Skip to content

Queen revenge Chapter 3

Chapter 3

รอข้าก่อนเถอะเฉินกงกง!

ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ อีกไม่นานนักนางก็จะรู้อยู่แล้วว่าใครลงมือลอบปลงพระชนม์องค์หญิงหลงหลิว แต่แล้วก็ดันเกิดเรื่องใส่ร้ายว่านางเป็นกบฏจนทุกคนต้องตายหมด ข้อหากบฏว่านางคบค้ากับแคว้นหนานถิง โง่เง่าสิ้นดี! ฝ่าบาทก็ช่างโง่งมหลงเชื่อไปได้อย่างไร! นางเป็นถึงฮองเฮาผู้ยืนเหนือคนนับหมื่นอยู่ใต้คนๆเดียวจะโง่เง่าขายชาติตัวเองให้คนต่างแคว้นได้อย่างไรกัน! แต่หลักฐานทุกอย่างชัดแจ้งก็เพราะเฉินกงกงคนสนิทของนางเป็นผู้นำหลักฐานต่างๆถวายให้ฮ่องเต้เอง เจ้าคนทรยศนั่นนางไม่ปล่อยให้มันตายง่ายๆหรอก มันจะต้องอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่อาจร้องขอ!

รอข้าก่อนเถอะเฉินกงกง!

หลังจากร่ำให้ด้วยความอาฆาตแค้นแล้ว นางก็ยกหลังมือปาดน้ำตาทิ้ง เปิดผ้าออกก็หันไปเห็นฮูหยินไป๋จ้องมองอยู่

สายตาของคนเป็นแม่มีแต่แววเป็นกังวล ทั้งรักทั้งห่วงใยไม่ผิดไปจากสายตาของนางที่เคยมองดูลูกสาวลูกชายเลยสักนิด เห็นสายตาเช่นนั้นแล้วนางก็ไม่อาจจะทำให้คนตรงหน้าต้องทุกข์ใจไปมากกว่านี้ได้อีก นางลุกขึ้นนั่งแล้วก็พูดว่า “ฮู…ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว”

ฮูหยินไป๋พอได้ยินลูกพูดเช่นนั้นก็รีบหันไปตะโกนสั่งบ่าวว่า “พวกเจ้ารีบไปยกของกินมาเร็ว คุณหนูหิวแล้ว เร็วๆเข้าล่ะ”

“เจ้าค่ะ” บ่าวรับคำสั่งแล้วก็รีบโรงครัว

ฮูหยินหันไปมองลูกสาวแล้วก็พูดว่า “รอประเดี๋ยวนะลูก เดี๋ยวบ่าวก็ยกมาให้แล้ว” นางลูบหัวลูกสาวด้วยความรัก

ฮองเฮาหลิวยอมให้นางลูบหัวเพราะเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่เช่นเดียวกัน

“เดี๋ยวกินเสร็จแล้ว เจ้าก็เปลี่ยนไปใส่ชุดไว้ทุกข์นะลูก เดี๋ยวแม่จะให้บ่าวออกไปหาซื้อมาเพิ่มให้นะ ชุดเก่าที่เคยใส่เมื่อ 2 ปีที่แล้วเจ้าคงจะใส่ไม่ได้แล้วล่ะก็เจ้าโตขึ้นมากแล้วนี่น่า” ฮูหยินไป๋บอกแล้วก็ช่วยประคองลูก “มาลูก ไปนั่งที่โต๊ะนะ”

ฮองเฮาหลิวจับมือที่เริ่มมีริ้วรอยแล้วพูดว่า “ท่านแม่ไม่ต้องช่วยพยุงข้าหรอก ข้าลุกเองได้ อีกหน่อยข้าจะวิ่งให้ท่านดู”

“หากเจ้าออกไปวิ่งได้แม่จะดีใจมากเฟิ่งหวง” ฮูหยินไป๋ยิ้มอย่างดีใจที่ลูกเริ่มพูดจาอย่างให้ความสนิทสนมมากขึ้น แม้จะไม่เหมือนก่อนหน้าที่จะสิ้นลมหายใจแต่อย่างน้อยถ้อยคำและน้ำเสียงที่พูดก็ไม่ได้แข็งกร้าววางอำนาจอีกต่อไป

