Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1140

Cover Renegade Immortal 1

1140. สำนักต้นกำเนิด

ลานกว้างทางใต้ของสำนักต้นกำเนิด แม้ในสำนักจะมีสระน้ำมากมายแต่ก็มีเทือกเขาก่อสร้างที่พักมากมายด้วย โดยเฉพาะป่าแดงที่มีสีแดงไปทุกฤดูจะมีตำหนักแดงอยู่แห่งหนึ่ง สลักด้วยนกกระเรียนและดูสวยงาม

หลิวหยานเฟยชอบสีแดงและแทบทุกคนในสำนักต้นกำเนิดต่างก็รู้เรื่องนี้ดี ไม่เพียงแต่บ้านพักจะมีสีแดง หลิวหยานเฟยยังมีความรู้สึกพิเศษต่อเสื้อผ้าสีแดงอีก

ณ ตอนนี้หลิวหยานเฟยสวมชุดราตรีสีแดง เส้นผมแผ่ออกด้านหลัง นั่งอยู่เงียบๆ ใบหน้าซีดขาวเนื่องจากความเศร้ายังไม่จางหาย ซึ่งทำให้นางมีรอยแต้มจางๆดูงดงามยิ่ง

อย่างไรก็ตามแม้แต่ศิษย์พี่สามคนของนางก็ไม่มีคุณสมบัติเชยชมฉากอันน่ารักนี้เพราะระดับบ่มเพาะพวกเขาต่อกว่าหลิวหยานเฟยไปหนึ่งขั้น

หลิวหยานเฟยขั้นส่องสวรรค์สูงสุดถือเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในสำนักต้นกำเนิดและนางยังมีชื่อเสียงมากภายในเขตระดับห้า หลายคนคิดอยากจะได้นางมาครองแต่ด้วยอาจารย์ที่มีระดับบ่มเพาะขั้นชำระสวรรค์สูงสุด จึงไม่มีใครกล้าทำอะไร แต่ตอนนี้อาจารย์ของนางได้ตายไปแล้ว สำนักต้นกำเนิดจึงตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอที่สุด

ตอนนี้หลิวหยานเฟยกำลังถือหินหยกสีม่วงชิ้นนึง นางบีบอย่างรุนแรงจนมือเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด

แววตาเกิดความอัปยศแต่นางก็ต้องทนเท่านั้น นางอยากจะบดขยี้หินหยกในมือแต่พอคิดถึงผลที่ตามมาจึงเกิดความอัปยศมากขึ้น

หลังถอนหายใจยาว นางระงับอารมณ์ตนเองและมองไปยังลูกศิษย์สตรีสามคนเบื้องหน้าและเอ่ยแผ่วเบา “ปล่อยให้พวกเขาเข้ามา”

หลิวหยานเฟยรับศิษย์มาสามคนเท่านั้นและทั้งสามเป็นสตรีทั้งหมด ศิษย์คนที่สองซิ่วหยุนมีระดับบ่มเพาะสูงสุด อีกครึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ขั้นมายาหยิน

แม้ซิ่วหยุนไม่ได้สวยงามเหมือนอาจารย์ นางละเอียดอ่อนและมีนิสัยอ่อนโยน

ใช้เวลาไม่นานผู้เยาว์ใบหน้าซีดเผือดสี่คนเดินเข้ามา ทั้งสี่ไม่กล้าหายใจแรง ก้มศีรษะลงต่ำและไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดี

หลิวหยานเฟยกวาดสายตาผ่านผู้เยาว์สี่คนพลางเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ศิษย์อาวุโสสุด ศิษย์ลำดับสาม พวกเจ้าเอาไปคนละสอง พรสวรรค์แต่ละคนธรรมดามาก พวกเขาจะกลายเป็นเด็กจิตวิญญาณคู่ชีวิตหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคแล้ว หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนหากไม่ได้มีดวงตาสีม่วงเหมือนอาจารย์ ก็ส่งพวกเขากลับบ้าน”

