1102. เจ้าคือหวังหลิน!!
นาทีนี้ดาวเคราะห์เซียนทั้งหมดภายในเขตสำนักวิหคเพลิงถูกห่อหุ้มด้วยสัมผัสวิญญาณ กลิ่นอายเก่าแก่เต็มไปทั่วพื้นที่ดวงดาว ผู้อาวุโสทั้งหมดตกตะลึงมหาศาล
แม้แต่ละคนจะมีระดับบ่มเพาะสูงอด ก็มิอาจจินตนาการได้ว่าวิชาของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ที่กำลังฝึกฝนอยู่นี้มีระดับความน่ากลัวเพียงไหน!
แม้ด้วยระดับบ่มเพาะแต่ละคนและมีความรอบรู้มากมาย พวกเขาก็ไม่อาจเข้าใจพลังอำนาจของวิชาจักรพรรดิเทพป๋ายฟ่านได้
สัมผัสวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินไม่สามารถครอบคลุมได้ไกลเพียงนี้ แต่วินาทีนั้นเขาลืมเลือนทุกสิ่งอย่างและกลายเป็นเหล่าวิญญาณภูเขาไฟ เขาทั้งผสมผสานกับวิญญาณของแต่ละดวงดาวและหยิบยืมพลังอำนาจเพื่อแพร่กระจายออกไป นี่จึงเป็นจุดกำเนิดสถานการณ์ปัจจุบัน
ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดยังเป็นวิชาป่นขุนเขาของจักรพรรดิเทพป๋ายฟ่าน
วินาทีนี้สัมผัสวิญญาณของหวังหลินรวบรวมวิญญาณของดาวเคราะห์เซียนทั้งหมดในพื้นที่ดวงดาว กลิ่นอายเก่าแก่ที่ผู้คนสัมผัได้ทำให้พวกเขารู้สึกทรุดโทรม…
สมาชิกทั้งหมดของสำนักวิหคเพลิงรวมไปถึงเหล่าผู้อาวุโสก็อยู่ในสัมผัสวิญญาณหวังหลินนี้ด้วย ทั้งหมดสัมผัสกลิ่นอายนี้ได้อย่างชัดเจน และก็ต่างตกตะลึงสุดขั้ว
ความรู้สึกไม่พอใจของสี่ผู้อาวุโสได้หายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึงจากสิ่งที่เกิดขึ้น
“หากไม่มีเหตุแห่งกรรมและไม่มีผลแห่งกรรม เช่นนั้นก็จะไม่มีเวรรกรรม หากไม่มีชีวิตก็คงไม่มีความตาย เมื่อไร้ชีวิตและความตาย ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นนิรันดร์ หากมีจริงก็ไม่มีเท็จ จริงหรือเท็จแยกกันเพียงแค่คิด…” น้ำเสียงเก่าแก่ดังออกมาจากสัมผัสวิญญาณและสะท้อนในหูทุกคน
‘เช่นนี้เอง…เพียงแค่คิด ไม่สงสัยเลยว่าทำไมศิษย์พี่ฉิงชุ่ยถึงไม่ทิ้งรายละเอียดอะไรให้ไว้ เมื่อเข้าใจก็จะเข้าใจ’ ขณะที่ความคิดดังกึกก้อง หวังหลินตื่นจากภวังค์
ชั่วขณะตื่น พื้นที่ดวงดาวเผาไหม้พลันขยับ วิญญาณดวงดาวโผล่ออกมาและภูเขาไฟบนดาวพวกนั้นระเบิดขึ้นในเวลาเดียวกัน!
