Skip to content

Queen revenge Chapter 4

Chapter 4

คิดทำการค้า

คนเป็นพ่อตาสว่างวาบ แต่ก็หนักใจอีก เคยแต่รับราชการ หากลาออกแล้วจะเอาอะไรรายได้ที่ไหนเลี้ยงดูครอบครัว

ไป๋เฟิ่งหวงรับรู้ความหนักใจของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวก็รีบบอกว่า “หากให้ท่านพี่เอาเงินไปทำการค้าคงพอมีทาง แต่ห้ามทำการใหญ่โต เด่นเกินไปก็เป็นภัยอีก”

“แล้วจะทำการค้าอะไรล่ะ?” ไป๋จงถามไปงั้นๆไม่เชื่อถือคำพูดน้องสาวที่พูดจาแก่แดดเกินตัว

“เริ่มจากขายของในห้องเก็บของนั้นให้หมด ของไม่ใช้เก็บเอาไว้ก็รังแต่จะเสียประโยชน์สู้เปลี่ยนเป็นเงินทองมาเก็บไว้น่าจะเกิดประโยชน์มากกว่านะ” ไป๋เฟิ่งหวงแนะแนวทาง เพราะหากไม่ลงมือช่วยเหลือครอบครัวนี้น่ากลัวว่าโอกาสที่สวรรค์ประทานให้นางคงจบลงใต้คมดาบบนลานประหารแน่

ไป๋จื่อฮัวเข้าใจความคิดของลูกสาวเป็นอย่างดี หลบหลีกภัยที่กำลังจะมาถึงตัวก่อนเข้าตำราพิชัยสงครามทั้งหมด แต่ว่าเฟิ่งหวงไม่เคยอ่านตำราพวกนั้นเลยสักครั้ง คำยากๆเข้าใจได้ยากพวกนั้นนางยังเรียนไม่เคยอ่านเลยด้วยซ้ำ หรือว่านี่คือทางรอดที่สวรรค์ประทานมาให้ตระกูลไป๋กระมัง หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็ควรจะวัดดวงลองเชื่อลูกสาวสักครั้ง

“จงเอ๋อร์ พรุ่งนี้เจ้าจงเข้าวังไปลาป่วยแทนพ่อที แล้วอีก 7 วันเจ้าค่อยนำหนังสือลาออกไปถวายต่อฮ่องเต้” ไป๋จื่อฮัวบอกลูกชายอย่างตัดสินใจเด็ดขาด

“ท่านพ่อ!” ไป๋จงตกใจ “ท่านคิดดีแล้วหรือ?”

“ข้าคิดดีแล้ว ข้าคิดไว้ก่อนแล้วด้วยตั้งแต่ได้ยินว่าฮองเฮาเป็นกบฏ แต่ยังคิดไม่ตกเรื่องหลังจากลาออกแล้วจะทำมาค้าขายอะไรดี แล้วเฟิ่งหวงก็มาช่วยแนะทางออกให้ข้าพอดี” ไป๋จื่อฮัวยิ้มให้ลูกสาว จิตใจปลอดโปร่งโล่งขึ้นเยอะ “ขอบใจมากเฟิ่งหวง” เขาตบไหล่ลูกสาวเบาๆ

“เอาล่ะไปกินข้าวกันดีกว่า ป่านนี้แม่เจ้าคงจัดสำรับกับข้าวเสร็จแล้วล่ะ มาพ่ออุ้ม” เขาพูดแล้วก็ทำท่าจะอุ้มลูกสาวขึ้นมา

“ไม่ต้องอุ้ม ข้าเดินไปเองได้” ไป๋เฟิ่งหวงรีบบอกหน้าแดงแล้วก็รีบวิ่งไปที่เรือนใหญ่

“เฟิ่งหวง อย่าวิ่งซิ เดี๋ยวอาการเจ้าก็กำเริบอีกหรอก” ไป๋จงรีบวิ่งตามไป

ไป๋เฟิ่งหวงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดไป๋เฟิ่งหวงตัวจริงจึงร่างกายอ่อนแอนัก ก็ประคบประหงมดั่งไข่ในหินกันเช่นนี้เอง เด็กน้อยจึงไม่เคยออกแรงเลย แล้วจะไปแข็งแรงได้ไงล่ะ เฮ้อ…