ไป๋เฟิ่งหวงลุกออกจากเตียงเดินไปนั่งที่โต๊ะ รู้สึกได้เลยว่าร่างกายนี้ช่างไร้เรี่ยวแรงเสียจริง เคยได้ยินว่าไป๋เฟิ่งหวงอ่อนแอตั้งแต่เล็กๆ ตอนนางยังเป็นฮองเฮาเคยได้ให้หมอหลวงไปตรวจให้อยู่สองสามครั้ง ซึ่งหมอหลวงก็รายงานว่าเป็นโรคหัวใจแต่กำเนิดไม่อาจรักษาได้ ทำได้เพียงให้ยาประคับประคองตามอาการเท่านั้น โธ่…สวรรค์หนอสวรรค์จะให้โอกาสนางได้แก้แค้นทั้งทีทำไมจึงให้นางมาอยู่ในร่างเด็กอ่อนแอแบบนี้เล่า?

ฮูหยินเดินตามไปนั่งข้างๆ รินน้ำชาใส่ถ้วยส่งให้ลูกสาว “เฟิ่งหวงดื่มน้ำชาสักหน่อยนะ เจ้าจะได้แข็งแรง”

“ขอบคุณฮู…ท่านแม่” ไป๋เฟิ่งหวงเกือบจะหลุดเรียกฮูหยินอยู่บ่อยครั้ง นางจะต้องรีบทำตัวให้คุ้นเคยกับครอบครัวนี้โดยเร็ว คนอื่นจะได้ไม่สงสัย

นางรับถ้วยชามายกขึ้นดม กลิ่นเกสรดอกบัวหลวงลอยมากระทบจมูก นี่คือชาเกสรดอกบัวหลวงมีสรรพคุณบำรุงหัวใจ นางเรียนรู้เรื่องตำรายาสมุนไพรมาบ้างในชาติก่อน นางยกถ้วยขึ้นจิบทีละนิดๆจนหมดแล้วก็เอื้อมมือไปรินชาให้ตัวเองพร้อมกับรินให้ผู้เป็นแม่ด้วย

“ฮู…ท่านแม่ ชา”

“ขอบใจเฟิ่งหวง” ฮูหยินไป๋ยิ้มแล้วก็รับถ้วยชามายกจิบ

บ่าวไพร่ลำเลียงอาหารขึ้นโต๊ะแล้วก็ถอยไป

มีโจ๊ก ข้าวสวยแล้วก็ผัดผัก 3 จาน จานแรกเป็นผัดคะน้ากับเต้าหู้ จานที่สองเป็นผัดผักบุ้งกับเห็ดเข็มทอง จานที่สามเป็นผัดกุ่ยช่ายขาวกับเห็ดหอม

โจ๊กถูกวางตรงหน้าคุณหนูของบ้าน ส่วนข้าวกับกับข้าวถูกวางตรงหน้าฮูหยิน

ไป๋เฟิ่งหวงจ้องมองชามโจ๊กตาถลน แล้วก็หันไปมองอาหารของฮูหยิน เอ่อ…บ้านนี้ยากจนข้นแค้นถึงขนาดนี้เลยหรือไง?

“โจ๊กอีกแล้วเหรอ?” นางผลักชามโจ๊กออก “ไม่มีหมู ไก่ เนื้อบ้างเหรอ?”

“ลูกอยากกินอย่างอื่นเหรอ?” ฮูหยินหันไปมองท่าทางเบ้หน้าใส่ชามโจ๊ก “ก็ลูกบอกเองว่าชอบกินแต่โจ๊ก ไม่ยอมกินอย่างอื่นเลย บ่าวจึงต้มโจ๊กให้ทุกวัน ลูกก็ไม่เคยบ่นเลยสักนิด แม่คะยั้นคะยอให้ลูกกินอย่างอื่นบ้างลูกก็ไม่ยอมกินเองนี่น่า”

“งั้นวันนี้ข้าขอเปลี่ยนละกันเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่โจ๊กกับผัดผักแบบนี้” ไป๋เฟิ่งหวงยกชามโจ๊กไปตั้งไกลๆตัว

