Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1141

Cover Renegade Immortal 1

1141. หลิวหยานเฟย

ยามรุ่งสาง แผ่นดินโม่หลัวในฤดูฝนมีแต่ความชื้น หยดน้ำร่อนลงบนหน้าต่าง บางส่วนถึงกับสาดเข้าใส่ใบหน้าหวังหลิน

ฤดูฝนที่นี่หนาวเย็นมาก แต่ความหนาวเย็นเช่นนี้ทำให้ใครสักคนตื่นขึ้นมาในยามเช้า

หากมองลอดผ่านหน้าต่างออกไป สายฝนช่างรุนแรง สมุนไพรในลานแห่งนี้มีความทนทานมากกว่าสมุนไพรปกติ ดังนั้นสายฝนจึงไม่ทำอันตรายมากนัก สายฝนตกลงบนใบและหล่อเลี้ยงไปถึงราก

คลื่นพลังปราณแผ่ออกมาจากสายฝน หวังหลินสูดหายใจลึกหยิบร่มและเดินออกไปนอกห้อง

เกิดเสียงฝ่าเท้าเหยียบย่ำไปบนดินโคลนผสมกับเสียงสายฝนตกหล่นไปบนร่ม หวังหลินฟังเสียงพลางสัมผัสถึงพลังดั้งเดิมของโลกใบนี้ เดินไปข้างหน้าด้วยความสุขอุรา

ช่วงการบ่มเพาะของซิ่วหยุนยังไม่สิ้นสุด นางยังบ่มเพาะอยู่เงียบๆพยายามทะลวงผ่านขั้นมายาหยินไปถึงขั้นรูปธรรมหยาง หวังหลินจากไปโดยที่นางไม่รู้สึกตัว แต่ถึงแม้นางจะไม่ได้จมดิ่งไปกับการฝึกฝนก็ไม่รู้ว่าหวังหลินเดินออกไปแล้ว

หลังจากมาถึงสำนักต้นกำเนิด หวังหลินไม่ได้ซ่อนระดับบ่มเพาะของตนเอง ด้วยสถานะปัจจุบันเขาไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นต้องซ่อนตัว อย่างไรก็ตามถึงแม้ไม่ได้ใช้วิชาอะไรก็ไม่มีใครเห็นว่าเขาเป็นเซียนเพราะไม่มีใครมองเห็นระดับบ่มเพาะของหวังหลินได้

พลังดั้งเดิมของเซียนขั้นชำระสวรรค์ถูกเชื่อมต่อกับโลกจึงทำให้สามารถดูดซับพลังงานที่ต้องการจะใช้ได้ ตราบใดที่พลังงานในร่างกายไม่เคลื่อนไหว จะไม่มีความผันผวนปรากฏออกมา ซึ่งหากแค่นี้หลิวหยานเฟยก็คงจะรู้สึกตัวอยู่บ้าง

แต่หวังหลินมีเศษเสี้ยวต้นตอดั้งเดิมและเคยเห็นขั้นที่สามแล้ว เขายังได้รับรู้ว่าเซียนขั้นที่สามเป็นแบบไหนด้วยการช่วยเหลือของจักรพรรดิเทพฉิงหลิน ดังนั้นจึงไม่มีใครในแผ่นดินนี้จะมองระดับบ่มเพาะของเขาออก

หวังหลินสวมเสื้อผ้าสีขาวเดินถือร่มออกไปนอกลานและเริ่มเดินผ่านสำนักดั้งเดิม พบเจอกับเซียนคนอื่นๆแต่ทั้งหมดต่างอยู่ในความรีบเร่งและไม่ได้รบกวนใคร

หวังหลินเดินขึ้นไปบนภูเขาจากลานทิศใต้ ใช้แต่เพียงร่างกายเดินเข้าหายอด

สายลมบนยอดเขารุนแรงมาก ก้อนเมฆปกคลุมท้องฟ้า สายฟ้ากระพริบอยู่ภายในปลดปล่อยเสียงครืนๆดังออกมา

หวังหลินสูดลมหายใจเข้าปอดในอากาศเปียกชื้น มองดูภาพระยะไกล สัมผัสถึงพลังดั้งเดิมในโลกและรู้สึกจิตใจสงบนิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะมีแขกไม่ได้รับเชิญ เขาคงจมไปกับความรู้สึกเช่นนี้

ในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักเขา หวังหลินอยู่ในโลกอันแปลกหน้า กลิ่นสายฝนเตะเข้าจมูก

“เจ้าเป็นใคร?” น้ำเสียงเย็นดังออกมาจากด้านหลัง

หวังหลินหันกลับไปเห็นสตรีนางหนึ่งอยู่ด้านหลัง นางสวมชุดราตรีสีแดงดูเหมือนก้อนเมฆสีชาด เส้นผมสีดำพริ้วไสวด้านหลัง สีดำและแดงขับด้วยใบหน้าซีดเล็กน้อยทำให้นางงดงามยิ่ง

นางดูอ้อนแอ้นยิ่งแต่ในวันสายฝนและฟ้าร้องแบบนี้ นางส่งสัมผัสอ้างว้างและไร้กำลัง ใบหน้าอัปยศจางๆของนางเด่นชัดในสายตาหวังหลิน

“ชื่อข้าคือ เซิ่งหนิว”

สตรีชุดแดงมองหวังหลินด้วยสายตาเย็นชาและขมวดคิ้ว ชื่อ “เซิ่งหนิว” ไม่คุ้นหูกับนางยิ่ง ถ้าไม่ใช่ว่าหวังหลินเป็นคนธรรมดา นางคงส่งเขาลงภูเขาแล้ว

“เซิ่งหนิว?” นางจำได้ว่าท่ามกลางคนธรรมดา 31 คนที่พามาจากทางเหนือ มีคนหนึ่งในนั้นชื่อว่า “เซิ่งหนิว” แต่คนผู้นี้สงบนิ่งเกินไปและไม่ใช่สิ่งที่แกล้งทำขึ้นมา

“ออกไปจากที่นี่” นางเอ่ยอย่างเย็นชา นางเป็นเซียนทรงพลังและไม่ทำอะไรต่อคนธรรมดา แม้จะฉุนเฉียวแต่ก็ประคับประคองความสงบนิ่งเอาไว้

หวังหลินยิ้มและเดินผ่านสตรีชุดแดง เดินไปตามถนนและกำลังจะจากไป

นางหันกลับมามองหวังหลิน ความสงบนิ่งของหวังหลินทำให้นางประหลาดใจ ต้องบอกว่าทั้งสำนักต้นกำเนิด นอกจากอาจารย์แล้วศิษย์ทุกคนคงร้อนรนและเคารพนางยิ่ง แม้แต่ศิษย์พี่สามคนของนางยังต้องเคารพเนื่องจากนางมีระดับบ่มเพาะสูงกว่า

คงไม่จำเป็นต้องพูดถ้าเป็นคนธรรมดา แต่ชายเบื้องหน้านางคนนี้สงบนิ่งน่าประหลาด

นางจ้องแผ่นหลังหวังหลินราวกับสามารถมองทะลุเขาออก หลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนจึงมั่นใจว่าคนด้านหน้าเป็นแค่คนธรรมดา

นางถอนหายใจและเอ่ยกระซิบ “เดี๋ยวก่อน เจ้าอยากจะฟังข้าไหม…”

หลิวหยานเฟยมีสถานะสูงส่งในสำนักต้นกำเนิด คนส่วนใหญ่เคารพนางมาก และด้วยสถานะของนางจึงมีหลายอย่างที่ค่อยสบายใจอัดอั้นเอาไว้ไม่อยากเอ่ยออกมา

ชายหนุ่มเบื้องหน้าไม่ได้มีระดับบ่มเพาะอันใดและเป็นแค่คนธรรมดา ในสายตาของหลิวหยานเฟย มันแตกต่างเหมือนฟ้าดิน สิ่งสำคัญไปกว่านั้นความสงบนิ่งของชายหนุ่มเหมือนแพร่ให้กันได้ ช่วยให้นางสงบนิ่งโดยไม่รู้ตัว

นางแค่ต้องการหาใครสักคนสามารถฟังนางได้ ฝนตกในยามรุ่งบนภูเขาแห่งนี้ มีเพียงแค่พวกเขาสองคน