ไป๋จื่อฮัวได้แต่มองตามลูกๆไป ลูกสาวไม่ยอมให้อุ้มเหมือนกาลก่อน นางคงโตเป็นสาวแล้วซินะ อีกหน่อยเขาคงต้องปั้นหน้าเป็นพ่อหน้าโหดแล้วกระมังจะได้กำหราบพวกไอ้หนุ่มเหยาะแหยะที่จะมาเกาะแกะลูกสาวของเขาในอนาคตแล้วล่ะ

วันรุ่งขึ้น ไป๋จงก็เข้าวังไปลาป่วยแทนพ่อ

“ขุนนางไป๋ป่วยงั้นรึ? ให้หมอหลวงไปดูซักหน่อยดีกว่า” ฮ่องเต้ตรัสแล้วก็มีพระบัญชาทันที “หมอหลวง”

“พะย่ะค่ะฝ่าบาท” หมอหลวงก้าวออกไปรับพระบัญชา

“เจ้าจงไปรักษาขุนนางไป๋สักหน่อย หากเป็นอะไรไปแผ่นดินจะสูญสิ้นคนดีๆมากความสามารถอย่างขุนนางไป๋ได้” ฮ่องเต้บัญชาอย่างเป็นห่วงเป็นใย

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงใส่พระทัยบิดากระหม่อมพระเจ้าข้า ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปีพระเจ้าข้า” ไป๋จงหมอบคารวะติดพื้น

ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่าได้ใส่ใจ เจ้าก็ลุกขึ้นเถอะ ข้าอนุญาตให้เจ้าลางานไปดูแลพ่อจนกว่าจะหายป่วยก็แล้วกัน”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทพระเจ้าข้า เกล้ากระหม่อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนักพระเจ้าข้า” ไป๋จงก้มคารวะผงกๆ

ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ไล่ “ไปๆ รีบกลับจวนไปดูแลพ่อเจ้าเถอะ เอ้า ใครมีเรื่องอะไรอีกก็ว่ามา?”

ไป๋จงค่อยๆลุกขึ้นถอยออกจากท้องพระโรงอันโอ่อ่า ทิ้งเสียงกราบทูลรายงานไว้เบื้องหลัง

หมอหลวงคารวะฮ่องเต้แล้วก็ตามไป๋จงไป “ท่านไป๋ รอข้าด้วย”

ไป๋จงหยุดฝีเท้าหันไปมองหมอหลวง

“ว่าแต่อาการขุนนางไป๋มีอาการเช่นไรบ้าง ข้าจะได้เตรียมยาถูก” หมอหลวงเดินตามไปทันก็รีบถาม

“ก็ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้นิดหน่อย แต่ว่าท่านพ่อข้าก็อายุมากแล้วอาการก็เลยเป็นหนักจนไม่อาจลุกออกจากเตียงได้น่ะ” ไป๋จงพูดอย่างคล่องปากสมกับที่เตรียมการมาอย่างดีตั้งแต่เมื่อวาน

“อ่อ ถ้าเช่นนั้นเราก็ไปกันได้เลย ถ้าหากมีอาการอะไรนอกเหนือจากนี้ก็ค่อยให้ท่านตามไปรับยาที่สำนักหมอหลวงล่ะกัน” หมอหลวงพูดแล้วก็เดินลิ่วๆไปขึ้นรถม้าหน้าประตูวัง

ณ จวนขุนนางไป๋ฯ

ไป๋จื่อฮัวนอนซมอยู่บนเตียง มีฮูหยินคอยดูแลอยู่ใกล้ๆกับหมอจากโรงหมอที่คุ้นเคยกันดีคอยดูแลอยู่

