1100. เจ้ามองผ่านมันได้ไหม
หวังหลินและปรมาจารย์ยี่เฉินนั่งดื่มเหล้าของตัวเองเงียบๆ บางครั้งก็มองไปบนท้องฟ้าสีแดงไกลๆที่ยังมีคลื่นความร้อนพัดพ่าน
“ตาย…น้องสามตาย…วิญญาณน้องสองแตกสลาย…” ยี่เฉินดื่มเหล้าอย่างขมขื่นและโยนไปด้านข้าง
“สามพี่น้องเฉิน สามพี่น้องเฉิน ตอนนี้เหลือเพียงข้าคนเดียว…”
หวังหลินขมคิดดื่มเหล้าไปหนึ่งอึก พลันเอ่ยขึ้นเบาๆ “ตอนนั้นข้าไม่ควรขอให้ท่านทั้งสามไปกับข้า…”
ปรมาจารย์ยี่เฉินพลันหันมามองหวังหลินด้วยท่าทีดุร้ายเต็มไปด้วยความเกลียดชัง หวังหลินมองกลับมาที่ปรมาจารย์ยี่เฉินด้วย
ทั้งสองจ้องมองกันเป็นเวลานาน ใบหน้าดุร้ายของยี่เฉินค่อยๆหายไปและเปลี่ยนเป็นซีดเซียว จากนั้นเขาเอ่ยกับหลิงเอ๋อด้านหลัง “หลิงเอ๋อ ไปเอาเหล้ามาอีก!” พลันหันกลับมามองโลกสีแดงเข้มใบนี้
“เหล่าเซียนเดินบนเส้นทางฝืนลิขิตสวรรค์ ตั้งแต่ที่เราเดินบนเส้นทางแห่งการไม่มีวันกลับมา สักวันเราก็จะหายไปอยู่แล้ว เรื่องนี้ข้าเข้าใจ…ตอนที่เจ้าชวนเราทั้งสามให้ไปดินแดนวิญญาณปิศาจ เจ้าไม่ได้บังคับเรา เราอาสากันเอง นี่ข้าก็เข้าใจเช่นกัน…” ยี่เฉินสีหน้าขมขื่นมองไปยังขวดเหล้าที่แตกกระจายรอบตนเอง เขาหยิบมันขึ้นมาแต่พบว่ามันว่างเปล่า
หวังหลินยื่นเหล้าในมือส่งให้ยี่เฉิน ยี่เฉินดื่มไปอึกใหญ่ น้ำตาไหลลงเป็นสายพร้อมกับพึมพำ “ข้าเกลียดตัวเองที่ระดับบ่มเพาะต่ำเกินไป ข้าเกลียดที่ข้าไม่มีหนทางชุบชีวิตสองพี่น้องข้า ข้าเกลียดที่ข้าไม่สามารถแก้แค้นและผิดต่อทั้งสองคน!!”
ขณะนั้นหลิงเอ๋อนำเหล้ามาจากในเมือง ดวงตาของนางแดงฉานพร้อมกับวางเหล้าไว้ข้างยี่เฉิน
หวังหลินหยิบเหล้าขึ้นมาดื่มไปทั้งขวดในหนึ่งครา เอ่ยขึ้นด้วยสายตามุ่งมั่น “ปรมาจารย์ยี่เฉิน ข้าเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ หากข้าไม่พาพวกท่านทั้งสามไป มันก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น คนที่ฆ่าพี่น้องท่านคือมารโบราณต้าเจีย คงไม่สายที่ท่านจะฆ่ามารโบราณต้าเจียด้วยตนเองและแก้แค้นให้แก่พี่น้อง!”
ปรมาจารย์ยี่เฉินร่างสั่นเทาพลางมองหวังหลินด้วยสายตาตื่นเต้น
“เป็นเรื่องจริงหรือ?”