ฮูหยินมองแล้วก็ยิ้มขำ หันไปสั่งบ่าวว่า “ไปยกกับข้าวที่เตรียมไว้ให้นายท่านมาให้คุณหนูก่อนแล้วก็ทำเตรียมไว้ให้นายท่านใหม่ด้วยล่ะ”

“เจ้าค่ะ” บ่าวรีบเดินออกไป

ฮูหยินหันไปมองลูกสาวแล้วก็ยิ้มที่ลูกนึกอยากกินอย่างอื่นบ้าง นางกลัวว่าลูกจะเป็นโรคอดอาหารเพราะกินแต่โจ๊กนี่แหละ แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมกิน นางก็ไม่รู้จะบังคับลูกเช่นไร

บ่าวไพร่ลำเลียงอาหารมาใหม่ มีซุปไก่ เนื้อตุ๋นสมุนไพร ปลานึ่งแล้วก็ขาหมูตุ๋นน้ำแดง

ไป๋เฟิ่งหวงมองอาหารที่ยกมาใหม่อย่างพอใจ นางหยิบตะเกียบคีบเนื้อตุ๋นเข้าปากทันที รสชาติสู้พ่อครัวในวังไม่ได้แต่ก็ถือว่าอร่อยพอกินได้อยู่

“เป็นยังไง? อร่อยไหม?” ฮูหยินถามพลางมองลูกสาวด้วยความรัก

ไป๋เฟิ่งหวงหันไปมองตอบแล้วพยักหน้า พอเคี้ยวหมดปากนางก็ตอบว่า “อร่อย พอใช้ได้”

ฮูหยินยิ้มขำแล้วก็คีบผัดผักมากิน นางไม่แตะต้องเนื้อสัตว์บนโต๊ะเลยสักคำจนคนเป็นลูกแต่วิญญาณเป็นถึงฮองเฮาอดสงสัยไม่ได้

“เหตุใดท่านแม่จึงไม่กินเนื้อล่ะ?”

“แม่ตั้งใจกินเจก็เพื่อจะให้บุญกุศลที่แม่ทำไว้ช่วยให้เจ้าแข็งแรงไงเฟิ่งหวง” ฮูหยินยิ้มให้ลูก

“ข้าแข็งแรงแล้ว ต่อไปนี้ท่านแม่ก็เลิกกินเจเสียเถอะ” ไป๋เฟิ่งหวงบอกแล้วก็ตักปลานึ่งให้แม่

ฮูหยินไป๋ยิ้ม คีบปลาเข้าปากแล้วก็พุ้ยข้าวตามไป

สองแม่ลูกนั่งกินอาหารเสร็จแล้ว บ่าวก็ยกถ้วยชามไปเก็บ

บ่าวคนหนึ่งเดินเข้ามายื่นห่อผ้าให้ “ฮูหยิน เสื้อผ้าของคุณหนูเจ้าค่ะ”

ฮูหยินไป๋พยักหน้าแล้วก็หันไปเรียกบ่าวอีกคน “เซี่ยวซินพาคุณหนูไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็คอยดูแลคุณหนูให้ดีล่ะ ข้าเองก็ต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกัน”

“เจ้าค่ะ” เซี่ยวซินรับคำสั่งแล้วก็มาช่วยพยุงตัวคุณหนูลุกขึ้น

ไป๋เฟิ่งหวงหันไปสั่งเพียงสั้นๆว่า “ไม่ต้อง ข้าเดินเองได้ เจ้าไปเตรียมน้ำให้ข้าอาบดีกว่า”

“เจ้าค่ะ” เซี่ยวซินรับคำ แล้วก็รีบไปเตรียมน้ำอุ่นให้คุณหนูอาบน้ำ

ฮูหยินไป๋มองลูกสาวอย่างวางใจแล้วก็เดินกลับเรือนตัวเองไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดไว้ทุกข์

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วฮูหยินไป๋ก็เดินไปคอยคุมบ่าวไพร่ในจวนให้ทำงานเป็นระเบียบเรียบร้อย

บรรยากาศโศกเศร้าปกคลุมไปทั้งเมืองหลวง แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ยินดีกับข่าวซึ่งก็คือกลุ่มคนที่สนับสนุนพระสนมเย่เฟย ตัวพระสนมเองและพระโอรส

