1164. สามคำถาม
ภายในหมอกดวงดาวของเขตระดับห้ามีอสูรวิญญาณยักษ์ตัวหนึ่งขนาดสามพันฟุต มันเหมือนพยัคฆ์แต่มีเขาหนึ่งข้างยาวมากกว่าร้อยฟุตส่องแสงแวววาว
บนหลังพยัคฆ์มีคนนั่งมากกว่าสามสิบคน ทั้งหมดสงบนิ่งและหลับตาบ่มเพาะไปด้วย พวกเขามีทั้งชายหญิงและส่งระดับบ่มเพาะผันผวนออกมา
ชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างเขาพยัคฆ์ เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีม่วง สองมือไพล่หลังมองไปยังหมอกดวงดาวตรงหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ด้านหลังเป็นชายชรายืนอย่างเคารพ ทั้งสองจ้องมองออกไปตรงหน้า
ชายชราเอ่ยขึ้นเบาๆ “ท่านจ้าวสำนัก ด้วยความเร็วปัจจุบันของเจ้าพยัคฆ์ เราจะถึงแผ่นดินโม่หลัวในอีกหนึ่งวัน”
คนเหล่านี้เป็นเซียนจากสำนักเต๋าม่วง ปกติแล้วพวกเขาเดินทางใช้เวลาไม่นานแต่เนื่องด้วยเหตุเรื่องหินหยกและสูตรยาที่ไปถึงเขตระดับห้า พวกเขาจึงเดินทางไปแผ่นดินโม่หลัวล่าช้า
หลังจากจัดการทุกอย่างและร่วมมือกับสำนักระดับหก ในที่สุดสำนักเต๋าม่วงก็ส่งคนออกไปแผ่นดินโม่หลัวจนได้
ชายวัยกลางคนหันสายตาไปบนหมอกดวงดาวตรงหน้าพลางครุ่นคิด หลังจากนั้นสักพักจึงพยักหน้า “ท้ายที่สุดเรื่องพวกนั้นจะต้องมีคำตอบ”
ชายชราตกตะลึง ไม่เข้าใจความหมายสิ่งที่จ้าวสำนักเอ่ย ในมุมมองเขานี่เป็นการเดินทางอันเรียบง่ายสู่สำนักต้นกำเนิด จะได้คำตอบอะไรมากัน
“จ้าวสำนัก…” ชายชรากำลังจะเอ่ยแต่ชายตรงหน้าสายศีรษะ “เจ้าไม่เข้าใจ ความวุ่นวายจะเพิ่มขึ้น ทะเลเมฆาจะไม่สงบเหมือนเดิม”
ชายชราขบคิดเงียบๆ
“เพื่อให้ได้สูตรยาและหินหยกมา ไม่เพียงเขตระดับหกเท่านั้น แม้กระทั่งสำนักเขตระดับเจ็ดและระดับแปดทั้งหมดต่างก็ส่งเซียนออกมา มันคุ้มค่าหรือไม่…” ชายวัยกลางคนดูเหมือนกำลังพูดคุยกับตัวเอง เกิดความกังวลอยู่ด้วย
ชายชราเอ่ยกระซิบ “สูตรยาและหินหยกนั่นคุ้มค่ามากเกินไป ผู้คนคงเคลื่อนไหวแน่นอน”
“สูตรยานั่นเป็นลางไม่ดี มันปรากฏตัวครั้งแรกทำให้เกิดหายนะขึ้นในทะเลเมฆา ตอนนี้มันปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่สอง…ข้าไม่รู้ว่าใครเอาไป ยิ่งมันอยู่ที่นั่นนานเท่าไหร่ก็ยิ่งมีหายนะเกิดขึ้นมากเท่านั้น” ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะและถอนหายใจ
ชายชราลังเลเล็กน้อย “ตามที่ตรวจสอบมา มันอยู่กับนางเฒ่าพิษแห่งสำนักห้าพิษและซ่อนตัวอยู่”
“อย่าประเมินเซียนเฒ่าจากสำนักระดับหกต่ำไป!” ชายวัยกลางคนยิ้มบาง
ชายชราตกตะลึง ขบคิดอย่างละเอียดจึงเอ่ยคำถาม “หรือจะอยู่กับคนอื่น?”
