลับอ่อนแรงลงโดยพลัน คลื่นลมกระโชกแรงพลันสงบ ราวกับประกาศิต
ส่วนกระแสวนหล่านั้น มลายหายไปในชั่วพริบตา ถูกพลังลึกลับสะกดโดยตรง
อักษรสยบ มีความหมายว่าสยบทะเล!
ยามนี้คลื่นลมสงบ ท้องทะเลราบเรียบ!
บนเรือเรือสำเภาเวท เหล่าศิษย์กรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ดทั้ง 2 ต่างร่างกายสั่นสะท้าน เงยหน้าขึ้นโดยสัญชาตญาณ ทอดสายตาไปยังนภา ได้เห็นร่างเงาเจิดจ้า 3 ร่างเหินเวหามาจากขอบฟ้า
หวงเหยียนหนึ่งในนั้น พวกเขาเคยพบพาน
ส่วนร่างเงาไร้ซึ่งความโดดเด่นข้างกายหวงเหยียน พวกเขารู้สึกไม่คุ้นตา ราวกับเคยเห็นภาพเหมือน ทว่าความทรงจำกลับเลือนราง
ทว่าร่างเงาสีม่วงที่นำหน้านั้น เมื่อพวกเขามองเห็นชัดเจน จิตใจก็พลันปิติยินดีหาใดเปรียบ
“องค์ชายสี่!”
องค์ชายสี่ คือชื่อเรียกพิเศษที่ยอดเขาลำดับเจ็ดใช้เรียกขานสวี่ชิง!
ขณะที่คนทั้ง 2 กู่ร้องด้วยความยินดี บุรุษหนุ่มผมดำเบื้องหน้าของพวกเขา นัยน์ตาอันเย็นชาพลันแปรปรวนอย่างหาได้ยาก รีบคุกเข่าลงโดยพลัน
“เจ้าใบ้?” สวี่ชิงทอดสายตา จ้องมองบุรุษหนุ่มผมดำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เพียง 2 คำ ทำให้ความรู้สึกของบุรุษหนุ่มผมดำผันผวนรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ขณะที่คุกเข่าลง เขาก็เงยหน้าขึ้น “นายน…นายท่าน…”
ข่าวลือภายนอกเกี่ยวกับเขามิได้ผิดเพี้ยน นับแต่ย่างก้าวเข้าสู่สำนัก 7 เนตรโลหิต เขาก็มิเคยรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสำนักแห่งนี้ หากแต่…สำหรับ สวี่ชิง กลับมีความรู้สึกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ในตอนแรก เขาหวาดกลัวสวี่ชิง ต่อมาสวี่ชิงช่วยชีวิตเขาไว้ จากนั้น สวี่ชิงก็ชี้แนะแนวทางให้แก่ชีวิตเขา ยิ่งกว่านั้น สวี่ชิงยังฉุดเขากลับมาจากห้วงทุกข์แห่งการสร้างฐาน
สวี่ชิงยังคงยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าของเขา เป็นประทีปส่องทาง
เขายังคงมุ่งมั่นตามรอยเท้าสวี่ชิง มอบความจงรักภักดีของตนให้
ด้วยว่าเขาเติบใหญ่มาท่ามกลางฝูงหมาจรจัด อุปนิสัยของเขาจึงเป็นเช่นนั้น
ขณะทอดสายตามองเจ้าใบ้ สวี่ชิง ก็เผยความอ่อนโยนในดวงตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พลังบำเพ็ญมิเลว ดูท่าหลายปีที่ผ่านมาเจ้าคงมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนัก”
วาจาของเขา สำหรับเจ้าใบ้แล้วถือเกียรติยศอันสูงสุด ทำให้จิตใจที่ฮึกเหิม ความตื่นเต้นในใจทำให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนไปทั่วร่างในเวลานี้
“ขอบใจเจ้าที่ช่วยข้าตามหาราชรถ ต่อจากนี้ รอข้าอยู่บนผิวน้ำก็พอ”
สวี่ชิงถอนสายตา ทอดมองไปยังท้องทะเล ก้าวเท้าไปยังเบื้องหน้า พลันเลือนหายอย่างไร้ร่องรอย กลมกลืนไปกับเสียง
ในยามปรากฏกายอีกครา ก็มาอยู่ที่ใต้สมุทร
เบื้องหน้ายักษ์ลากราชรถร่างใหญ่โต
ยักษ์ยังคงเคลื่อนกาย โซ่ตรวนบนบ่าถูกรั้งจนตึง เชื่อมต่อกับราชรถสัมฤทธิ์ บดบี้ใต้สมุทรอย่างต่อเนื่อง ทิ้งไว้เพียงร่องรอยดุจคูคลอง
“ได้พบกันอีกครา” สวี่ชิงรำพึงในใจ ดวงตาเผยความคาดหวังอันแรงกล้า ทว่ากลับมิได้ลงมือโดยพลัน
หากแต่ติดตามไปตลอดทาง รอคอยเวลา
จวบจนกระทั่งแสงทิวาลาลับ รัตติกาลย่างกราย จากนั้นราตรีแผ่ปกคลุม ค่ำคืนผันผ่าน
ก่อนที่รุ่งอรุณจะฉายแสง…
“บัดนี้ เวลามาถึงแล้ว!”
