Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1255

Cover Renegade Immortal 1

1255. ประณามสำนักอมตะ 6

สำนักระดับเจ็ด เมฆาเขียวเป็นสำนักที่ได้อันดับสามในการแข่งขันครั้งล่าสุด วิชาของสำนักมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงและมิอาจคาดเดา สำนักมีขนาดใหญ่มากและมีคนมากกว่าเจ็ดพันคน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาผลิตเซียนทรงพลังมากมาย

เซียนทรงพลังเหล่านั้นมักจะถูกสำนักอมตะดึงตัวและดูแลเป็นอย่างดี

น้ำเสียงสงบนิ่งนั้นดังออกมาจากชายวัยกลางคนสวมชุดคลุม ผิวหนังมีสีเหลืองเล็กน้อยราวกับเจ็บไข้สาหัส หลังเอ่ยขึ้นมาเขาจึงกระโจนออกจากแท่น ค่อยๆร่อนเข้าหาสนามรบราวกับมีก้อนเมฆที่มองไม่เห็นอยู่ใต้ฝ่าเท้า

หยุนซานมีชื่อเสียงมากในเขตระดับเจ็ด ปกติเขามักจะปิดด่านบ่มเพาะอยู่เสมอและไม่เร่ร่อนอยู่ข้างนอก เขาออกมาข้างนอกครั้งเดียวตอนที่มีการแข่งขันของสำนักหลัก ระดับบ่มเพาะของเขาสูงส่งและปลดปล่อยกลิ่นอายทลายสวรรค์ระดับปลายออกมา

ลือกันว่าเขาเป็นหนึ่งในสามคนที่จะกลายเป็นตัวแทนของสำนักอมตะเพื่อประลองระหว่างสำนักระดับแปด สำนักอมตะลงทุนกับเขาไปอย่างมากในพันปีที่ผ่านมา เม็ดยามหาศาล สมบัติวิเศษและวิชาต่างๆถูกส่งมาช่วยเขา แม้กระทั่งหนึ่งในเจ็ดผู้อาวุโสของสำนักอมตะยังเข้ามาสอนเขาเป็นเวลาพันปี

กล่าวได้ว่าเขาเป็นคนที่สำนักอมตะใช้ความพยายามไปอย่างมากเพื่อยกระดับให้ชนะการแข่งขันระหว่างสำนักระดับแปด!

ขณะที่เขาก้าวออกไป ผู้คนรอบด้านเริ่มพูดคุย

หยุนซานไม่ได้ดูแก่ชรา เขาบ่มเพาะมาหลายพันปี ลงมาถึงเบื้องหน้าหวังหลินด้วยความสงบนิ่งและคำนับฝ่ามือ “สหายเซียนหลิว โปรดชี้แนะ!”

หลังกล่าวจบ ดวงตาส่องสว่างเป็นประกาย ระเบิดระดับบ่มเพาะขั้นทลายสวรรค์ระดับกลาง วังวนก่อตัวขึ้นโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลางและกวาดออกไป มองไกลๆจะเห็นวังวนยักษ์กำลังหมุนอย่างช้าๆ

เงาพยัคฆ์สีแดงเก้าตัวปรากฏขึ้นในวังวน แต่ละตัวร้องคำรามสั่นสะเทือนสวรรค์

“ร่างแปลงเก้าวิญญาณพยัคฆ์!” มีคนที่พอจะรอบรู้และดวงตาต่างเคร่งขรึม

ในอัฒจันทร์ที่สำนักอมตะอยู่ เฟิ่งไฮ่มองหวังหลินด้วยท่าทีมืดมน เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์มาก หากไม่จนมุมคงไม่สู้กับคนที่เขาไม่มั่นใจว่าจะชนะ เขากำลังจะใช้โอกาสนี้เพื่อดูว่าคนที่ฆ่าจ้าวหลงมีขีดจำกัดอะไรอยู่!