“หากอยู่กับนางเฒ่าพิษจริง ทำไมสำนักห้าพิษยังอยู่?” ชายวัยกลางคนเผยดวงตาส่องประกายแห่งปัญญา พลางเอ่ยขึ้น “นางเฒ่าพิษนั่นจะสู้กับฉีเล่าซิงและหานางไม่พบได้อย่างไร? นางจะสามารถฆ่าเฉียนกุ้ยจงพร้อมกับหลบหนีไปได้อย่างไร?”
“เฉียนกุ้ยจงเป็นเซียนขั้นทลายสวรรค์ ใครจะสามารถฆ่าเขาได้ในระยะเวลาอันสั้นก่อนที่กองหนุนลูกที่สองจะมาถึงเล่า?”
ชายชราอ้าปากค้าง ความคิดสั่นเทา ใช้เวลาสักพักถึงจะคืนสติกลับมาและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เฉียนกุ้ยจงแห่งสำนักดอกไม้กระจ่างถูกสังหาร!” เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้
“นางเฒ่าพิษไม่สามารถทำแบบนี้ได้ มีเพียงคนที่ได้หินหยกและสูตรยาไปจริงๆเท่านั้นที่จะมีความแข็งแกร่งแบบนั้น เขาต้องถูกบังคับให้ฆ่าเฉียนกุ้ยจง ข้าเดาว่าตอนที่ออกจากแผ่นดินป่า เขาบังเอิญเจอกับเฉียนกุ้ยจงเข้าและเกิดความสงสัยจึงถูกบังคับให้โจมตี” ชายวัยกลางคนเผยท่าทีมั่นใจ
“เขาใช้วิธีโหดเหี้ยมมาก กระทำทุกอย่างด้วยความมุ่งมั่นและสังหารเฉียนกุ้ยจงอย่างหมดจด อีกทั้งก่อนหน้านั้นเขาก็โยนเป้าหมายไปให้นางเฒ่าพิษอีก สร้างหมอกเพื่อยื้อเวลา ด้วยการทำเช่นนี้เขาสามารถทำให้สำนักระดับหกสงสัยจนหนีจากการปิดล้อมก่อนจะไปตั้งตัวได้ แม้ข้าสลับตำแหน่งกับเขา ข้ากลัวว่าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อยู่ดี”
“สิ่งสำคัญก็คือแผนการเขาล้ำลึกยิ่ง ไม่รู้ว่าเขามีเหตุผลอะไรในการป้ายสีให้นางเฒ่าพิษ หากเขามองทะลุความจริงออกและป้ายสีให้นางเฒ่าพิษ เช่นนั้นความคิดเขาคงเหมือนปีศาจ!” แววตาสมเพจของชายวัยกลางคนยิ่งรุนแรงขึ้น
ชายวัยกลางคนหัวใจเต้นกระดอน ขบคิดเล็กน้อยเขาก็ยังงุนงง
ชายวัยกลางคนไม่ได้หันศีรษะกลับไปแต่ดูเหมือนจะเห็นสีหน้าสงสัยของชายชราได้ชัดเจน พลางเอ่ยขึ้นเบาๆ “หากเขตระดับหกได้รับหินหยกและสูตรยาเข้าจริงๆ เช่นนั้นถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี แต่ถ้าพวกเขาพบว่าหินหยกและสูตรยาหายไป นั่นถือว่าเป็นหายนะแล้ว”
“สิ่งที่พวกเขาต้องการคือคำอธิบาย! คำอธิบายให้แก่เขตระดับเจ็ด แปด หรือแม้แต่ระดับเก้า…”
ชายชราดูเหมือนตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่เชื่อสองหู หายใจหนักหน่วง “เช่นนั้นทำไมพวกเขาถึงยอมให้สำนักห้าพิษอยู่ต่อไปได้และมั่นใจว่าเป็นนางเฒ่าพิษ แม้กระทั่งการตายของเฉียนกุ้ยจงก็ดูเหมือนจะเป็นการกระทำของเซียนทรงพลังของสำนักห้าพิษ!”