“นี่คือคำสัญญาของข้า!” หวังหลินวางขวดเหล้าไว้บนพื้นและมองออกไปไกล ราวกับกำลังนึกอะไรบางอย่างและเอ่ยขึ้นมา “มีชีวิตและความตายเต็มไปทั่ว เมื่อท่านเคยเจอมันแล้ว ท่านจะต้องผ่านมันไป…สองพี่น้องท่านยังอยู่ให้ท่านจดจำพวกเขา เหล่าเซียนแบบเรามักจะเจอสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่แล้ว แต่ละครั้งมีเซียนตายไปกี่คน? จะมีใครจดจำพวกเขาไหมและจำได้เท่าไหร่?”
“หลังจากก้าวเดินไปบนถนนที่ไม่ธรรมดานี้ เราต้องข้ามผ่านความเป็นความตาย ต้องมองข้ามความเป็นความตายของตนเองและของคนอื่นด้วย…ตอนที่ข้าเห็นเถ้าธุลีของสหายเก่าในบ้านเกิด ครั้งนึงข้าได้ยินเสียงเพลงจากเด็กคนหนึ่ง”
“ต้นดอกท้อเบ่งบานดอกสีขาว ลูกสาวจะไม่ควรถูกตระกูลเต๋าเอาไป ปีที่แล้วหลางรุ่นสองขึ้นไปบนภูเขา ปีถัดมาหลางรุ่นแรกกลายเป็นเถ้ากระดูก ลูกสาวร้องไห้กับการตายของคนในครอบครัว…ต้นดอกท้อเบ่งบานดอกสีขาว เหล่าเด็กๆไม่ควรถูกเซียนเอาไป หากพูดถึงอายุข้า ข้ายังไม่ค้นพบเต๋าเลย เสียงสุนัขเห่า แมวข่วน หวาดกลัวเซียนกลับมาบ้าน…”
“เสียงเพลงเล็กๆนี้สามารถชี้จุดความเศร้าของเซียนแบบเราออกมา ปรมาจารย์ยี่เฉิน มองผ่านมันไปสิ เมื่อท่านผ่านมันไป ความเจ็บปวดก็จะทุเลาลง…”
น้ำเสียงหวังหลินสงบนิ่งแต่ก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเหลือแสน หลังจากทิ้งประโยคเหล่านี้เอาไว้เขาก็ยืนขึ้นและจากไป เขาดูเยือกเย็นและโดดเดี่ยวยิ่งกว่าปรมาจารย์ยี่เฉิน
ยี่เฉินจ้องมองร่างหวังหลินพร้อมกับคำพูดของเขาดังสะท้อนในจิตใจ เมื่อเห็นหวังหลินกำลังจากไป เขายืนขึ้นร้องตะโกน “ท่านมองผ่านมันได้ใช่ไหม?”
หวังหลินสั่นเทาและหยุดลงไกลๆ เขาไม่ได้หันกลับมาแต่หลังจากคิดเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ข้าไม่ได้มองผ่านมัน…” หวังหลินเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงและลอยออกไปในท้องฟ้า
เวลาค่อยๆผ่านไป หวังหลินออกมาจากปรมาจารย์ยี่เฉิน นั่งลงข้างภูเขาไฟ ฉากเหตุการณ์ค่อยๆฉายในจิตใจเขาอีกครั้ง
หวังหลินไม่สามารถมองข้ามชีวิตและความตายได้ ดังนั้นเขาจึงต้องอดทนต่อความเจ็บปวดมากกว่าพันปีและอยู่อย่างโดดเดี่ยว เขาคงยังต้องอดทนกับมันต่อไป…
หวังหลินดิ้นรนกับความเจ็บปวดในใจนี้ขณะที่เดินลงบนถนนแห่งการฝึกเซียนอันกว้างใหญ่ไม่เห็นจุดสิ้นสุด
นอกจากเสียงซี่ๆจากควันสีดำที่กำลังพวยพุ่งขึ้นจากภูเขาไฟแล้ว ยังมีเสียงเปลวไฟเผาไหม้ด้วย นอกจากนั้นทุกอย่างก็เงียบสงัด