การระเบิดของภูเขาไฟทั้งหมดทำให้เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วพื้นที่ดวงดาว
ปรมาจารย์จงเฉินและราชาที่สามแห่งสำนักซากศพก้าวเข้าสู่พื้นที่ดวงดาว! เมื่อเข้ามา ราชาที่สามพลันเบิกตาส่องประกายและไม่เชื่อสายตาตัวเอง ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาจึงสัมผัสได้ว่าพื้นที่ดวงดาวแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยสัมผัสวิญญาณขนาดใหญ่อันน่าเหลือเชื่อ
พลังอำนาจของสัมผัสวิญญาณสั่นสะเทือนสวรรค์จนเขาอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง ด้วยวิธีที่เขาเจอราวกับไม่ได้เผชิญหน้ากับคนเพียงคนเดียวแต่เป็นดาวเคราะห์เซียนที่คงอยู่มาชั่วกาลนาน กลิ่นอายเก่าแก่นี้ทำให้เขาเหมือนกับเป็นเด็กน้อย
‘จักรพรรดิวิหคเพลิง!’ ความคิดแรกปรากฏขึ้นมาว่าเป็นจักรพรรดิวิหคเพลิงที่เขายังไม่เคยเจอแต่ก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ จากสิ่งที่หลี่หยิงซื่อรายงานมา จักรพรรดิวิหคเพลิงเป็นคนที่ไม่ได้บ่มเพาะมานานนัก
‘หรือจะเป็นจักรพรรดิวิหคเพลิงคนเก่า?’ เขาหรี่ตาแคบและระมัดระวังยิ่ง
ปรมาจารย์จงเฉินก็มีท่าทีเปลี่ยนไปเช่นกันหลังจากเข้ามาในระยะพื้นที่ดวงดาว เขารู้สึกถึงสัมผัสวิญญาณที่สั่นสะเทือนไปทั้งจิตใจ!
“นี่…นี่มัน…” ปรมาจารย์จงเฉินเผยแววตาไม่เชื่อ
ในมุมมองเขา พลังอำนาจสัมผัสวิญญาณนี้ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดออกมาได้ มันไม่ใช่สิ่งที่เซียนคนเดียวจะครอบครอง!
ยามที่ทั้งสองรู้สึกถึงสัมผัสวิญญาณ หวังหลินจึงสัมผัสปรมาจารย์จงเฉินและชายวัยกลางคนได้ด้วย สัมผัสวิญญาณเขาเคลื่อนเข้าหาทั้งสองคน การเคลื่อนไหวทำให้เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่ว
“ปรมาจารย์จงเฉิน…” ข้อความหนึ่งผุดออกมาจากสัมผัสวิญญาณและดังสะท้อนไปทั่วพื้นที่ดวงดาว
ปรมาจารย์จงเฉินอ้าปากค้าง สัมผัสวิญญาณนี้ช่างคุ้นเคยและเขาก็เดาได้ว่ามันเป็นของใครแต่ไม่อาจเชื่อได้ สีหน้าท่าทางเคร่งเครียดยิ่ง
“ท่านผู้ยอดเยี่ยมคือ….”
“จักรพรรดิวิหคเพลิง!” สัมผัสวิญญาณของหวังหลินทำให้สายฟ้าร้องคำรามไปทั่วพื้นที่
“เจ้าคือหวังหลิน!!” ปรมาจารย์จงเฉินเบิกตากว้างและตื่นตะลึงมหาศาล
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่ราชาที่สามแห่งสำนักซากศพก็เช่นเดียวกัน
“นี่ต้องเป็นคนจากสำนักซากศพแน่” สัมผัสวิญญาณของหวังหลินค่อยๆส่งข้อความออกไป สัมผัสวิญญาณเขากวนขึ้นในทะเลเพลิงและค่อยๆล้อมรอบชายวัยกลางคนกับปรมาจารย์จงเฉิน
ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้น “ข้าคือราชาที่สามแห่งสำนักซากศพ” แม้จะดูสงบนิ่งและมองไม่เห็นอารมณ์ความรู้สึก แต่ความหวาดกลัวที่เขารู้สึกจากสำนักวิหคเพลิงได้ทำให้จิตใจล้ำลึก เดิมทีเขามีเจตนาจะสังเกตการณ์สำนักซากศพแต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้ว
ชายวัยกลางคนคำนับฝ่ามือ “ไม่กี่วันก่อน ผู้น้อยของสำนักซากศพ หลี่หยิงซื่อนำหินหยกก้อนนึงกลับมา ข้าอยากจะถามถึงตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งที่บันทึกข้างใน! หากท่านจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์บอกข้า สำนักซากศพจะเป็นหนี้บุญคุณอย่างใหญ่หลวง!”