ชายวัยกลางคนยิ้ม จากนั้นเอ่ยขึ้นเบาๆราวกับพูดกับตัวเอง
“เซียนลึกลับคนนี้ฉลาดมากและทำให้สำนักระดับหกต้องหาข้อแก้ตัว ไม่ว่าท้ายที่สุดจะเกิดอะไรขึ้น ด้วยคำอธิบายนี้หายนะจะน้อยลงมาก ทำไมถึงไม่มีเซียนขั้นทลายสวรรค์คนใดในทีมค้นหาเล่า? มีแค่เซียนขั้นชำระสวรรค์เท่านั้นที่ค้นหาคนลึกลับซึ่งสามารถฆ่าเซียนขั้นทลายสวรรค์ได้น้อยกว่าเจ็ดนาที…หากเป็นหนึ่งในจ้าวสำนักระดับหก ข้าอาจจะช่วยเซียนลึกลับนั่นลบล้างเบาะแสทั้งหมด แบบนั้นจะมีเพียงสำนักห้าพิษที่จะถูกทำลาย!”
ชายชราด้านข้างตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง เขามองชายวัยกลางคนด้วยสายตานับถือ หวาดหวั่นและหวาดกลัวไปด้วย
เขาติดตามชายวัยกลางคนตรงหน้าซึ่งมีนามว่า ลั่วหยุนคง มานานหลายปีและเห็นเขาตั้งแต่ไม่มีอะไรเลยจนถึงจุดสุดยอด สำนักเต๋าม่วงเป็นเพียงสำนักเล็กๆในเขตระดับห้าเมื่อสามพันปีก่อน ทว่าเมื่ออยู่ในมือเขาตอนนี้มันจึงน่าเกรงขามยิ่ง แม้จะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในเขตระดับห้า ชื่อเสียง “ลั่วหยุนคง” ยังเป็นที่รู้จักในเขตระดับหก เจ็ดและระดับแปด
“ข้าอยากจะเจอเซียนลึกลับคนนี้จริงๆ…ข้ายอมรับว่าข้าอยากเจอเขาสักวันหนึ่ง…” ชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความคาดหวัง เขาเอามือไพล่หลังและมองดูภูเขาเหมือนชายชรา
ชายชราขบคิดเงียบๆ
วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เจ้าพยัคฆ์ทะลวงผ่านหมอกดวงดาว เคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากแผ่นดินโม่หลัวเพียงครึ่งวัน แสงสีฟ้ากะพริบขึ้นมาไกล แสงสีฟ้าประหลาดยิ่ง มันเจาะสายหมอกและทำให้กลายเป็นสีฟ้า
เจ้าพยัคฆ์หยุดลงทันทีและเกิดความระมัดระวัง ในสายตามันแฝงความหวาดกลัวและเริ่มร้องหอนแต่ไม่กล้าเคลื่อนไหวไปข้างหน้าเลย
ทันใดนั้นทำให้เซียนมากกว่าสามสิบคนลืมตาขึ้นในเวลาเดียวกัน พวกเขายืนขึ้นและจ้องมองออกไปอย่างเย็นชา ไม่มีอาการตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย!