ไป๋จงเดินนำหมอหลวงไปหาท่านพ่อ

“คารวะท่านหมอหลวง รบกวนท่านแล้ว” ไป๋จื่อฮัวรีบทักทาย ขยับตัวจะลุกออกจากเตียง

“ไม่ต้องลุกๆ ไม่ต้องมากพิธีหรอกท่านไป๋ คนกันเองแท้ๆ” หมอหลวงรีบบอก

“เสียมารยาทแล้ว” ไป๋จื่อฮัวคารวะอีกรอบ

“คารวะท่านหมอหลวง” ฮูหยินไป๋รีบลุกขึ้นยืนโค้งคารวะ

หมอจากโรงหมอจึงรีบคารวะตาม “คารวะท่านหมอหลวง”

หมอหลวงขยับเข้าไปตรวจอาการ

ฮูหยินรีบถอยไปให้หมอหลวงได้ทำการตรวจสามีสะดวกๆ

“อือ เป็นไข้เปลี่ยนฤดูเท่านั้น เอาล่ะข้าจะจัดยาให้ท่านกินซัก 7 วันคงหายขาด” หมอหลวงบอกแล้วก็จับท่อนแขนตรวจดู “ว่าแต่ผื่นแดงๆพวกนี้ท่านไปโดนอะไรมารึ?”

“ข้าก็ไม่ทราบ เมื่อวานยังไม่เห็นมี พอเช้ามาก็เป็นดังเช่นที่ท่านเห็นนี่แหละ” ไป๋จื่อฮัวตอบ

หมอหลวงเลิกแขนเสื้อตรวจดู “อืม…เหมือนถูกหญ้าคันสักอย่างหรือตัวบุ้งขนงั้นแหละ ท่านรู้สึกคันไหม?”

“ไม่คัน” ไป๋จื่อฮัวส่ายหน้า

“งั้นข้าจะเพิ่มยาทาไว้ให้ท่านทาอีกอย่างล่ะกัน” หมอหลวงตอบแล้วก็ปล่อยมือจากคนไข้ เขาลุกขึ้นยืนคารวะขุนนางไป๋ซึ่งมีตำแหน่งเท่ากับตัวเอง “ข้าขอลา”

“ขอบคุณท่านมากที่อุตส่าห์มาช่วยรักษาถึงที่บ้านข้าเช่นนี้ รบกวนท่านจริงๆ” ไป๋จื่อฮัวคารวะตอบ

“ต้องขอบพระทัยฮ่องเต้ถึงจะถูก ข้าเพียงทำตามรับสั่งเท่านั้น” หมอหลวงบอก

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้ว” ไป๋จื่อฮัวคารวะไปทางวังหลวง

หมอหลวงมองแล้วก็หมุนตัวเดินออกไป

ฮูหยินกับหมอจากโรงหมอรีบคารวะส่ง

ไป๋จงรีบตามไปส่งแขก

ขณะกำลังจะก้าวผ่านประตูห้อง หมอหลวงก็หันไปพูดว่า “อ่อ ไหนๆข้าก็มาถึงนี่แล้ว แวะตรวจอาการคุณหนูไป๋ด้วยเลยดีกว่า”

ไป๋จื่อฮัวรีบคารวะ “รบกวนท่านอีกแล้ว ขอบคุณที่มีน้ำใจ ขอบคุณท่านหมอหลวง” แล้วเขาก็หันไปพูดกับภรรยาว่า “ฮูหยินไปตามลูกมาพบท่านหมอหลวงที่นี่ที”

“เจ้าค่ะท่านพี่” ฮูหยินพยักหน้ารับแล้วก็เดินไป

“เชิญท่านหมอหลวงนั่งจิบชาก่อนเถอะ” ไป๋จื่อฮัวผายมือเชิญ

“ไม่ต้องหรอก ข้าไปพบนางเองดีกว่า รบกวนท่านไป๋นำทางด้วย” หมอหลวงบอกพลางส่งสายตาให้ขุนนางหนุ่ม