ผู้อาวุโสทั้งหมดที่เหลือของสำนักอมตะต่างก็เห็นหยุนซานเป็นสหาย พวกเขารู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะถูกเลือกเป็นหนึ่งในสามเพื่อไปต่อสู้กับสำนักระดับแปดแห่งอื่น เขาคงกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนักอมตะไปแล้ว

จ้าวสำนักอมตะหรี่ตาแคบและเผยความชื่นชม เขารู้ว่าหยุนซานไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในทั้งสามคนที่ถูกเลือกไป แต่ระดับบ่มเพาะขั้นทลายสวรรค์ขั้นปลายถือว่าแสดงความแข็งแกร่งของสำนักอมตะได้เพียงพอแล้ว

การแข่งขันครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ท่ามกลางสำนักระดับแปด สำนักอมตะได้เกือบที่สุดท้าย ครั้งนี้เขาเชื่อว่าถึงแม้จะไม่ชนะก็คงไม่ใช่ที่ล่างสุด

หยุนซานเผยเจตจำนงต่อสู้ ฝ่ามือสร้างผนึกและชี้ออกไป วินาทีนั้นวิญญาณพยัคฆ์เก้าตัวพลันร้องคำรามและพุ่งทะยาน พวกมันเติบโตขึ้นมีขนาดมากกว่าพันฟุตในท้องฟ้าและพุ่งหาหวังหลินจากทิศทางที่แตกต่างกันเก้าแห่ง

การปรากฏตัวของพยัคฆ์ทั้งเก้าตัวนี้ดูเหมือนทั้งโลกจะกลายเป็นสีแดง

หวังหลินมีท่าทีเป็นธรรมชาติและไม่ได้ใส่ใจเลย กุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จอยู่ที่สำนักอมตะ จากนั้นเขาก็สามารถทำให้ทุกคนตกตะลึงและทำให้สำนักต้นกำเนิดมีชื่อเสียง

หากเขายื้อไว้นานเกินไป อาการบาดเจ็บที่ระงับเอาไว้จะยิ่งย่ำแย่และมันคงไม่คุ้มค่า

เมื่อพยัคฆ์ทั้งเก้าตัวมาถึง หวังหลินก้าวเท้า เขตแดนพลันเปลี่ยนไป พื้นรอบๆเขาเริ่มบิดเบือนราวกับแยกไม่ออกระหว่างของจริงและของปลอม ขณะเดียวกันหวังหลินสะบัดแขนปรากฏเพลิงสีฟ้าขึ้นก่อตัวเป็นวังวน

“กระตุ้น!” หวังหลินคำราม วังวนเพลิงรอบๆเขาเริ่มหมุนย้อนทวนและแพร่กระจาย มันปะทะกับพยัคฆ์ทั้งเก้าที่กำลังเข้ามาทันที

เสียงดังสนั่นกึกก้องและมีระลอกคลื่นแพร่กระจายรุนแรง พยัคฆ์ทั้งเก้าตัวถูกเพลิงสีฟ้าล้อมรอบ มีสามตัวกำลังพังทลายกลายเป็นคลื่นกระแทกสั่นสะเทือน

หวังหลินพุ่งออกมาจากเปลวเพลิงเข้าหาหยุนซาน ขณะเดียวกันชี้ใส่ท้องฟ้าและร้องตะโกน “เพลิงแห่งฟ้าดิน!”

หลังเอ่ยคำนั้น เซียนทั้งหมดที่บ่มเพาะเกี่ยวกับเปลวไฟต่างก็ตกตะลึง ทั้งหมดสัมผัสได้ชัดเจนว่าธาตุอัคคีในร่างกำลังปั่นป่วนและกำลังหลุดจากการควบคุม ราวกับเพลิงต้องการพุ่งออกมาจากร่างกายพวกเขาเนื่องจากมีคนเรียกหา!

เหล่าเซียนที่ฝึกฝนธาตุไฟรู้สึกเหมือนร่างกายตนเองถูกเผาไหม้ เปลวเพลิงมหาศาลปรากฏขึ้นและรวบรวมเข้าหาแขนขวาหวังหลิน!