ขณะที่หวังหลินนั่งเงียบๆ ตรงหน้ามีโลงศพอยู่หนึ่งโลง โลงศพนี้สร้างขึ้นจากผลึกและมีหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่ข้างใน ผิวกายของนางสดใสและดูไม่เหมือนตายไปเลย นางดูราวกับกำลังหลับใหล
นางไม่สวยสะท้านโลกหรืองามจนล่มได้ทั้งเมือง แต่ในสายตาหวังหลิน แม้แต่หญิงสาวที่เลิศเลอที่สุดก็เทียบกับหญิงข้างในโลงศพไม่ได้เลย
“หวานเอ๋อ…” หวังหลินค่อยๆใช้แขนขวาลูบไปบนโลงศพเบาๆ ดวงตาอ่อนโยนมองหญิงสาวในโลงศพ รู้สึกเหมือนตนเองกลับไปดาวซูซาคุ
หวังหลินยังไม่สามารถมองข้ามผ่านความเป็นความตายได้
ตอนนี้ราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกเหลืออยู่ สิ่งเดียวที่มีคือเขาและหญิงสาวในโลงศพเท่านั้น
หวังหลินรู้สึกโดดเดี่ยวขณะที่มองหญิงสาวที่อยู่กับเขามามากว่าพันปี จากนั้นหวังหลินค่อยๆพบถึงความอบอุ่นอันริบหรี่
แม้ความอบอุ่นนี้จะมีอยู่เล็กน้อย มันผสานเข้ากับวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินเสมือนกับภาพมายาจากอีกด้านหนึ่งของสายน้ำที่อาจจะหายไปได้ทุกเวลา แต่ก็ปฏิเสธที่จะข้ามผ่านไปราวกับสายน้ำแห่งนั้นคือชีวิตและความตาย
สตรีข้างในโลงศพเป็นความหวังหนึ่งเดียวของหวังหลินตลอดการฝึกเซียนมากกว่าพันปี เขาจ้องมองนางคล้ายจะลืมเลือนทุกสิ่งอย่าง
“เมื่อเจ้าตื่นขึ้น…เราจะหาที่พักที่ไม่มีใครหาเจอและตั้งรกรากอย่างเงียบๆ…” หวังหลินเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ความต้องการเล็กๆนี้คือพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดของหวังหลิน
“เมื่อก่อนข้าไม่เข้าใจ…แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว…” หวังหลินพึมพำพร้อมกับเกิดความเศร้าลึกๆปลดปล่อยออกมาจากร่างกาย
ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจความรู้ระหว่างโจวยี่และฉิงซวงจริงๆ แต่หลังจากฝึกเซียนไปมากกว่าพันปีและโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว หวังหลินก็เข้าใจ
มันเป็นความหวังทางจิตวิญญาณ เป็นความเพียรและดิ้นรนแต่ก็มีสัมผัสแห่งการไม่ยอมแพ้!
“หวานเอ๋อ จำไว้ว่าแม้สวรรค์อยากให้เจ้าตาย ข้าก็จะนำเจ้ากลับมา!!!” หวังหลินเผยความมุ่งมั่นต่อต้านสวรรค์
ภูเขาไฟเป็นสถานที่ในดาวเคราะห์ของสำนักวิหคเพลิงที่ไม่มีขาดหายไปไหน ภูเขาไฟพวกนี้ถูกสร้างขึ้นภายใต้สถานการณ์พิเศษ ดังนั้นลาวาหนาหน่นจึงปะทุขึ้นมาบ่อยครั้ง
ทุกครั้งที่ภูเขาไฟปะทุขึ้น พื้นดินจะสั่นเทา เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ควันสีดำเต็มไปทั่วฟ้า ลาวาหยดลงมาเป็นสายฝนจนดูเหมือนจุดสิ้นสุดของโลก!