หวังหลินขบคิดและหยุดเดิน ยืนอยู่บนยอดเขามองออกไปยังก้อนเมฆสีดำไกลๆและพยักหน้า

สายลมภูเขาหวีดหวิวกลางสายฝน นอกจากสายฝนและสายลมแล้วมีแต่เพียงความสงบ

“ตอนข้าอายุสิบสาม ข้าถูกอาจารย์รับเป็นศิษย์และก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกฝน…” หลิวหยานเฟยเอ่ยน้ำเสียงสงบนิ่งเต็มไปด้วยความคิดถึง เสียงนางค่อยๆหายเข้าไปในสายฝน

“ตอนที่ข้าพยายามทะลวงสู่ขั้นเทวะ อาจารย์ยอมใช้สมุนไพรจำนวนมากในสำนักและออกไปแลกเปลี่ยนกับสำนักอื่นๆเพื่อปรุงยาหลอกสวรรค์ให้ข้าเพื่อบรรลุขั้นเทวะ…”

“ข้ายังจำปีนั้นได้ดี อาจารย์พาข้าออกไปล่าดวงดาว ใช้เวลาสามปีเขาก็ช่วยข้าจับจิ้งจอกแดงหกตามาให้กลายเป็นจิตวิญญาณอสูรชีวิตของข้า…”

หลิวหยานเฟยค่อยๆเอ่ยขึ้นอย่างขมขื่น นางไม่สนว่าหวังหลินจะเข้าใจหรือฟังอยู่หรือไม่ นางแค่มองไปยังเส้นขอบฟ้าราวกับพึมพำกับตัวเอง

“อาจารย์พึ่งเสียไป ตั้งแต่บัดนนี้ข้าจะไม่เจอเขาอีกแล้ว…”

หลิวหยานเฟยกล่าวไปเยอะมาก หวังหลินยืนอยู่ข้างๆและฟังอย่างเงียบเชียบ เวลาค่อยๆผ่านไปจนมาถึงยามบ่าย สายฝนค่อยๆลดลงจนกระทั่งหยุดไป

ก้อนเมฆสีดำหายไปแล้ว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสดใส สายรุ้งสว่างแขวนอยู่เหนือท้องฟ้ามอบฉากอันงดงามเหนือการบรรยาย

“สำนักเต๋าม่วงเป็นต้นเหตุการตายของอาจารย์ จากนั้นจ้าวสำนักน้อยนั่นก็ส่งหินหยกมาขอให้ข้ากลายเป็นคู่รักฝึกเซียนของเขา หากข้าไม่ตกลงพวกมันจะรายงานให้สำนักหลักเพื่อเริ่มสงครามกับสำนักต้นกำเนิดของเรา ฉวยโอกาสการตายของอาจารย์ข้า…สำนักหลักไม่เคยชอบเรา หากสำนักเต๋าม่วงร้องขอจริงๆ มีโอกาสถึงแปดในสิบส่วนที่สำนักหลักจะตกลง…”

หลิวหยานเฟยกัดริมฝีปากเล็กน้อย ท่าทางน่ารักแต่เจ็บปวด

“เรื่องบัดซบก็คือศิษย์พี่ทั้งสามคนของข้าไม่กล้าท้าชนเลยและคิดว่าเรื่องนี้ถูกวางเอาไว้แล้ว…พวกเขาต้องการให้ข้าเสียสละตัวเองนำพาความสงบสุขให้แก่สำนักต้นกำเนิด แต่พวกเขาคิดจริงๆหรือว่าสำนักจะปลอดภัยเมื่อมันกลายเป็นของลั่วไฮ่…”

หลิวหยานเฟยน้ำตาไหลรินลงสองแก้มและตกลงบนพื้น ผสมผสานกับสายฝน นางมองไปยังสายรุ้งเหนือเส้นขอบฟ้าเงียบๆและพึมพำ “มีสายรุ้งหลังสายลมและสายฝน แต่…สายรุ้งของสำนักต้นกำเนิดนั้นเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก…”