ไป๋เฟิ่งหวงอาบน้ำเสร็จแล้วก็สวมชุดไว้ทุกข์ นางก้มมองชุดที่ใส่แล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นในดวงตา ไว้ทุกข์ให้ลูกตัวเอง ครอบครัวตระกูลหลิว และตัวนางเอง ฮองเฮาหลิวผู้ยิ่งใหญ่ แต่ต้องมาตายอย่างอนาถใจด้วยข้อหากบฏโง่เง่านั้น

ริมฝีปากซีดเหยียดยิ้มเยาะ สมเพชในชะตาชีวิตของตัวเองในชาติก่อนนัก ลูกสาวแม่ทัพใหญ่ต้องมาตายอย่างอนาถเพียงเพราะคนใกล้ตัวทรยศหักหลัง นางกรีดน้ำตาทิ้ง หมดเวลาสำหรับน้ำตาของนางแล้ว ต่อไปนี้คือเวลาคืนความแค้นกลับไปให้พวกมันทุกคน!

เซี่ยวซินมองคุณหนูด้วยความรู้สึกหวั่นกลัวลึกๆในใจ แววแห่งอำนาจฉายชัดอยู่บนเรือนร่างเล็กบอบบางแทบจะปลิวลม นางรู้สึกกลัวคุณหนูเสียยิ่งกว่านายท่านและฮูหยินเสียอีก ตั้งแต่คุณหนูฟื้นขึ้นมานางก็รู้สึกว่าคุณหนูของนางมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเปลี่ยนไปยังไง ทั้งๆที่คุณหนูก็ยังเป็นคุณหนูคนเดิม

แล้วคุณหนูของนางก็ก้าวเท้าออกจากห้องไป “เดี๋ยวคุณหนูรอข้าด้วยเจ้าค่ะ” นางรีบเดินตามไป “คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ?”

ไป๋เฟิ่งหวงหันไปมองแล้วตอบสั้นๆว่า “เดินเล่น”

เซี่ยวซินคิดว่าคุณหนูคงจะเดินเล่นชมนกชมไม้หน้าเรือนเท่านั้น แต่นี่นางเดินตามคุณหนูจนไปถึงเรือนใหญ่ คงจะมาอ้อนฮูหยินเหมือนเคยนั่นแหละ พอจะขยับเข้าไปช่วยประคองก็เจอคำพูดสั้นๆว่า “ไม่ต้อง” กับสายตาดุจนนางไม่กล้าขัดใจได้แต่เดินตามคุณหนูไปติดๆ

ไป๋เฟิ่งหวงหยุดหน้าเรือนใหญ่มองสำรวจสภาพแวดล้อมครู่หนึ่งแล้วก็ก้าวเท้าเดินต่อไป

เซี่ยวซินได้แต่เดินตามไป “คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ?”

“เดินเล่น” ปากซีดหันไปตอบแล้วก็ก้าวเท้าเดินต่อไป การเดินเล่นของนางก็คือการเริ่มต้นออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูร่างนี้ให้แข็งแรง ทุกย่างก้าวนางก้าวอย่างมั่นคงสง่างาม กริยาสมกับที่เคยเป็นถึงฮองเฮาผู้ยิ่งใหญ่แห่งวังหลัง

จวนแห่งนี้มีเรือน 9 หลัง เรือนแรกคือเรือนรับแขกอยู่ด้านหน้าติดกับประตูทางเข้าใหญ่ด้านหน้า เรือนที่สองและสามคือเรือนรับแขก เรือนที่สี่คือเรือนของไป๋จง แล้วก็เรือนใหญ่เป็นเรือนที่ห้า เรือนที่หกคือเรือนของไป๋เฟิ่งหวง อีกสามเรือนก็คือโรงครัวและเรือนบ่าวไพร่ แยกเป็นเรือนชายและหญิงอยู่ติดกับประตูด้านหลัง มีเวรยามยืนคุมอยู่ที่ประตูด้านละสองคนเท่านั้น ดูการคุ้มกันแล้วช่างหล่ะหลวมยิ่งนักในสายตาลูกสาวแม่ทัพ นางคงต้องปรับปรุงการคุ้มกันเป็นอันดับแรกซินะ