สวี่ชิงยกมือขวาขึ้น โบกสะบัดแผ่วเบา แขนที่ขาดวิ่นของคีตกวีก็พลันปรากฏเบื้องหน้า ขณะที่นิ้วมือกรีดกราย เสียงสวรรค์รับจันทร์พลันบรรเลงก้องสมุทร
ร่างยักษ์ชะงักฝีเท้า หันศีรษะกลับ ดวงตาลึกโบ๋ดุจโพรงถ้ำ คล้ายจะจ้องมอง คล้ายจะสดับฟัง
สวี่ชิงมิได้รีรอ โถมร่างไปยังเบื้องหน้าโดยพลัน
ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ผ่านมา หรือการวิเคราะห์ของเขา ล้วนทำให้เขามั่นใจในเป้าหมายของตนในครานี้
ในเวลานี้ เขาสาวเท้าพุ่งตัวไปเบื้องหน้าอย่างเต็มกำลัง โฉบผ่านร่างยักษ์ไป
มิได้ถูกขัดขวาง
ยักษ์ปล่อยให้สวี่ชิง โผบินจากข้างกายไป จิตใจของมัน สรรพสิ่งในร่างของมัน ในยามนี้ล้วนจดจ่ออยู่กับเสียงสวรรค์รับจันทร์ทั้งสิ้น
ดังนั้น สวี่ชิงทะยานร่างไปข้างหน้า เข้าประชิดราชรถ
ณ ที่แห่งนี้ เขาเคยมาเยือนก่อนหน้านี้ เพียงแต่พำนักอยู่เพียงชั่วครู่
และในยามนี้ เขาได้กลับมาอีกครา ขณะที่โฉบผ่านไป เขาก็ทะยานร่างเข้าสู่ราชรถที่ผุพังโดยพลัน มิได้ลังเลแม้แต่น้อย แล้วนั่งลงบน…ที่นั่งบนราชรถ
ทันทีที่นั่งลง ราชรถพลันสั่นสะเทือน ร่างยักษ์เบื้องหน้าสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ราวกับจะหันศีรษะกลับ
ทันใดนั้น ร่างจำแลงวิหคทองจากร่างสวี่ชิงก็พลันปรากฏกาย เปล่งเสียงก้องกังวาน แผ่เพลิงสวรรค์ห่อหุ้มราชรถ ในเวลาเดียวกัน สวี่ชิง ยังปลดปล่อยแสงเซียนตะวันดับในร่าง ผนึกกำลังกับวิหคทอง
ทำให้แสงที่วิหคทองปลดปล่อยออกมา กลับเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม
มองจากระยะไกล ร่างที่นั่งในราชรถ ดูราวกับมิใช่ผู้บำเพ็ญ หากแต่เป็นดวงอาทิตย์!
ในเวลาเดียวกัน ปัญญาแห่งเทพของเขาก็กระจายออกไป พลังต้นกำเนิดเทพแผ่ซ่านออกมาจากภายในกาย ควบคุมแขนขาดวิ่นของคีตกวี ทำให้ท่วงทำนองเพลงกลับเร่งเร้ามากยิ่งขึ้น
ร่างยักษ์สั่นสะท้านไปทั้งร่างในยามนี้ มันถูกเสียงสวรรค์รับจันทร์ดึงดูด ปรารถนาที่จะฟังโดยสัญชาตญาณ ทว่ากลิ่นอายวิหคทองจากราชรถเบื้องหลัง กลับทำให้ร่างกายของมันปรากฏสัญชาตญาณที่บ่มเพาะมานับหมื่นปี
2 สัญชาตญาณปะทุในร่าง เข้าช่วงชิงร่างกาย
สวี่ชิงจดจ่อจิตใจ ขณะที่ได้เห็นฉากนี้ 2 นัยน์ตาก็พลันลุกโชนด้วยเปลวเพลิง เขาเฝ้ารอคอยช่วงเวลานี้มานานแสนนาน
ในเรื่องเล่า วิหคทองหวนคืนสู่ตำหนัก บรรเลงเสียงสวรรค์รับจันทร์ ทำให้ดวงจันทราผงาดขึ้น และท่วงทำนองเพลงนี้จักยาวนานชั่วค่ำคืน ในยามที่ท่วงทำนองเพลงจบสิ้นลง ดวงจันทร์จักหวนคืนสู่ตำหนัก และวิหคทองจักทรงราชรถผงาดขึ้นจากดินแดนต้องประสงค์