ปรมาจารย์จงเฉินระงับความตกตะลึงในใจและเอ่ยขึ้นเช่นเดียวกัน “หวัง…จักรพรรดิวิหคเพลิง ลี่หยุนจื่อนำหินหยกกลับมาหาอารามเทพอัสนีเช่นเดียวกัน คำถามข้าก็เช่นเดียวกัน ตำแหน่งสิ่งที่อธิบายในหินหยกนั้นคือที่ไหน”
ด้วยระดับบ่มเพาะของปรมาจารย์จงเฉินเขาจึงจะพอคาดเดาเบาะแสได้ว่าทำไมสัมผัสวิญญาณหวังหลินจึงทรงพลังขนาดนี้ อย่างไรก็ตามวิชาที่ทำให้สัมผัสวิญญาณผสานเข้ากับดาวเคราะห์ทั้งหมดนี้อย่างสมบูรณ์ช่างน่าหวาดกลัวยิ่ง
ความลึกลับของสำนักวิหคเพลิงเพิ่มพูนขึ้นในจิตใจปรมาจารย์จงเฉิน
“ข้าสามารถบอกพวกท่านถึงตำแหน่งที่ตั้งในหินหยกได้ แต่มันก็เต็มไปด้วยอันตราย ไม่ว่าจะไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกท่านแล้ว” สัมผัสวิญญาณหวังหลินดังกึกก้อง ละอองแสงมากมายปรากฏขึ้นเบื้องหน้าปรมาจารย์จงเฉินกับชายวัยกลางคนจนก่อเกิดเป็นแผนที่ดวงดาว
แผนที่ดวงดาวนี้เผยดาวซูซาคุอย่างชัดเจน หลังจากมันกระพริบเพียงไม่กี่ลมหายใจก็พลันค่อยๆหายไป
ปรมาจารย์จงเฉินดวงตาส่องสว่างขึ้น “ดาวซูซาคุ?”
ชายวัยกลางคนยิ้มและเอ่ยขึ้นมา “ท่านจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ท่านต้องมีแผนอื่นหากเผยชิ้นส่วนข้อมูลสำคัญตอนนี้”
“ทุกคนมีความต้องการของตนเอง ข้าแค่ยืมมืดฆ่าคนเพื่อปกป้องร่างศพนั้น” หวังหลินส่งข้อความออกไป ไม่จำเป็นต้องซ่อนมันจากสำนักซากศพและฝ่ายทุกชั้นฟ้า
“เยี่ยม! จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ช่างตรงไปตรงมา สำนักซากศพของข้าเห็นด้วย!” ชายวัยกลางคนไม่คาดคิดว่าหวังหลินจะตอบคำถามแบบนี้ หลังจากหัวเราะออกไปเขาก็มองตำแหน่งที่สัมผัสวิญญาณหวังหลินโผล่ออกมาก่อนจะคำนับฝ่ามือและจากไป
ปรมาจารย์จงเฉินขบคิดเล็กน้อย หลังราชาที่สามจากไปเขาก็มองหวังหลินด้วยสายตาซับซ้อนและถอนหายใจ “ข้าประเมินเจ้าต่ำไป ข้าไม่คิดว่า…หวังหลิน หากไม่สนที่ข้าเป็นจ้าวแห่งอารามเทพอัสนีและเจ้าเป็นจักรพรรดิวิหคเพลิง ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร?”
หวังหลินขบคิดและส่งข้อความออกไป “ไม่เลว”
ปรมาจารย์จงเฉินหรี่ตาและเอ่ยถาม “เจ้าซื่อสัตย์จริงๆ หวังหลิน ข้าแค่อยากจะรู้ว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวไว้ในหินหยกเป็นความจริงหรือไม่?”
“ผู้อาวุโสปรมาจารย์จงเฉิน ข้าจะไม่หลอกท่านหรอก ข้อมูลในหินหยกเป็นความจริง!”