หวังหลินท่าทีสงบนิ่ง เมื่อเห็นว่านางพูดจบแล้วจึงหันตัวกลับเดินลงภูเขา ครั้งนี้นางไม่ได้หยุดหวังหลินและมองเส้นขอบฟ้าอย่างเงียบๆ ผ่านไปสักพักนางเผยท่าทีมุ่งมั่น แววตาปรากฏจิตสังหาร

นางมองกลับไปทิศทางที่หวังหลินจากไป

“จิตใจเขาสงบนิ่งมาก หากก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งการฝึกเซียน เขาจะประสบความสำเร็จในอนาคตมหาศาลแน่นอน…น่าเสียดาย…”

หวังหลินก้าวเดินลงภูเขาและเข้าไปในลานพร้อมกับถือร่มไปด้วย พอหวังหลินกลับไปถึงซิ่วหยุนยังคงบ่มเพาะอยู่

‘ข้ารู้จากความทรงจำของจ้าวหยู่แล้วว่าดาราจักรทะเลเมฆาแตกต่างจากพันธมิตรเซียนและทุกชั้นฟ้า ตอนนี้ข้ามาได้ยินจากผู้อาวุโสของสำนักต้นกำเนิด ดูเหมือนเซียนส่วนใหญ่ฝึกฝนด้วยการใช้อสูรวิญญาณ…การปรุงยาเป็นของพิเศษ! ทะเลเมฆาเต็มไปด้วยสายหมอกและข้างในหมอกคือโลกที่เป็นของอสูรวิญญาณ…’

หวังหลินเริ่มขบคิด ขบคิดถึงกับคำพูดของผู้อาวุโสคนนั้น มีแม้กระทั่งยาที่ช่วยให้บรรลุขั้นเทวะ!

‘เม็ดยาหลอกสวรรค์…’ หวังหลินเผยแววตาสนใจ

หวังหลินไม่ลืมว่าถ้าไม่ได้ผลึกเทวะของโจวยี่ เขาคงถูกเปลวเพลิงดั้งเดิมเผาไหม้ไปแล้ว คงถูกจัดหมวดหมู่เป็นคนที่เสาะหาเต๋าในยามเช้าและตายในยามค่ำ

‘ดาราจักรทะเลเมฆามีเม็ดยาที่ช่วยให้เซียนผ่านบททดสอบแห่งชีวิตและความตายในการฝึกฝนได้จริงๆ ต้องกล่าวว่าการปรุงยาของทะเลเมฆาอยู่ในระดับสูงสุด มีโอกาสที่จะมีเม็ดยาที่ช่วยเหลือเซียนในขั้นที่สองได้!’

‘อย่างไรก็ตามเหล่าเซียนควรจะมุ่งเน้นในการทำความเข้าใจเต๋า เม็ดยาถือเป็นวิธีนอกรีต แต่ทำไมดาราจักรทะเลเมฆาถึงพัฒนาการปรุงยามาระดับนี้… หวังหลินขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ผ่อนคลายในเวลาไม่นาน’

‘เป็นไปได้ว่า…มีเม็ดยาที่ช่วยในการเข้าใจเต๋า!’ พอคิดแบบนี้หวังหลินจิตใจเต้นระรัวและถอนหายใจยาว

ชั่วขณะนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป สายตามองทะลุผ่านบ้านของตัวเองร่อนลงบนซิ่วหยุน

ซิ่วหยุนลืมตาขึ้นมาและกระอักโลหิต ใบหน้าซีดขาว นางทะลวงขั้นรูปธรรมหยางล้มเหลวอีกครั้ง…

การล้มเหลวครั้งนี้ทำให้วิญญาณดั้งเดิมของนางได้รับบาดเจ็บ ซิ่วหยุนกัดริมฝีปากล่างและเผยสายตามุ่งมั่น ตบกระเป๋านำเม็ดยาหนึ่งออกมา

นางบดขยี้เม็ดยาโดยไม่ลังเล เผยเป็นเม็ดยาสีดำขึ้น ปลดปล่อยพลังดั้งเดิมมหาศาลและมีพลังวิญญาณเจือจางอยู่ข้างใน

“เม็ดยาแยกวิญญาณมรณะ…” ซิ่วหยุนกัดฟัดและกำลังจะกลืนเข้าไป นาทีนั้นน้ำเสียงสงบนิ่งดังออกมา

“หยุด!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version