“อ่อ ได้ขอรับ” ไป๋จงรีบเดินนำทางไป

หมอหลวงเดินตามไปด้วยท่าทีเนิบนาบไม่รีบไม่ร้อน

ณ ศาลากลางสวน ระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนคุณหนูไป๋

ไป๋เฟิ่งหวงกำลังนั่งมองกระดานหมากข้างหน้า ข้างๆมีตำราเดินหมากวางอยู่ นางนั่งตัวตรงยกถ้วยชาขึ้นจิบท่วงท่าอ่อนช้อยสง่างาม

เซี่ยวซินเช็ดถูศาลาอยู่ใกล้ๆ

“อ่อ นางอยู่นี่พอดีเลย” ไป๋จงรีบหันไปบอกคนที่เดินตามหลังมา

หมอหลวงมองตามแล้วก็เห็นเด็กหญิงที่กำลังเริ่มเข้าสู่วัยสาวนั่งอยู่คนเดียวในศาลา พลัน! เขาก็เห็นภาพๆหนึ่งทับซ้อนร่างนั้น เป็นสตรีสูงศักดิ์ผู้เป็นใหญ่แห่งวังหลังที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี สตรีที่เขาได้แต่แอบหลงรักแต่ไม่อาจแตะต้องได้เพราะนางมีชะตาที่ยิ่งใหญ่ไม่อาจจะเป็นเพียงฮูหยินของหมอหลวงที่เริ่มเข้ารับราชการได้เลย ชะตานางยิ่งใหญ่ได้เป็นถึงฮองเฮา แต่น่าเสียดายที่ต้องสิ้นพระชนม์ด้วยข้อหาโง่เง่านั่น แต่จะทำอะไรได้ล่ะในเมื่อนางหมดประโยชน์สำหรับคนผู้นั้นแล้วนี่ อยู่ต่อไปก็รังแต่จะเป็นตัวเกะกะ เขาพยายามจะช่วยนางแต่ก็ไม่อาจจะช่วยเหลือได้ ทำได้แต่ปรุงยาพิษที่ออกฤทธิ์เฉียบพลันหวังส่งนางไปปรโลกอย่างไม่ต้องทรมาน

หากเขาล่วงรู้สักนิดว่าชะตานางจะจบลงเช่นนั้น ในตอนนั้นที่ยังเป็นเพียงหมอฝึกหัดเขาคงทุ่มเทพลังกายและใจทั้งหมดที่มีเพื่อรั้งนางให้เป็นฮูหยินของเขาเสียดีกว่า หากเป็นเช่นนั้นวันนี้เขาคงยังได้สนทนากับนางทุกวันคืน นั่งจิบชาชมจันทร์คุยกันเรื่องบทกวี ไม่ต้องแอบเฝ้ามองนางซึ่งนอนสงบอยู่ในสุสานหลวงเช่นนี้หรอก…หลิวหลิว หากข้าย้อนกาลเวลาได้วันนี้เจ้าคงยังมีชีวิตอยู่ซินะ

“ท่านหมอหลวงๆ”

เสียงเรียกทำให้เขาหลุดจากภวังค์ “หือ”

“เชิญขอรับ” ไป๋จงผายมือเชิญ

หมอหลวงก้าวไปที่ศาลา

ไป๋เฟิ่งหวงเห็นคนก้าวเข้ามาตามด้วยพี่ชายก็ลุกขึ้นคารวะอย่างอ่อนช้อย “คารวะท่านหมอหลวง”

“คุณหนูยังจำข้าได้เป็นเกียรติยิ่งนัก” หมอหลวงยิ้มให้เด็กสาว

ไป๋เฟิ่งหวงยิ้มตอบ

เซี่ยวซินรีบคารวะแขกที่มาพร้อมคุณชายทันที

หมอหลวงมองกระดานหมากที่มีหมากสีดำและขาววางเรียงอยู่ไม่กี่เม็ด เหมือนจะเคยเห็นหมากแบบนี้ที่ไหนน้า? เอ…

“เล่นคนเดียวจะไปสนุกอะไร ต้องมีคนเล่นด้วยซิถึงจะสนุก จริงไหมคุณหนู?” เขาชวนคุยตามประสาผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กน้อย แล้วสายตาก็เหลือบไปมองตำราเดินหมากที่อยู่ข้างๆกัน นางคงกำลังหัดเดินหมาก

“ข้าก็อยากมีคนเดินหมากด้วย แต่ข้าเพิ่งเริ่มจึงยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี” ไป๋เฟิ่งหวงออกตัว

“งั้นข้าจะเดินหมากกับคุณหนูซักตาก็แล้วกัน” หมอหลวงบอกแล้วก็หย่อนตัวลงนั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นหมากสีดำ “ว่าแต่คุณหนูอยากจะเดินต่อหรือว่าเริ่มใหม่ดีล่ะ?”

