1014. ไล่ล่า 1
ร่างเทพโบราณสูงหลายพันฟุตทำให้หวังหลินเหมือนกับสามารถค้ำยันสวรรค์เอาไว้ได้ เตาหลอมเทพโบราณปรากฏเบื้องหน้าสายลมทันที
สายลมนี้ไม่สามารถทำลายด้วยพละกำลังได้ หวังหลินเรียนรู้บทเรียนมาจากคราวที่แล้ว
ขณะที่ร่างกายปรากฏ ดวงตาหวังหลินส่องสว่างจากนั้นร้องคำราม แทนที่จะเรียกโล่ห์ฟ้าคราม เขาต่อต้านมันด้วยร่างกาย!
‘อยากเห็นว่าพลังของวังวนสายลมนี้จะเทียบกับร่างกายเทพโบราณได้อย่างไร!’
สายลมเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเต็มพิกัดและกระแทกใส่หวังหลินทันที การเข้ามาใกล้ของมันทำให้หวังหลินรู้สึกเหมือนคลื่นทรงพลังเข้าบดขยี้ร่างกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันมีสายลมรุนแรงอยู่ข้างในคลื่นนี้ที่ต้องการฉีกกระช่างร่างกายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อดูดซับพลังเอาไว้ด้วย
ยามที่มันร่อนลงบนร่างหวังหลินได้สำเร็จและพยายามฉีกกระชากร่างกายเขา มันเข้าสู่ร่างกายไปด้วย เสียงปะทุดังออกมาจากทั่วร่างและหวังหลินถูกผลักดันไปสามก้าว
ขณะล่าถอย เตาหลอมเทพโบราณกระพริบวาบ ปรากฏตัวห่างออกไปพันฟุตและหลบเลี่ยงการโจมตีจากสายลมสี่แห่ง
หวังหลินใบหน้าเคร่งเครียด พอใช้ร่างกายทดสอบหวังหลินก็คาดคำนวณได้ว่าร่างกายสามารถต่อต่อต้านสายลมได้กี่ลูก
‘เซียนธรรมดาทั่วไปคงถูกฉีกกระชาก แม้แต่วิญญาณดั้งเดิมก็ไม่มีเหลือ! ข้าเองก็รู้สึกเจ็บปวดด้วยร่างเทพโบราณนี้ สายลมนี่มันบัดซบอะไรกัน?!’ แววตาหวังหลินกระพริบเย็นเฉียบ
แสงสีฟ้ากระพริบรอบหวังหลินพลางเกิดโล่ห์ฟ้าครามขึ้นมา
‘หากข้าใช้โล่ห์ฟ้าครามและร่างเทพโบราณ ข้าน่าจะสามารถสลัดสายลมพวกนี้ได้หมด!’ หวังหลินเคลื่อนร่างตรงไป
สายลมสามลูกเคลื่อนที่รวดเร็วยิ่ง พวกมันเข้ากระแทกใส่โล่ห์ฟ้าครามในทันทีจนเกิดเสียงดังคึกคะนอง โล่ห์ฟ้าครามเริ่มกระพริบวูบวาบ
ผลกระทบเหนือจินตนาการทำให้หวังหลินต้องล่าถอย สายลมอีกเก้าลูกพุ่งเข้ามาหาและกระแทกเข้าใส่โล่ห์ฟ้าครามอีก
โล่ห์ฟ้าครามหมุนเป็นวงกลม หวังหลินล่าถอยอีกครั้งไม่มีหยุด ขณะที่สายลมกระแทกเข้าใส่ หวังหลินก็ล่าถอยอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
พอถึงเวลาที่สายลมเก้าลูกนั้นสลายไปหมด หวังหลินถอยออกมาไม่รู้ระยะเท่าไหร่แล้ว ถึงเขาจะเป็นเทพโบราณแต่มีแค่ห้าดาว แม้จะมีโล่ห์ฟ้าครามป้องกันสายลม ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เม็ดเหงื่อเย็นเต็มทั่วใบหน้า
วิกฤตินี้ไม่จบสิ้น ยังมีสายลมอีกสิบห้าลูกตั้งเป็นแถวพุ่งเข้ามาหา
แม้จะใช้เตาหลอมเทพโบราณหลบเลี่ยงก็ไม่สามารถแยกไปจากสายลมได้เพราะความเร็วที่มากขนาดนั้น
ตึงตัง ตึงตัง ตึงตัง ตึงตัง!