เหล่าศิษย์สำนักวิคเพลิงเคยเห็นการปะทุของภูเขาไฟหลายครั้ง แต่หวังหลินไม่เคยเจอบ่อยนัก
ณ ตอนนี้เสียงอู้อี้ดังออกมาจากภูเขาไฟที่เขาอยู่บนยอดและยิ่งรุนแรงขึ้น แต่หวังหลินไม่สนใจมันเลย หลี่มู่หวานเป็นสิ่งเดียวในสายตาเขา
ภูเขาไฟกำลังรุนแรงขึ้น ที่สุดแล้วมันเหมือนอสูรดุร้ายที่กำลังคำรามอยู่ในภูเขาไฟ ควันสีดำพวยพุ่งออกมาแพร่กระจายไปในท้องฟ้าอย่างบ้าคลั่ง ปกคลุมแสงสีแดงจนพื้นดินตอนนี้กลายเป็นสีดำ
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงคำรามจากภูเขาไฟก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ไม่นานนักลำแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในท้องฟ้า เสาลาวายิงเข้าไปในท้องฟ้าเช่นเดียวกัน!
มองไกลๆฉากเหตุการณ์ช่างตกตะลึงยิ่งนัก หวังหลินยังคงนั่งอยู่ตรงปากภูเขาไฟ ก้อนหินบางส่วนถูกดึงเข้าไปในลาวาและพัดขึ้นไปในท้องฟ้า
ลาวาพุ่งเข้าไปในอากาศห่างจากใบหน้าหวังหลินไม่เกินสิบฟุต! คลื่นความร้อนและลาวาดุจมังกรเพลิงและสลายไปทุกที่
ราวกับโลกกำลังแตกสลายรอบตัวหวังหลิน แต่นี่ไม่เพียงพอจะให้เขามองขึ้นไปสักครั้ง…เขาเพียงแค่จ้องโลงศพอย่างเงียบๆ ดูไม่สนใจสิ่งใดเลย
ขณะภูเขาไฟปะทุ พื้นดินสั่นไหวและปรากฏรอยร้าว เพียงไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างจึงถูกปกคลุมอยู่ในลาวา ลาวาพุ่งออกมาจากภูเขาไฟเปิด ไหลลงมาเหมือนคลื่นอันโกรธเกรี้ยว
ไม่นานมันก็ปกคลุมทั้งภูเขาไฟและแพร่กระจายต่อไป
วินาทีนั้นลาวาเสมือนสายฝนและปกคลุมพื้นดิน โลกในตอนนี้กลายเป็นสีดำและสีแดง สีดำคือควันหนาแน่นในท้องฟ้า สีแดงคือลาวา
หวังหลินเอ่ยขึ้นเบาๆ “นี่สวยไหม…”
“มันคือพลังอำนาจของวิชาป่นขุนเขา ข้ารอคอยวันให้ภูเขาไฟนี้ปะทุขึ้นมา…หวานเอ๋ออยู่กับข้าและเป็นพยานรู้เห็นการเข้าใจวิชาที่สี่ของป๋ายฟ่าน…ป่นขุนเขา!”
หวังหลินพึมพำกับตัวเองพร้อมกับมองไปยังลาวาที่กำลังตกลงมาเหมือนสายฝน นาทีนั้นเสียงดังกึกก้องมกขึ้นเรื่อยๆและมันปะทุขึ้นอีกครั้ง
การสั่นสะเทือนแพร่กระจายออกมาและทำให้ภูเขาอีกแห่งสั่นเทา ภูเขาไฟแห่งนั้นเริ่มแพร่กระจายควันและลาวาออกมา
หวังหลินค่อยๆหลับตา ฉากเหตุการณ์ที่ฉิงชุ่ยใช้วิชาป่นขุนเขาในดินแดนสังหารพลันปรากฏขึ้นในใจ
ความจริงแล้วในดินแดนวิญญาณปิศาจ หวังหลินค้นพบร่องรอยแห่งความเข้าใจวิชาป่นขุนเขาจากการปะทุของภูเขาไฟที่นั่นได้แต่สัมผัสอ่อนแอมาก อย่างไรก็ตามเนื่องจากอันตรายที่เขาเผชิญจึงไม่มีเวลาคิดมากนัก
ทว่าสำนักวิหคเพลิงไม่ได้ขาดแคลนภูเขาไฟ ตอนนี้เขามีพลังอัคคีดั้งเดิมมากขึ้น จึงเข้าใจวิชาป่นขุนเขาที่ฉิงชุ่ยทิ้งไว้ให้ได้มากขึ้น