“ข้าอยากเดินต่อ” ไป๋เฟิ่งหวงบอกแล้วก็หันไปสั่งบ่าวว่า “เซี่ยวซิน ขอชา”

“เจ้าค่ะคุณหนู” เซี่ยวซินรีบเดินไปล้างมือแล้วกลับมารินชาให้คุณชายและแขก

ไป๋จงขยับไปนั่งข้างน้อง

ไป๋เฟิ่งหวงนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมแล้วก็ผายมือเชิญ “เชิญท่านหมอเดิน”

หมอหลวงมองหมากบนกระดานแล้วก็หยิบหมากสีดำวางลงบนกระดาน

ไป๋เฟิ่งหวงหยิบหมากสีขาววางลงไป

ไป๋จงมองอย่างขัดอกขัดใจ วางแบบนี้แพ้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะเฟิ่งหวงเอ้ย

หมอหลวงวางหมากดัก

ไป๋เฟิ่งหวงวางหมากลงไป

“เฟิ่งหวงเจ้าแพ้แน่ คิดก่อนวางซิ” ไป๋จงกระซิบบอกอย่างขัดอกขัดใจ

“ข้าไม่แพ้หรอก” ไป๋เฟิ่งหวงบอกพี่ชายอย่างมั่นใจ

หมอหลวงยิ้มให้สองพี่น้องแล้วก็วางหมากลงไป

ทั้งสองวางหมากสลับกันลงไปเรื่อยๆจนเม็ดหมากเริ่มเต็มกระดาน

ไป๋จงได้แต่มองอย่างขัดอกขัดใจ แต่ก็ไม่อาจจะแนะนำอะไรได้เพราะน้องสาวไม่ยอมฟังความคิดเห็นของเขา เห็นอยู่เต็มตาว่าแพ้แน่ๆ ยังจะทำคุยอีกนะเฟิ่งหวงเอ้ยเฟิ่งหวง แต่ถึงเจ้าแพ้ก็ไม่เสียหน้าเท่าไหร่หรอกเพราะเจ้าเพิ่งหัดเดินหมากจะไปสู้ผู้ใหญ่อย่างท่านหมอหลวงได้อย่างไรล่ะ

หมอหลวงวางหมากลงไปอีกตัว

ไป๋เฟิ่งหวงวางหมากลงไปแล้วก็เก็บหมากสีดำขึ้นหมดทั้งกระดาน

หมอหลวงกับไป๋จงได้แต่มองตาค้าง

“เฮ้ย!” ไป๋จงอ้าปากค้าง เห็นอยู่ชัดๆว่าท่านหมอหลวงต้องชนะแน่ๆ แต่เพียงแค่เฟิ่งหวงวางหมากลงไปอีกเม็ดกลับกินเรียบทั้งกระดาน ชนะไปอย่างม้ามืดเฉยเลย

“คุณหนูเก่งมาก ไม่เคยมีใครทำให้ข้าแพ้มานานแล้ว” หมอหลวงพูดแล้วก็ยิ้มให้เด็กสาว

“ข้าก็แค่บังเอิญชนะเท่านั้น” ไป๋เฟิ่งหวงตอบน้ำเสียงราบเรียบไร้แววหยิ่งผยองหรือถ่อมตัว นางหยิบเม็ดหมากสีขาวค่อยๆเก็บลงโถ แล้วก็หยุดมือ