เสียงสั่นสะเทือนปฐพีดังกึกก้องในเสี้ยววินาที สายลมสิบห้าลูกกระแทกใส่โล่ห์ฟ้าครามและสลายไปเปลี่ยนกลายเป็นพลังสายหนึ่งอันรุงแรง โล่ห์ถูกยกขึ้นเกือบหมดเข้าต่อต้านให้ร่างหวังหลิน
ร่างหวังหลินสั่นสะท้าน โลหิตทะลักขึ้นมาแต่หวังหลินก็กลืนลงไป ร่างปลิวเหมือนว่าวขาด
หวังหลินกระแทกลงใส่พื้นห่างออกไปหมื่นฟุตจนเกิดคลื่นกระแทกก่อตัวออกมา ทรายมากมายถูกเตะขึ้นสู่อากาศ ใช้เวลาสักพักกว่าจะหายไป
บนพื้นเกิดหลุมขนาดใหญ่ หวังหลินหดร่างลงจนมีขนาดเท่าปกติ เผรอยยิ้มบิดเบี้ยวพลางดันตัวเองลุกขึ้นและเดินออกจากหลุม
มองไปยังทะเลทรายสีดำเรียบลื่อน หวังหลินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความกลัวยังคงไม่จางหายไป
‘เป็นครั้งแรกที่ร่างเทพโบราณห้าดาวได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ ข้าไม่รู้ว่านั่นคือสายลมอะไรแต่มันทรงพลังยิ่งยวด หากข้าปล่อยให้มันแบ่งตัวอีกครั้ง วันนี้ข้าคงไม่สามารถต้านทานมันได้’ ใบหน้าหวังหลินมืดมน หลังจากร่างกายหลอมเข้ากับร่างอวตาร เขาก็สามารถต่อสู้กับเซียนขั้นชำระสวรรค์ได้
เดิมทีเชื่อว่าตัวเองปลอดภัยพอจะต่อสู้ทุกคนได้ แต่เซียนขั้นชำระสวรรค์ระดับปลายและเซียนเฒ่าขั้นทลายสวรรค์ยังถือว่าแข็งแกร่งทรงพลังนัก
แต่ตอนนี้หวังหลินรู้สึกอันตราย ยามที่มองไปยังทะลทรายสีดำ เขารู้สึกเหมือนกลับไปดินแดนเทพโบราณ เขาต้องระมัดระวังอย่างที่สุด พลาดเพียงครั้งเดียวถือว่าจบชีวิต
‘ที่ผ่านมามันง่ายเกินไป การเพิ่มระดับบ่มเพาะและผสานกับร่างดั้งเดิมทำให้ข้าระมัดระวังน้อยกว่าเมื่อก่อน…’ หวังหลินขบคิดเงียบๆ กำหมัดแน่น สายตาเต็มไปด้ยความระมัดระวัง
สายตานี้ไม่ปรากฏขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว ต้องขอบคุณวิกฤติที่เขาพึ่งเผชิญจึงทำให้หวังหลินฟื้นความระมัดระวังที่เคยมีมาได้
‘ที่นี่คือถ้ำของจักรพรรดิเทพฉิงหลิน มันเต็มไปด้วยอันตราย ข้าต้องไม่ประมาทอะไรเลย!’ หวังหลินสูดหายใจลึก ไม่ได้แพร่สัมผัสวิญญาณออกมาแต่ให้มันหมุนรอบตัวเอง
ค่อยๆเดินออกมาข้างหน้า
ต้องขอบคุณจิตใจที่แข็งแกร่งจึงตระหนักได้ว่ามีโอกาสที่ควันสีเทาจะปรากฏขึ้นอีก ส่วนใหญ่ก็มาจากสัมผัสวิญญาณเขา