ศิษย์สตรรีสองคนพยักหน้าอย่างเคารพ จากนั้นนำผู้เยาว์สี่คนออกไป

“อาจารย์ มีอีกสามคน…ค่อนข้างมีอายุเล็กน้อย…” ซิ่วหยุนเอ่ยเสียงเบาอยู่ข้างๆ

หลิวหยานเฟยนำหินหยกม่วงออกมาบีบแน่น ขบคิดเล็กน้อยและส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็นต้องให้ข้าดู เอาพวกเขาไว้ใต้อาณัติเจ้า อาจารย์มีเรื่องต้องทำ เจ้าไปได้แล้ว”

ซิ่วหยุนลังเลเล็กน้อยพลางมองหินหยกในมือหลิวหยานเฟย นางอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจและออกไปจากห้อง

จนเมื่อซิ่วหยุนจากไปแล้ว หลิวหยานเฟยจึงเผยแววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร นางบีบหินหยกม่วงแน่นเหมือนหยกที่กำลังโกรธ แววตาอัปยศก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปเป็นความอาฆาต

“หยาบคาย แม้ข้าจะตาย ก็ไม่ยอมกลายเป็นคู่ฝึกเซียนเจ้าหรอก!”

ด้านนอกตำหนักแดงมีอยู่สามคน นอกจากหวังหลินแล้วคนนึงดูธรรมดา ส่วนอีกคนหน้าตาชั่วร้ายเล็กน้อย สวมเสื้อสีฟ้าดูมีมารยาท

ซิ่วหยุนออกมามองทั้งสามด้วยความกังวล เมื่อนางเห็นผู้เยาว์ชุดฟ้าจึงขมวดคิ้ว

“เจ้าสามคนยังต้องรอก่อน ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่สำนัก” ซิ่วหยุนโบกแขน ก้อนเมฆปรากฏขึ้นนำทั้งสามคนลงไปล่างเทือกเขาพื้นที่ฝั่งทิศใต้

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงลานกว้างด้านนอก มีต้นไม้ใบหญ้ามากมายปลูกไว้พร้อมกับบ้านจำนวนมาก

เมื่อก้อนเมฆหายไป ชายหนุ่มชุดฟ้าใบหน้าซีด ร่างกายสั่นเทา จากนั้นไปอ้วกข้างๆเนื่องจากนี่เป็นการเหาะครั้งแรกของเขาและมันเร็วเกินไป เขาจึงหมดความกล้าไปเสียหมด

ส่วนชายหนุ่มธรรมดา ใบหน้าซีดเช่นกัน ร่างกายสั่นเทาแต่ไม่ได้อ้วกออกมา

หวังหลินส่งสายตาไปบนต้นไม้ในลานกว้างและมองพวกเขาทีละคนอย่างละเอียด

ซิ่วหยุนมองหวังหลิน ดวงตาส่องสว่างขึ้น นางสับสนกับความสงบนิ่งของหวังหลิน เมื่อนางเห็นสายตาเขาจับจ้องไปบนสมุนไพรจึงอดถามออกมาไม่ได้ “เจ้ารู้จักหรือ?”

“ก็พอมีบ้าง” หวังหลินถอนสายตาออกมาเอ่ยขึ้นเบาๆ จากนั้นกล่าวต่อ “ข้าเป็นหมอ”

ซิ่วหยุนมองหวังหลินอย่างละเอียด “เมื่อเจ้ารู้จักอยู่บ้าง ก็พักอยู่ที่นี่และดูแลสมุนไพรให้ดี” หลังจากนั้นนางตบกระเป๋านำหินหยกออกมา เพ่งสมาธิเล็กน้อยและโยนออกไป

หินหยกลอยออกไปไกลทันที

วิชาเซียนทำให้ชายหนุ่มธรรมดามีท่าทีตื่นเต้นมาก แม้แต่ชายหนุ่มชุดฟ้ายังเผยท่าทีปรารถนา ใช้เวลาไม่นานสองลำแสงโผล่ออกมาไกลเป็นเซียนวัยเยาว์สองคน

“ขอคารวะท่านอาจารย์” สองเซียนยืนเบื้องหน้าซิ่วหยุนและเคารพยิ่ง

“จัดหาที่พักให้พวกเขาสองคนและมอบบทร่ายสามขั้นแรก” ซิ่วหยุนให้คำสั่ง จากนั้นเดินเข้าไปในลาน หันกลับมาชี้หวังหลิน “เจ้า เข้ามา”