หมอหลวงมองหมากสีขาวบนกระดานอีกครั้ง พลัน! เขาก็เงยหน้าขึ้นจ้องเด็กสาวเหมือนนางเป็นสิ่งประหลาดอัศจรรย์พันลึกที่สุดบนแผ่นดินนี้ หมากสีขาวเรียงต่อกันเป็นสัญลักษณ์ที่มีแต่หมอหลวงเท่านั้นที่รู้จัก “หลิวหลิว…” เขาพึมพำเสียงแผ่วเบาคล้ายละเมอ มือเลื่อนไปกำของบางสิ่งที่คล้องคอเอาไว้

ไม่เคยมีใครเห็นสิ่งนี้แน่ๆเพราะเขาถักเชือกรัดพันมันเอาไว้ตั้งแต่วันที่นางแต่งเข้าตำหนักอ๋องหลงถัง นับจากวันนั้นก็ผ่านมาเนิ่นนานหลายสิบปีแล้ว อีกทั้งคนที่รู้จักก็มีเพียงเขากับนางเท่านั้น มันเป็นสัญลักษณ์ที่รู้กันระหว่างเขาและนาง สัญลักษณ์แห่งคำมั่นสัญญาระหว่างเพื่อนรัก

ไป๋เฟิ่งหวงมองใบหน้าหมอหลวงอย่างสงบ ขยับริมฝีปากไร้เสียงอ่านได้ว่า…สัญญานั้นข้าขอทวงในวันนี้

หมอหลวงอ่านริมฝีปากนั้นแล้วก็ยิ่งตะลึงพรึงเพริดเข้าไปอีก

ไป๋จงเห็นท่าทางหมอหลวงแปลกๆไปก็ส่งเสียงเรียก “ท่านหมอหลวง ท่านหมอหลวงขอรับ ท่านหมอหลวง” เขายื่นมือไปจับแขน “ท่านหมอหลวง”

หมอหลวงสะดุ้งเฮือก “หา!”

“ท่านเป็นอะไรรึเปล่า? อยู่ๆก็ใจลอยแบบนี้น่ะขอรับ” ไป๋จงถาม

หมอหลวงหันไปมองหน้าชายหนุ่มแล้วก็มองเด็กสาว เขาก้มลงมองกระดานหมากอีกครั้งแล้วก็เงยหน้ามองเด็กสาว

“ท่านหมอหลวงคงติดธุระกะทันหันล่ะมั้ง?” ไป๋เฟิ่งหวงพูดน้ำเสียงราบเรียบแล้วก็เก็บหมากบนกระดานลงโถ

“ใช่ๆ ข้ามีธุระต้องรีบไป เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะคุณหนู ท่านไป๋” หมอหลวงพยักหน้ารับแล้วก็รีบเดินไป

ไป๋จงรีบตามไปส่งแขกถึงรถม้าอย่างงงๆว่าเหตุใดท่านหมอหลวงถึงได้มีท่าทางร้อนรนขนาดนั้น

ไป๋เฟิ่งหวงมองกระดานหมากแล้วก็ยิ้มบางๆ นางคงไม่ได้ทำให้สหายรักตกใจจนเกินไปหรอกมั้ง แต่จะทำไงได้ล่ะนางต้องการใช้อำนาจที่เขามีอยู่นี่น่า “กู่เล่อ เจ้าต้องช่วยข้า” นางพึมพำเบาๆแล้วก็สั่งบ่าวว่า “เก็บของไปไว้ที่ห้อง แล้วไม่ต้องตามข้ามาล่ะ ข้าจะไปเดินเล่นสักหน่อย”

“แต่ว่า คุณหนูรอข้าก่อนเจ้าค่ะ ถ้าเกิดคุณหนูอาการกำเริบขึ้นมาข้าจะได้ช่วยแบกท่านกลับห้องได้นะเจ้าคะ” เซี่ยวซินแย้งอย่างเป็นห่วง

“ไม่ต้อง ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ” ไป๋เฟิ่งหวงสั่งน้ำเสียงราบเรียบ

เซี่ยวซินก็รีบทำตามคำสั่งทันที คล้ายๆรู้สึกว่าหากขัดคำสั่งอาจโดนเชือดเนื้อเลาะกระดูกเอาได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version