แม้ว่าพลังของควันสีเทาจะแข็งแกร่งตั้งแต่แรกเริ่ม เขาก็ยังต่อต้านได้ อย่างไรก็ตามหวังหลินรู้สึกเลือนลางว่าหากแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาคงไม่ใช่ควันสีเทาแต่จะเป็นอย่างอื่น
ความรู้สึกนี้ประหลาดมาก มันออกมาจากการทำความเข้าใจสวรรค์มากกว่าพันปี
ขบคิดอยู่สักพัก ดวงตาส่องสว่างขึ้นและตบกระเป๋า ปรากฏธงวิญญาณในมือและเขย่าเปิดมันออก แขนซ้ายยื่นเข้าไปข้างในนำเศษวิญญาณดวงหนึ่งออกมา
วิญญาณดวงนี้มีท่าทีดุร้ายแต่มันสูญเสียตัวตนมานานแล้วหลังจากหลอมเข้าไปในธงวิญญาณ มันลอยเบื้องหน้าหวังหลินอย่างเคารพ หวังหลินดึงมันออกมาและชี้ใส่ระหว่างคิ้วของวิญญาณตัวนั้น วางสัมผัสวิญญาณเสี้ยวหนึ่งเข้้าไป
หลังเสร็จสิ้นหวังหลินก็พุ่งไปข้างหน้า ผ่านไปสิบห้านาทีจึงห่างจากวิญญาณได้มากพอ สูดหายใจลึก ไม่แพร่สัมผัสวิญญาณแต่ส่งข้อความออกไปแทน!
สัมผัสวิญญาณบนดวงวิญญาณแพร่กระจายออกมา ทว่าวินาทีนั้นเกิดความรู้สึกอันตรายขึ้นในใจหวังหลิน หวังหลินตัดการเชื่อมต่อสัมผัสวิญญาณออกไปโดยไม่ลังเล
วินาทีที่สัมผัสวิญญาณถูกตัดขาด หวังหลินเห็นท้องฟ้าเหนือดวงวิญญาณนั่นหมุนปั่น ลำแสงสีเทาตกลงมาจากฟากฟ้าและร่อนลงใส่ดวงวิญญาณ ขจัดไปให้หมดสิ้น!
เม็ดเหงื่อเย็นผุดออกมาจากหน้าผากหวังหลิน โชคดีที่เขาเตรียมการไว้และตัดสัมผัสวิญญาณได้เร็วจึงไม่ได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาอะไรกับตำแหน่งเขา หวังหลินจ้องมองไปยังท้องฟ้าไกลและรู้สึกหนังศีรษะด้านชา แม้แสงสีเทาจะหายไปในเสี้ยววินาที หวังหลินรู้สึกกวาดกลัวยิ่งกว่าสายลมหลายสิบลูกรวมเข้าด้วยกันเสียอีก
หลังขบคิดอยู่นานหวังหลินก็เคลื่อนผ่านทะเลทรายสีดำ ที่นี่ไม่มีกลางวันหรือกลางคืน ท้องฟ้ามืดมนอยู่เสมอราวกับถูกขวางด้วยพายุฝุ่น
หวังหลินเดินมาไกลตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน เขาไม่เห็นใครสักคนหรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตสักตัว
ที่นี่ไม่มีต้นไม้ สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือทะเลทรายสีดำกว้างใหญ่ไพศาล หากมองมันนานๆ แม้แต่ความคิดก็มืดมน
หวังหลินมืดมนมากกว่าปกติ สถานที่แห่งนี้เหมือนพื้นที่ต้องห้าม เป็นคุกที่ทำให้เกิดความสิ้นหวังในใจ สิ้นหวังต่อชีวิตตัวเอง