หลังจากเดินจนทั่วทั้งจวนแล้วนางก็เดินกลับเรือนตัวเอง

เซี่ยวซินได้แต่มองอย่างประหลาดใจที่วันนี้คุณหนูเดินเล่นเสียรอบจวน นางรีบรินน้ำชาให้ “คุณหนู น้ำชาเจ้าค่ะ”

“ขอบใจ” ไป๋เฟิ่งหวงรับถ้วยน้ำชามาจิบพลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก ดูซิแค่เดินนิดเดียวยังเหนื่อยเสียขนาดนี้ นี่แสดงว่าเด็กน้อยไป๋เฟิ่งหวงไม่เคยออกแรงเลยสักนิดแน่นอน “เซี่ยวซิน เอากระดาษกับพู่กันมา”

“เจ้าค่ะ” เซี่ยวซินรีบไปหยิบกระดาษกับพู่กันให้แล้วก็จัดแจงฝนหมึกให้เพราะคิดว่าคุณหนูคงอยากวาดรูปขีดเขียนอักษรเล่นเหมือนเคย

มือบางจับพู่กันจุ่มหมึกแล้วก็ลากปราดๆลงบนกระดาษ เป็นแผนผังจวนแห่งนี้และตำแหน่งที่ควรจะจัดเวรยามและกำลังทหาร

เซี่ยวซินได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ คุณหนูวาดรูปอะไรก็ไม่รู้ เพราะทุกทีจะวาดเป็นรูปต้นไม้ดอกไม้

ดวงตากลมโตจ้องมองแผนผังอย่างพอใจแล้วก็วางพู่กันลง รอจนหมึกแห้งแล้วจึงม้วนเก็บ “เซี่ยวซิน เก็บ”

“เจ้าค่ะ” เซี่ยวซินเก็บพู่กัน เก็บหมึกกับกระดาษทันที

“เซี่ยวซินห้องหนังสืออยู่ที่ไหนหรือ?” ไป๋เฟิ่งหวงถามเพราะอยากรู้ว่าในจวนนี้มีหนังสืออะไรให้นางได้อ่านบ้าง

“ห้องหนังสือก็อยู่ที่เรือนใหญ่ซิเจ้าคะ คุณหนูอย่าชอบแกล้งทำเป็นลืมซิเจ้าคะ ทำแบบนี้บ่าวใจคอไม่ดีนะเจ้าคะ” เซี่ยวซินคิดว่าคุณหนูแกล้งจึงไม่ได้ใส่ใจ

“ข้าจะไปห้องหนังสือ” ไป๋เฟิ่งหวงบอกแล้วก็ถือม้วนกระดาษไปด้วย

เซี่ยวซินรีบเก็บของแล้วก็รีบวิ่งตามไป

เมื่อไปถึงห้องหนังสือ ไป๋เฟิ่งหวงก็วางม้วนกระดาษรวมไว้กับกองเอกสารบนโต๊ะ เจตนาคือต้องการให้ไป๋จื่อฮัวเห็นแผนผังนี้แล้วจัดเวรยามตามที่นางวางแผนไว้ จากนั้นก็เดินไปดูหนังสือบนชั้นซึ่งมีอยู่มากมายใกล้เคียงกับกองการศึกษาเพราะไป๋จื่อฮัวนั้นชอบอ่านหนังสือมากจึงสะสมหนังสือไว้มากมายทั้งซื้อหามาและคัดลอกมาจากกองการศึกษา หากเล่มไหนที่เขามีแต่กองการศึกษาไม่มีเขาก็จะให้คนคัดลอกแล้วนำไปไว้ที่กองฯ

แต่แล้วไป๋เฟิ่งหวงก็สะดุดสายตาเข้ากับชั้นหนังสือด้านในสุดซึ่งเป็นหนังสือภาษาต่างชาติต่างภาษาของชนผิวเผือกตาน้ำข้าว ตอนเด็กๆนางเคยติดตามท่านพ่อหลิวไปยังเมืองแถบชายทะเลแล้วบังเอิญได้ช่วยชนผิวเผือกซึ่งเรือแตกมาเอาไว้คนนึง ชายผิวเผือกจึงตอบแทนบุญคุณด้วยการสอนคุณหนูหลิวฟังพูดอ่านเขียน ภาษาของตัวเอง จนกระทั่งเด็กน้อยแตกฉานในภาษานั้น หลังจากนั้นหลายเดือนต่อมาชายผิวเผือกคนนั้นก็ป่วยตายด้วยโรคฝีในท้องตามที่หมอในเมืองนั้นวินิจฉัย