เป็นเพราะพวกเขาคือเซียนจากสำนักเต๋าม่วง ศิษย์หลักและศิษย์สายตรงที่จ้าวสำนักเลือกเอาไว้! เขามีความภูมิใจ สามารถตายหรือพ่ายแพ้ได้แต่ไม่สามารถตื่นตระหนกได้ แม้ภูเขาจะล่มสลายอยู่เบื้องหน้าพวกเขาก็ต้องสงบนิ่ง
ชายชราด้านข้างลั่วหยุนคงพลันมองแสงสีฟ้าประหลาดอย่างเคร่งเครียด มีเพียงลั่วหยุนคงที่ไม่ได้รับผลกระทบเลย เขามองดูราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หมอกสีฟ้าแพร่กระจายออกมาและล้อมรอบระยะหมื่นฟุตในเวลาไม่นาน ชั่วขณะต่อมาหมอกสีฟ้าก็แยกออกและมีสตรีคนสวยนางหนึ่งเดินออกมา นางมีเรือนผมสีฟ้า สวมชุดสีขาว ลักษณะท่าทางประณีตอ่อนช้อยไม่เย็นเยียบเป็นน้ำแข็งหรืออ่อนโยนนัก นางเงียบๆและมีสง่าราศี
ในมือมีขลุ่ยหยก นางเหมือนนางฟ้าที่จุติลงมาบนโลกมนุษย์
นางฟ้าค่อยๆปรากฏขึ้นมาและเผยตัวตนอย่างสมบูรณ์ หมอกสีฟ้ารอบตัวนางเปลี่ยนกลายเป็นรูปร่างกลายเป็นมังกรฟ้ายาวกว่าหมื่นฟุต
นางฟ้ายืนอยู่บนศีรษะมังกรฟ้า มองลั่วหยุนคงนิ่งๆไร้ความหวั่นไหว บริสุทธิ์ไร้สิ่งใดเจือปน
ดุจทะเลสาบนิ่ง ยามที่เห็นดวงตาคู่นั้นไม่ว่าจะโหดร้ายรุนแรงแค่ไหนจะต้องสงบลง ทั้งยังเกิดความด้อยค่าอยู่ในใจด้วย
“หลี่เฉียนเหมย!” ลั่วหยุนคงยังคงเอามือไพล่หลังมองไปที่นาง แม้จะตกตะลึงกับความงดงามและน่ารักนั้น สีหน้าท่าทางเขาไม่เปลี่ยนไปเลย
“สำนักทะลวงสวรรค์ระดับเก้า หลี่เฉียนเหมย!” ชายชราด้านข้างลั่วหยุนคงก้าวเท้าถอยหลังและเฝ้าระวัง เขาจำนางได้ทันทีเพราะนางเป็นสตรีผมสีฟ้าคนเดียวในทะเลเมฆา หลี่เฉียนเหมย!
“เฉียนเหมยขอคำนับพี่ลั่ว” นางยิ้มและโค้งเล็กน้อยเข้าหาลั่วหยุนคง
ลั่วหยุนคงยิ้มและคำนับฝ่ามือ “สหายหลี่เมตตาเกินไป”
“พี่ลั่ว เฉียนเหมยมีเรื่องอยากจะถามท่านสามคำถาม ข้าหวังว่าพี่ลั่วสามารถขจัดความสงสัยข้าได้” นางยิ้มเล็กน้อยและดูสงบเงียบยิ่งกว่าเดิม ระหว่างทางนางถามมาหลายคนด้วยคำถามเดียวกัน ทุกคนที่ตอบนางคือคนมีตำแหน่งสูงส่ง แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่นางต้องการได้ นางเพียงแค่ถามหนึ่งในสามคำถามเท่านั้นแต่กลับไม่มีใครสามารถทำให้นางถามคำถามที่สองได้เลย
“โปรดถามมาได้เลย” ลั่วหยุนคงพยักหน้า
นางเอ่ยเสียงเบา “คำถามแรก : สวรรค์คืออะไร?”
ลั่วหยุนคงมองหลี่เฉียนเหมย ขบคิดเล็กน้อยจึงเอ่ยออกมา “สวรรค์คือกรงขัง!”
นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่มีเสน่ห์มาก ชั่วขณะต่อมาดวงตาส่องสว่างและเผยรอยยิ้มดุจดอกไม้เบ่งบาน
“คำตอบของพี่ลั่วน่าสนใจ เฉียนเหมยอยากจะรู้ว่าทำไมสวรรค์คือกรงขัง”
ลั่วหยุนคงยิ้ม “นี่คือคำถามที่สองหรือไม่?”
นางขยับเรือนผมสีฟ้าและเอ่ยบางเบา “ไม่ใช่ นี่ยังเป็นคำถามแรก พี่ลั่วสามารถตอบได้ไหม?”
……………………