แม้เหล่าเซียนเอามาเทียบกับคนธรรมดาไม่ได้ หากพวกเขาอยู่ที่นี่นานเกินไปจะทนทุกข์กับภาวะบีบคั้น ไม่เพียงแต่วิญญาณดั้งเดิมจะเปลี่ยนไป นิสัยจะชั่วร้ายมากขึ้นจนเกือบเปลี่ยนกลายเป็นมาร
หากเซียนมารอยู่ที่นี่คงเหมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์และระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้น ทว่าในท้ายที่สุดดวงวิญญาณคงเปลี่ยนกลายเป็นมารอย่างสิ้นเชิงและกลายเป็นมนุษย์ที่ไร้สติ
ระหว่างทางหวังหลินขบคิดเงียบๆและเดินไปข้างหน้าช้าๆ ระยะหนึ่งเดือนนี้เขาไม่เห็นควันสีเทาประหลาดนั้นอีกครั้งเลย ทว่าไม่เพียงแต่สัมผัสวิกฤติจะไม่จางหาย มันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆที่เขาก้าวไปข้างหน้า
ความคิดเช่นนี้วนมาหลายครั้ง หวังหลินรู้สึกชัดเจนถึงสัมผัสวิญญาณที่โดนกวาดด้วยสายลมอ่อนๆ แต่ไม่ว่าจะค้นหาหนักแค่ไหนก็ไม่อาจเจอต้นตอของสัมผัสวิญญาณนี้ได้
หวังหลินเหาะเหินไม่ได้ ระยะหนึ่งเดือนนี้เขานำดวงวิญญาณออกมาลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า หลังจากมันเหินขึ้นไปในอากาศได้สองร้อยฟุตั ดวงวิญญาณก็แตกสลาย
เมื่อยืนอยู่บนผืนทราย หวังหลินสีหน้ามืดมนยิ่ง ควันสีดำเคลื่อนผ่านใบหน้าแต่ดวงตากระจ่างสดใส
‘สงสัยว่าซือถูจะทำอย่างไร…ซือถูเดินบนเส้นทางชั่วร้าย หากเขาอยู่ที่นี่คงได้ประโยชน์บางอย่างแน่นอน’
หวังหลินขบคิดพลางยกแขนขึ้นมาคว้าใบหน้า เส้นด้ายสีดำหลายเส้นโผล่ออกมาและเข้าสู่แขนขวา
เมื่อมองควันสีดำในมือ หวังหลินสัมผัสกลิ่นอายเศษมารจากมันได้
‘พลังมาร…’ ดวงตาส่องสว่างขึ้นและบดขยี้อย่างโหดร้าย
พริบตาเดียวควันสีดำก็พังทลายและแพร่กระจายออกมาปกคลุมพื้นที่พันฟุตและค่อยๆหายไป หวังหลินหยุดเคลื่อนไหวพลางจ้องมองพลังมารที่กำลังสลายและเกิดความคิดขึ้นมา
‘เป็นไปได้ว่าข้าจะทำแบบนี้ได้…’ หวังหลินขบคิดจากนั้นก้าวเดินข้างหน้าเรื่อยๆ
เขาไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหน ในดินแดนทะเลทรายไ้ร้ขอบเขตแห่งนี้ไม่มีทิศทางว่าเขาอยู่ทางใด หวังหลินทำได้เพียงเดินไปเรื่อยๆเพื่อหาทางออก
เวลาผ่านไปอีกครั้ง อีกหนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา หลังจากถูกขังไว้ที่นี่สองเดือน ควันสีดำเข้าล้อมรอบหวังหลิน มองไกลๆหวังหลินดูตัวเล็กและคล้ายเทพปิศาจ
เขาค่อยๆเดินไปข้างหน้า