ยามนี้ ภายใต้สัญชาตญาณความบ้าคลั่งคล้ายกับยักษ์ ขณะที่อรุณรุ่งกำลังจะลาลับ แขนที่ขาดวิ่นที่บรรเลงเสียงสวรรค์ ก็เล่นมาถึงบทเพลงสุดท้าย
จวบจนกระทั่งท่วงทำนองเพลงจบสิ้นไป
……
บนผิวน้ำ เอ้อร์หนิวเอนกายลงบนแผ่นกระดานเรือสำเภาของเจ้าใบ้ พลางฮัมเพลงเบาๆ
หวงเหยียนนั่งบนหัวเรือ หาวหวอดๆ
เหล่ารองเจ้ากรมปราบพิฆาตสำนัก 7 เนตรโลหิตทั้ง 2 ยังคงปิติยินดี จ้องมองไปยังคนทั้ง 2 จากด้านข้างเป็นระยะ
มีเพียงเจ้าใบ้ ที่ยืนอยู่ท้ายเรือ เฝ้ามองผิวน้ำโดยตลอด
ท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงดาว
จนกระทั่งอรุณรุ่งลาลับ ท้องนภาพลันสว่าง แสงแห่งทิวากาลกำลังจะสาดส่อง…แสงตะวัน กลับปรากฏขึ้นจากใต้สมุทร ราวกับคมดาบนับอนันต์ แทงทะลวงผิวน้ำโดยตรง สาดส่องไปยังม่านฟ้า
จากนั้น ขณะที่ท่วงทำนองเพลงเอ้อร์หนิวชะงักลง แววประหลาดใจฉายชัดในดวงตาหวงเหยียน ร่างเงายักษ์มหึมาพลันทะยานร่างขึ้นจากผิวน้ำ คลื่นยักษ์โถมกระหน่ำ ส่งเสียงครืนครั่นไปทั่ว 8 ทิศ ในเวลาเดียวกัน ร่างอันมหึมาของมัน พลันทะยานร่างขึ้นสู่เวหา!
มุ่งหน้าสู่ท้องฟ้า ก้าวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้า เสียงโครมครามสนั่นฟ้าดิน
เบื้องหลังของเขา ปรากฏโซ่ตรวนเส้นหนึ่ง
ในฉับพลันต่อมา คลื่นยักษ์บนผิวน้ำโหมกระหน่ำยิ่งกว่าเดิม ราชรถโบราณที่ถูกยักษ์ลากจูง ก็พุ่งตัวขึ้นจากสมุทรอีกครา…ทะยานขึ้นสู่เวหา!
ในราชรถนั้นสวี่ชิงนั่งอยู่ ร่างจำแลงวิหคทองเบื้องนอก ปลดปล่อยเสียงก้องกังวาน เพลิงไร้สิ้นสุดพลันปะทุจากร่าง ห่อหุ้ม 8 ทิศ ยิ่งกว่านั้นแสงเซียนยังแผ่ซ่าน เจิดจ้าถึงขีดสุด
“ให้ตาย!” เอ้อร์หนิวสะดุ้งโหยง เบิกตากว้าง
เขามิอาจหยั่งรู้จุดประสงค์ของสวี่ชิง สวี่ชิงเองก็มิเคยกล่าวถึง ดังนั้นในการคาดการณ์ของเขา สวี่ชิงน่าจะต้องการใช้ราชรถในการบำเพ็ญเพียร ทว่าเขากลับคาดมิถึง ว่าจะเป็น…การทำให้ราชรถทะยานขึ้นสู่เวหา
“ตำนานหวนคืน?” เอ้อร์หนิวสูดลมหายใจ
หวงเหยียนที่อยู่ข้างๆ ดูต่างจากเอ้อร์หนิว เขาล่วงรู้ถึงจุดประสงค์ของสวี่ชิง ขณะเวลาจึงนี้สีหน้าจึงเคร่งขรึม ด้วยว่าในราชรถ เขามิได้เห็นสวี่ชิง
หากแต่ยังได้เห็น…เงาร่างเลือนรางร่างหนึ่งกำลังทอดสายตามองฟ้าดิน อยู่เบื้องหน้าสวี่ชิง
ร่างเงาผู้นั้นเป็นเด็กหนุ่ม ทว่ากลับสง่างามประดุจเทพเจ้าหรือจักรพรรดิ!
“เผ่าเทพนภาเจิดจรัส องค์รัชทายาทวิหคทอง!”
ดินแดนต้องประสงค์ในยามนี้ ท้องฟ้าพลันสว่างไสว!
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