การกระทำของนางทำให้มีเสน่ห์เล็กน้อยราวกับความเย็นชาถูกลบออกไป

หวังหลินก้าวเดินเข้าไปในลานด้วยท่าทีสงบนิ่ง กลิ่นหอมของสมุนไพรเตะเข้าจมูก เพียงแค่สูดหายใจก็ทำให้เขารู้สึกสดชื่น แม้จะดูท่าทีปกติแต่ตกตะลึงยิ่ง สมุนไพรจำนวนมากในสวนนี้สูญพันธุ์ไปแล้วในพันธมิตรเซียนและทุกชั้นฟ้า

“เจ้าจะพักอยู่ที่นี่” ซิ่วหยุนชี้ใส่บ้านไม้เบื้องหน้า นางสังเกตหวังหลินและรู้สึกว่าเขาเยือกเย็นเกินไป หากเขาเป็นเซียนก็คงดี แต่ไม่ว่านางจะตรวจสอบมากแค่ไหนเซิ่งหนิวคนนี้ก็ไม่มีร่องรอยพลังปราณ ซึ่งทำให้นางประหลาดใจมาก

อย่างไรก็ตามนางไม่คิดอะไรมากนัก หลังจากบอกวิธีดูแลสมุนไพรในส่วนและมอบบทร่ายฝึกเซียน นางก็ไม่สนใจหวังหลิน พลางเดินเข้าไปในบ้านตรงกลางและเริ่มบ่มเพาะ นางพยายามอย่างเต็มที่ในการบรรลุขั้นรูปธรรมหยาง ดังนั้นจึงต้องให้อาจารย์ช่วยบางส่วน

พอคิดถึงหินหยกในมืออาจารย์แล้ว ซิ่วหยุนรู้สึกขมขื่น นางรู้ว่าอาจารย์นางได้รับความสนใจจากเซียนทรงพลังหลายคน ตอนนี้ท่านบรรพชนตายไปแล้ว หลายคนจึงออกลาย

พอคิดว่าอาจารย์ลุงทั้งสามคนปฏิเสธความช่วยเหลืออย่างไร ซิ่วหยุนกัดริมฝีปากแน่น

‘หากครั้งนี้ข้าไม่บรรลุขั้นรูปธรรมหยาง ข้าต้องไปเอาเม็ดยาแยกวิญญาณมรณะมาเท่านั้น…’ พอคิดถึงความน่ากลัวของเม็ดยาแยกวิญญาณมรณะ ซิ่วหยุนสูดหายใจลึก ขบคิดเล็กน้อยและหลับตาฝึกฝน ก่อนหน้านี้นางทะลวงผ่านเขตแดนได้เล็กน้อย ตอนนี้จึงห่างขั้นรูปธรรมหยางไม่ไกล

หลังซิ่วหยุนจากไป หวังหลินยิ้มบางมองสมุนไพรเบื้องหน้าก่อนจะเดินเข้าไปบ้านของตัวเอง หวังหลินพบว่าบ้านหลังนี้ไม่ใหญ่มาก นอกจากเตียงแล้วก็มีแต่โต๊ะไม้

บนโต๊ะมีตะเกียงน้ำมัน

หวังหลินนอนยืดกายบนเตียง มองเพดานไม้และเผยท่าทีผ่อนคลาย หวังหลินไม่ได้ทำอะไรง่ายๆแบบนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านวารีเหนือหรือที่อยู่ปัจจุบัน ทั้งสองที่ได้ทำให้ความคิดเขาสงบสุขอันหาได้ยาก

หลังจากบ่มเพาะมาถึงระดับนี้ นอกจากการฝึกฝนแล้ว ปัจจัยสำคัญที่สุดคือการเข้าใจเต๋าและกฏ การนอนอยู่ที่นี่หวังหลินรู้สึกสงบและพอจะคว้าความคิดดีดีได้บ้าง

‘จริงและเท็จ…บางทีตอนนี้ข้ากำลังอยู่ระหว่างความจริงและความฝัน…’ หวังหลินเผยรอยยิ้มและค่อยๆหลับตา

ไม่นานนักท้องฟ้าก็ค่อยๆมืดลง ห้องมิดสนิท หวังหลินค่อยๆลืมตาแต่ไม่ได้จุดตะเกียง เขานั่งลง ฝ่ามือสร้างผนึกจากนั้นชี้ใส่ร่างกายหลายส่วน ปล่อยลมหายใจเหม็นออกมา แบ่งร่างออกเป็นสอง