มือบางหยิบหนังสือมาเปิดอ่านทีละหน้า แล้วก็ถือหนังสือเล่มนั้นติดมือกลับไปนั่งอ่านที่เรือนตัวเอง

เซี่ยวซินได้แต่มองดูคุณหนูอย่างไม่เข้าใจ อ่านหนังสืออะไรก็ไม่รู้ ตัวอักษรยึกยือไม่เห็นจะเข้าใจสักนิด นางรู้หนังสือเพียงแค่ตัวเลขบวกลบหลักสิบเท่านั้นเอาไว้ใช้ยามไปจ่ายตลาดไม่ถูกพ่อค้าโกงเงินทอน

จนกระทั่งบ่ายกว่าๆ ไป๋จื่อฮัวกลับมาถึงบ้านก็ตรงไปดูอาการลูกสาวก่อนเป็นอันดับแรก เห็นบ่าวประจำตัวลูกสาวปัดกวาดเช็ดถูอยู่หน้าเรือนก็ถาม “คุณหนูล่ะ?”

เซี่ยวซินรีบโค้งทำความเคารพ “อยู่ในห้องเจ้าค่ะ”

ไป๋จื่อฮัวก็เดินเข้าไปข้างในทันที เขาเห็นลูกสาวกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเลยสักนิดจึงขยับเข้าไปชะโงกมอง เห็นลูกสาวกำลังอ่านหนังสือของชนเผ่าผิวเผือกตาน้ำข้าวอย่างขะมักเขม้นก็ประหลาดใจ นี่เฟิ่งหวงอ่านหนังสือพวกนี้ออกด้วยหรือ? ตัวเขาเองยังอ่านไม่ออกเลย แต่เห็นเป็นภาษาต่างถิ่นต่างแดนจึงซื้อเก็บไว้เท่านั้น

“อ่านอะ…” เขาทักได้เพียงเท่านั้น พลันร่างบอบบางก็สะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ มือบอบบางเรียวเล็กตวัดฟาดใส่คนข้างหลังตามสัญชาตญาณ ผั่วะ!

“โอ๊ย!” เขาเซถอยหลังไปสองก้าว แรงกำปั้นเล็กๆที่สะบัดต่อยเข้าลิ้นปี่แม้จะไม่รุนแรงนักแต่ก็ทำเอาเจ็บได้เหมือนกัน

ไป๋เฟิ่งหวงหันไปมองแล้วก็ตกใจ “ขุนนางไป๋!” นางรีบลุกไปจับแขนเขา ความจะแตกไหมหนอ? แล้วก็รีบกลบเกลื่อนว่า “ท่านมาเงียบๆข้าตกใจหมด”

ไป๋จื่อฮัวมองลูกสาวอย่างประหลาดใจในปฏิกิริยาโต้ตอบที่เหมือนคนเคยฝึกวรยุทธ์มา แต่ลูกของเขาไม่เคยฝึกการวรยุทธ์เลยสักนิดนางจะต่อสู้เป็นได้อย่างไร คงเป็นเพราะไป๋จงชอบแกล้งน้องบ่อยๆแน่เลย นางจึงโต้ตอบโดยไม่รู้ตัว

“พ่อไม่เป็นไรๆ” เขารีบพูดเมื่อเห็นสีหน้าลูกสาวไม่ค่อยดี กลัวว่านางจะตกใจจนอาการกำเริบอีก

ดวงตากลมโตมองสำรวจท่าทางคนเป็นพ่อแล้วก็ลอบถอนหายใจ

“ว่าแต่เจ้าไปเอาหนังสือนี้มา อ่านออกหรือ?” ไป๋จื่อฮัวชี้ไปที่หนังสือบนโต๊ะ

ไป๋เฟิ่งหวงรีบส่ายหน้า “ไม่ออก ข้าเห็นมันแปลกตาเลยเอามาดู ท่านคงไม่ว่าอะไรข้าใช่ไหม?”