ท่ามกลางผู้คนของสำนักอมระ มีผู้อาวุโสหนึ่งในนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป เขาฝึกฝนธาตุอัคคีและวินาทีนั้นสองแขนรีบสร้างผนึกก่อนจะชี้ใส่หน้าอกตนเองหลายครั้ง จากนั้นจึงทำให้อัคคีดั้งเดิมในร่างมั่นคง

ราวกับวินาทีนี้ หวังหลินได้เกิดมากลายเป็นเพลิงแห่งแรกที่ปรากฏในโลกและกลายเป็นผู้ปกครองเปลวเพลิง เพลิงทั้งหมดทั้งมวลต้องฟังคำสั่งเขา

เพลิงหลายเส้นสายลอยออกมาจากฝูงชนและรวบรวมเข้าหาหวังหลิน ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตา ขณะที่หวังหลินพุ่งตัวไปข้างหน้า เปลวเพลิงรวมกันจากทุกทิศทางได้ก่อตัวเป็นก้อนเปลวเพลิงที่ผสานกับแขนขวาหวังหลินทันที

หยุนซานสีหน้าเปลี่ยนไปและถอยร่นทันที แขนขวายื่นออกไปเปิดมิติเก็บของและกำลังจะเอาสมบัติออกมาต่อกร

อย่างไรก็ตามหวังหลินจะปล่อยให้เขาเอาสมบัติออกมาได้อย่างไร? เซียนขั้นทลายสวรรค์ทั้งหมดมีสมบัติที่แข็งแกร่งอยู่ไม่กี่ชิ้น หากถูกนำออกมาการต่อสู้นี้คงจะจบลงในเวลาอันสั้น

หวังหลินดวงตาส่องสว่างพลันใช้แขนซ้ายชี้ใส่หยุนซานและพึมพำ “หยุด!”

เพียงคำเดียว ร่างหยุนซานหยุดชะงักไปหนึ่งจังหวะ หวังหลินเปลี่ยนกลายเป็นทะเลเพลิงและเข้าไปใกล้ แขนขวาซึ่งมีก้อนเปลวเพลิงผสานอยู่ภายใน หวังหลินผ่านไปชี้ใส่หน้าอกของหยุนซานสามครั้ง

แต่ละครั้งจะเกิดการสั่นสะเทือนดังลั่น ร่างหยุนซานสั่นเทาและถูกล้อมด้วยทะเลเพลิง จากนั้นกระอักโลหิตและมีพลังรุนแรงโยนร่างเขากลับไป

หากมีแค่นี้มันคงไม่แสดงพลังอำนาจของวิชาหวังหลิน แม้เขาจะหยุดลงแต่แขนขวายื่นออกไปอย่างโหดเหี้ยม!

เพียงแค่นี้เปลวเพลิงมากมายปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าและเต็มไปทั่วท้องฟ้า ให้ความรู้สึกว่ากลายเป็นโลกแห่งเปลวเพลิง

มันพุ่งเขาหาร่างหยุนซาน เสียงดังสนั่นกึกก้อง ท้ายที่สุดมีหมอกโลหิตระเบิดออกมาจากร่างหยุนซาน แต่ร่างเขาไม่ได้พังทลาย แสงสีขาวนวลโผล่ออกมาจากร่างเขาและหักล้างเปลวเพลิงไป

หยุนซานหน้าซีด ร่อนลงบนสนามห่างออกไปหมื่นฟุต บนสนามเกิดเสียงแตกร้าวและเกิดรอยร้าวขึ้นก่อนที่มันจะแตกกระจาย

ร่างเขาถอยไปอีกพันฟุตถึงจะหยุดลง พลันกระอักโลหิตบนพื้นอีก เป็นฉากที่น่าตกตะลึงยิ่ง!