ร่างอวตารและร่างดั้งเดิมจึงแบ่งออกในบ้านไม้แห่งลานทิศใต้ในสำนักต้นกำเนิด

ร่างดั้งเดิมนั่งอยู่ที่นี่ ทุกอย่างต่ำกว่าเอวเหลือเพียงกระดูก กระดูกเขาสีดำและมีเส้นสีแดงเงาๆข้ามผ่านกรระดูก หากทุกคนมาเห็นแบบนี้คงได้อ้าปากค้างแน่นอน

ร่างดั้งเดิมเขาแย่ยิ่งกว่าตอนอยู่ที่สำนักวิหคเพลิง อาการบาดเจ็บยิ่งแย่ลง

ความจริงแล้วหวังหลินได้ผสานเข้ากับร่างดั้งเดิมมาก่อนหน้าที่จะไปช่วยจักรพรรดิมังกรฟ้าในแดนสวรรค์พิรุณ แต่เนื่องจากปัญหาของร่างดั้งเดิม แม้จะผสานเข้าด้วยกันแต่ไม่มีพลังเทพโบราณเหลือให้ใช้มากนัก

‘สามด่านเจ็ดหายนะที่เหล่าเทพโบราณเผชิญ ตามความทรงจำของตู่ซือ มีเพียงหลังจากบรรลุหกดาวเท่านั้นข้าถึงได้เผชิญกับสองหายนะของบททดสอบแรก ไม่คิดว่าข้าจะได้เผชิญบททดสอบแรกเร็วเช่นนี้…’

‘บททดสอบแรกเกี่ยวข้องกับหายนะแห่งเลือดเนื้อและหายนะแห่งกระดูก ทั้งสองช่างรุนแรงจริง’ หวังหลินมองรร่างดั้งเดิมพลันโบกแขนขวา มิติเก็บของเปิดขึ้นและมีผลึกโลหิตขนาดเท่ากำปั้นลอยออกมา

ผลึกโลหิตทั้งหมดเรืองแสงโลหิตแต่แสงทั้งหมดภายในห้องไม่รั่วไหลออกไป หวังหลินมองผลึกโลหิตพลางโบกแขนขวาให้มันลอยเข้าหาร่างดั้งเดิม ร่อนลงบนครึ่งท่อนล่างและค่อยๆฟื้นฟู

ร่างดั้งเดิมลืมตาขึ้นมาและจมเข้าไปในพื้นดิน หายตัวไปจากห้อง เขาจมลงไปจนกระทั่งถึงส่วนลึกของแผ่นดินโม่หลัว จากนั้นหลับตาเริ่มดูดซับกลิ่นอายจากผลึกโลหิต

หวังหลินค้นคว้าผ่านควาทรงจำของตู่ซือตอนที่ร่างดั้งเดิมเผชิญกับสามด่านเจ็ดหายนะมาถึงก่อน หลังจากค้นคว้าไปเรื่อยๆหวังหลินจึงเข้าใจและคาดเดาบางอย่าไงด้ ร่างดั้งเดิมเขาเปรียบเทียบแบบสมบูรณ์ไม่ได้กับร่างของเทพโบราณของจริง การผ่านบททดสอบแรกโดยไม่มีโลหิตหัวใจเทพโบราณนับว่าเป็นไปได้ยากมาก

แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น หวังหลินไม่มั่นใจว่าร่างดั้งเดิมจะสามารถผ่านหายนะเลือกเนื้อของบททดสอบแรกได้หรือไม่

ขณะขบคิด วันเวลาผ่านไป แสงแดดยามเข้าลอดผ่านประตูเข้ามา เสียงสายฝนไหลรินเข้ามาในหูหวังหลินด้วย

จบภาค 8 ความลับพันธมิตร ภาคต่อไปในชื่อ สูงสุดแห่งทะเลเมฆา

หยุดระหว่างเริ่มภาคใหม่เป็นเวลา 2 วัน เจอกันอีกทีวันอังคารนะครับ

เปิดระดับขั้นใหม่ให้แล้วครับผม เลื่อนกันก่อนได้เลย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version