ไป๋จื่อฮัวเดินเข้าไปลูบหัวลูก “พ่อจะว่าอะไรล่ะ เจ้าใฝ่ศึกษาก็ดีอยู่แล้ว”

ไป๋เฟิ่งหวงมองมือที่ลูบหัว นึกอยากจะขยับหัวออก แต่กระแสอบอุ่นนั้นทำให้ไม่อาจขยับได้เลยสักนิด เหมือนตอนที่ท่านพ่อนางลูบหัวไม่มีผิด “ท่านพ่อ” หยาดน้ำตาเอ่อคลอเมื่อคิดถึงคนที่ลาลับไปแล้วอย่างกลั้นไม่อยู่

ไป๋จื่อฮัวยิ้ม ขยับเข้าไปปาดน้ำตาให้ “ร้องไห้ทำไมรึลูกพ่อ? พ่อยังไม่ได้ดุเจ้าซักคำ”

ไป๋เฟิ่งหวงโถมกอดอีกฝ่ายเมื่อเห็นใบหน้าคนที่อยู่ในความคิดถึงทับซ้อนกับคนตรงหน้า “ท่านพ่อ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”

“พ่อก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน” ไป๋จื่อฮัวกอดร่างเล็กลูบหัวลูบหลังด้วยความรัก

ไป๋เฟิ่งหวงร้องไห้อย่างกลั้นไม่อยู่

ไป๋จงเดินเข้ามาดูน้องเห็นพ่อกำลังกอดคนขี้แยก็แซวว่า “จะอ้อนขออะไรพ่ออีกเหรอเฟิ่งหวง?”

ไป๋เฟิ่งหวงรีบเช็ดน้ำตา แล้วก็ถอยห่างจากบุรุษตรงหน้าอย่างเก้อเขิน ถึงแม้เขาจะเป็นพ่อของไป๋เฟิ่งหวง แต่สำหรับนางซึ่งเป็นฮองเฮา อายุอ่อนกว่าเขาเพียงไม่กี่ปีเอง ปล่อยให้เขากอดได้อย่างไร? แย่จริงๆเชียว นางหันไปจ้องไป๋จงอย่างไม่ค่อยชอบใจ เจ้าเด็กปากมาก!

“สถานการณ์ในวังเป็นยังไงบ้างเหรอ?” นางถามไป๋จื่อฮัว

“เจ้ายังเด็ก จะรู้ไปทำไมเฟิ่งหวง เรื่องของผู้ใหญ่ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก” ไป๋จงว่าแล้วก็เดินมาลูบหัวน้องสาวอย่างเอ็นดู

ไป๋เฟิ่งหวงจ้องเขม็ง สายตาดุวาบ “อย่าคิดว่าข้าเป็นแค่เด็ก สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก ขุน…ท่านพ่อเป็นราชครูให้หลง…องค์รัชทายาท เจ้า…ท่านพี่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะปล่อยท่านพ่อไปหรือ คงจะไม่เคยได้ยินคำที่ว่า…ขุด…ราก…ถอน…โคน…ซินะ” นางจงใจเน้นช้าๆทีละคำให้คนทั้งสองซึมซับความหมาย

“แต่ท่านพ่อก็เป็นราชครูให้อ๋องหลงเทียนเช่นกัน หากจะมีการขุดรากถอนโคนอย่างที่เจ้าว่าก็ไม่น่าจะขุดพวกเราหรอกมั้ง จริงไหมท่านพ่อ?” ไป๋จงแย้ง

“ก็ไม่แน่” ไป๋จื่อฮัวพูดอย่างหนักใจ “ขนาดฮองเฮายังโดนโทษกบฏได้ นับประสาอะไรกับพวกเรามดปลวกตัวเล็กๆที่ดันไปอยู่บนลานการต่อสู้ของเสือสองตัวจะไม่พลอยโดยลูกหลงบี้แบนไปด้วยล่ะ”

ไป๋จงหน้าเสีย

“ป่วย อาการหนัก ลาออกจากตำแหน่ง จึงจะรอดจากการโดนเหยียบ” ไป๋เฟิ่งหวงแนะทางออกให้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version