“ขอบคุณสหายเซียนที่ออมมือ” หยุนซานขบคิดเล็กน้อยก่อนจะคำนับฝ่ามือใส่หวังหลินและจากไป

รอบด้านเงียบสนิทอย่างสิ้นเชิง หวังหลินท่าทีสงบนิ่งราวกับการต่อสู้นั้นไม่มีค่าอะไรสำหรับเขา เขาออมมือจริงๆ ไม่เช่นนั้นการโจมตีครั้งสุดท้ายคงทำลายร่างกายฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว

อย่างไรก็ตามราคาของการโจมตีนี้นับว่ามหาศาล หวังหลินบังคับตัวเองให้ใช้พลังเต็มที่ ดังนั้นอาการบาดเจ็บจึงย่ำแย่ อย่างไรก็ตามคนภายนอกไม่อาจมองเรื่องนี้ออกได้

เซียนรอบด้านทั้งหมดยืนขึ้นจ้องหวังหลินตอนที่หยุนซานพ่ายแพ้ แววตาแต่ละคนเต็มไปด้วยความเคารพ

เหล่าผู้อาวุโสของสำนักอมตะทั้งหมดต่างหวั่นเกรง แม้พวกเขาจะได้ยินความแข็งแกร่งของหวังหลินแต่นั่นเพียงแค่คำพูด แม้จะเชื่อแต่ก็ไม่ตกตะลึงเมื่อได้เห็นด้วยตา

ตอนที่หวังหลินฆ่าคนของสำนักเพลงสวรรค์และจ้าวหลง เขาเป็นการรังแกคนอ่อนแอ แมัวิชาของเขาจะน่าตื่นตะลึง แต่ผู้อาวุโสของสำนักอมตะรู้ว่าตนเองก็ทำแบบนั้นได้ จึงไม่ได้สนใจอะไรนัก

แต่ตอนนี้มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

ระดับบ่มเพาะของหยุนซานไม่ได้แตกต่างกับพวกเขามากนัก จึงรู้สึกเจ็บปวดเมื่อรู้ตัวว่าหากเปลี่ยนตำแหน่งกับหยุนซาน…พวกเขาก็ยังแพ้อยู่ดี!

สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้น หลิวจื่อฮ่าวดูสงบนิ่งมากราวกับไม่มีค่าอันใด นี่ยิ่งทำให้จิตใจแต่ละคนสั่นไหว

เฟิ่งไฮ่ขบคิดเงียบๆพลางมองหวังหลินและดวงตาส่องสว่าง

ผู้อาวุโสที่บ่มเพาะธาตุอัคคีได้มองดูหวังหลินด้วยแววตาหวาดกลัว เขามีความรู้สึกลึกล้ำที่สุด ในช่วงสุดท้ายนั้นเขารู้สึกว่าหากหวังหลินต้องการ เปลวเพลิงของเขาคงออกไปจากร่างกายให้หวังหลินใช้งาน! เขาต่อสู้กับคนมามากแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับสิ่งประหลาดแบบนี้

หวังหลินมองไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาสงบนิ่งและเอ่ยขึ้นมา “วันนี้ข้าอยากต่อสู้ มีใครอยากลงมาบ้าง!?”

“ตู้หลินแห่งสำนักระดับเจ็ด หุบเขาสนม่วง ขอประลองกับสหายเซียนหลิว!”

“หยินเยว่แห่งสำนักระดับเจ็ด หยินสวรรค์ โปรดชี้แนะด้วย!”

เสียงหนึ่งชายหนึ่งหญิงดังออกมาพร้อมกัน หนึ่งนั้นโผล่ออกมาจากทิศใต้ อีกหนึ่งโผล่ออกมาจากทิศตะวันออก อย่างไรก็ตามพวกเขามองหน้ากันเองและอดไม่ได้ที่จะชะงักไปชั่วขณะ

หวังหลินถอนสายตาจากบนท้องฟ้าและเอ่ยขึ้น “เจ้าสองคนเข้ามาพร้อมกันเลย!” แขนขวายกขึ้นในอากาศและกดลงบนสนามต่อสู้ ส่วนหนึ่งของดวงดาวสั่นสะเทือน จากนั้นทั้งดวงดาวดูเหมือนจะสั่นสะเทือน กลิ่นอายโบราณถูกดึงออกมาจากดาวเคราะห์! ร่างหวังหลินกลายเป็นพร่ามัวอยู่ในกลิ่นอาย

“พลังแยกวิญญาณดาวเคราะห์!” เซียนคนหนึ่งอุทานขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว!

………………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version