ปรมาจารย์จงเฉินพยักหน้าและไม่กล่าวอันใดอีก เขาคำนับฝ่ามือและจากไปจากพื้นที่ดวงดาว
หลังจากทั้งสองไปแล้ว สัมผัสวิญญาณที่ล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมดพลันกลายเป็นเศษเสี้ยวสลายไป
ส่วนหนึ่งของวิญญาณแห่งดาวเคราะห์กลับคืนสู่ดาวตนเองทั้งหมด
ยามสัมผัสวิญญาณสลายไป ส่งผลกระทบต่อพลังดั้งเดิมในพื้นที่ดวงดาว สมาชิกทั้งหมดของสำนักวิหคเพลิงตื่นตะลึง
ดาวที่หวังหลินอยู่พลันภูเขาไฟหยุดการระเบิด ณ ข้างในภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุด หวังหลินค่อยๆลืมตาขึ้น ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าทะลุผ่านลาวาข้างในภูเขาไฟ
‘เขตแดนข้าเริ่มต้นด้วยวัฏจักรแห่งชีวิตและความตาย หลังจากนั้นพัฒนากลายเป็นเวรกรรม ตอนนี้ข้ายืมความเข้าใจของวิชาป่นขุนเขาจนได้เหลือบเห็นความจริงเท็จ…เพียงแค่คิด เขตแดนแห่งเวรกรรมของข้าก็สมบูรณ์และทะลวงผ่านขั้นส่องสวรรค์เข้าสู่ขั้นชำระสวรรค์ได้ เขตแดนข้ายังพัฒนาไปเป็นความจริงเท็จเนื่องจากการรู้แจ้งแห่งวิชาป่นขุนเขา…ความจริงเท็จนี้แตกต่างจากภาพมายา…มันคือเต๋าอันยิ่งใหญ่’
หวังหลินยืนขึ้นพร้อมกับเกิดระลอกคลื่นในลาวา วินาทีต่อมาหวังหลินปรากฏตัวด้านนอก มองโลกและค่อยๆยิ้ม
“ขั้นชำระสวรรค์!” หวังหลินสูดหายใจลึกและสัมผัสถึงความแตกต่างในร่างกายได้ ก่อนหน้านี้พลังอัคคีดั้งเดิมในร่างกายมาถึงขีดจำกัด แต่ตอนนี้เพียงแค่คิด พลังอัคคีดั้งเดิมรอบตัวพรั่งพรูเข้าไปในร่างกาย
หวังหลินยื่นแขนขวาออกไป ปรากฏรอยร้าวเบื้องหน้า รอยร้าวนี้ไม่มั่นคงและดูเหมือนจะสลายได้ทุกเวลา
ทว่าพลังดั้งเดิมไร้ก้นบึ้งโผล่ออกไปจากแขนหวังหลินและพุ่งเข้าไปในรอยร้าว มันเริ่มขยายออกและเกิดเสียงปะทุกึกก้องข้างใน มิติในรอยร้าวกว้างใหญ่ขึ้น ยิ่งมีพลังดั้งเดิมเข้าไปมากขึ้นมันก็ยิ่งมั่นคงขึ้น ท้ายที่สุดมันก็ถึงขีดจำกัดและมั่นคงพอจะไม่สลายไปได้ง่ายๆ
‘ข้าไม่จำเป็นต้องใช้กระเป๋าถืออีกแล้ว’ หวังหลินยิ้มพลางตบกระเป๋านำทุกอย่างข้างในไปใส่ไว้ในรอยร้าว ไม่นานนักกระเป๋าของเขาก็ว่างเปล่าและหวังหลินเปลี่ยนมันให้กลายเป็นฝุ่น
แขนขวาชี้ใส่รอยแตกร้าวเพื่อประทับสัมผัสวิญญาณลงไป จากนั้นโบกสะบัดแขน รอยร้าวปิดลงและหายวับ
ชั่วขณะนี้เองสีหน้าหวังหลินเปลี่ยนไป ดวงตาเยือกเย็น ทั้งร่างหนาวเหน็บ ก้าวเท้าและปรากฏตัวในท้องฟ้า เขาเห็นอสูรยุงตัวหนึ่งดิ้นรนพยายามมาหาเขา
อสูรยุงตัวนี้สีม่วงสนิทแต่จมอยู่ในกองเลือด มันดูห่อเหี่ยวและได้รับบาดเจ็บสาหัส หากไม่มีความคิดว่าจะกลับไปเจอเจ้านาย มันคงตายไปแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันมีแผลน่าเกลียดบนหลังปลดปล่อยควันสีเขียว แม้กระทั่งปากอันยาวเหยียดก็ยังแตกหัก เมื่ออสูรยุงเห็นหวังหลิน มันร้องโศกเศร้าและลอยเข้าหาเขา
หวังหลินยื่นแขนเตะเข้ากับแผ่นหลังอสูรยุง ควันสีเขียวจางหายไป จากนั้นยื่นแขนซ้ายเข้าใส่ความว่างเปล่าจนปรากฏรอยร้าวขึ้นมา เขานำเม็ดยาจำนวนมากให้อสูรยุงกินทันที
ขณะเดียวกันส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในความคิดเจ้าอสูรยุง เขาค้นหาในความทรงจำและทันใดนั้นสีหน้าหวังหลินมืดมน จิตสังหารมหึมาระเบิดขึ้น!
‘พวกเจ้ารนหาที่ตาย!!’