1254. ประณามสำนักอมตะ 5
ดัชนีชะตาสวรรค์ไม่ได้ใช้พลังปราณสวรรค์เนื่องจากวิชานี้ไม่ใช่วิชาเทพ มันเป็นสิ่งที่หวังหลินสามารถใช้ได้ยามที่ผสานเข้ากับวิญญาณของเทียนหยุนชั่วครู่
สิ่งที่มันใช้คือวิญญาณของเทียนหยุนและใช้พลังดั้งเดิมของหวังหลิน หากไม่ใช่เพราะระดับบ่มเพาะเขาเพิ่มขึ้น หวังหลินคงไม่สามารถใช้มันได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตามพลังอำนาจของดัชนีชะตาสวรรค์อ่อนแอกว่าตอนที่เทียนหยุนใช้ อีกทั้งระดับบ่มเพาะของทั้งสองยังห่างกันช่วงใหญ่ วิธีใช้วิชายังต่างกันอีก
หวังหลินใช้ดัชนีชะตาสวรรค์ในทันทีเพราะต้องการให้ทุกคนตกตะลึง เขายังบาดเจ็บอยู่ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าวิชาของเขาทรงพลังและมิอาจคาดเดา จากนั้นเขาก็สามารถบรรลุเป้าหมายที่สำนักอมตะได้
เขาคงไม่เรียกเหล่าอสูรยุงออกมาได้ง่ายๆเว้นแต่จะเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะพวกมันคือไพ่ลับ!
พื้นดินยังคงสั่นสะเทือนและเกิดคลื่นกระแทกดังก้อง เสียงสายลมยังคงดังอยู่ในหูทุกคน กลิ่นคาวเลือดยังคงย้ำเตือนเซียนเกือบแสนคนที่กำลังตกตะลึงกับฉากเหตุการณ์ตรงหน้า
หวังหลินทำลายร่างของจ้าวสำนักสาขาของสำนักอมตะและสังหารผู้อาวุโสรวมถึงหัวหน้าศิษย์ไปด้วย เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในสำนักอมตะและยามที่ผู้อาวุโสเฟิ่งไฮ่พยายามจะพูดขึ้นมา หวังหลินกล่าวเพียงประโยคเดียว
“ใครก็ตามที่พยายามช่วยพวกเขาจะประสบชะตากรรมเดียวกัน!”
พอจะมีคนที่มีพลังและสถานะจะทำเช่นนี้ได้ แต่มีน้อยคนที่กล้าพอทำมัน!
การโจมตีอย่างสะอาดหมดจดของหวังหลินได้ทำให้ทุกคนที่นี่ตะลึงงันอย่างสมบูรณ์
หลิวหยานเฟยก้มศีรษะลงและดูสงบนิ่ง ในหัวใจนางเกิดความรู้สึกอบอุ่น
มู่ปิงเหมยมีท่าทางอันซับซ้อน ในใจเกิดความขมขื่นยิ่งขึ้น นางคิดถึงเรื่องราวในดาราจักรพันธมิตรเซียน เรื่องดินแดนฟ้ากระจ่างถูกทำลายและเรื่องความแข็งแกร่งของต้าเสิน สถานะของนางคล้ายๆกันกับของหลิวหยานเฟย
แต่หลิวหยานเฟยมีเขายืนอยู่เบื้องหลัง ขณะที่นาง…ไร้คนช่วยเหลือ นางทำได้แค่เพียงแข็งแกร่งขึ้นและอดทนเอาไว้หมด
หลี่เฉียนเหมยสีหน้าสงบนิ่งพลางมองหวังหลินไปด้วย บนใบหน้านางมีรอยยิ้มเหมือนเมื่อร้อยปีก่อน
หวังซานซานขมวดคิ้วพลางคิดถึงดัชนีและดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง
เหล่าเซียนเฒ่าของสำนักอมตะมีระดับบ่มเพาะสูงส่งและเจ้าเล่ห่กันทั้งหมด ตอนนี้มิอาจบ่งบอกอารมณ์ของพวกเขาได้แต่สายตาที่จ้องมองหวังหลินดูเหมือนจะเย็นเยียบเล็กน้อย
มีเพียงจ้าวสำนักอมตะที่แตกต่างเพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถมองทะลุระดับบ่มเพาะของหวังหลินได้ เขาไม่มีสีหน้าอันใดตอนที่หวังหลินสังหารคนของสำนักเพลงสวรรค์ ราวกับทำเป็นมองไม่เห็น
หวังหลินหันกลับมา สีหน้าท่าทางสงบนิ่งแต่จิตสังหารแพร่กระจาย จับจ้องไปยังสำนักส่องภูผาที่อยู่ไกลๆและก้าวเท้า
รอบด้านเงีบบกริบโดยสิ้นเชิง สายตาเกือบแสนคู่จับจ้องไปที่หวังหลิน สายตาทั้งหมดไม่ได้ทำให้หวังหลินรู้สึกย่ำแย่อะไรเลย
เขาไม่ได้เร็วนักแต่ทุกก้าวทำให้คนสำนักส่องภูผาเกิดใจเต้นไม่เป็นจังหวะ พวกเขารู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับอสูรดุร้ายจากยุคโบราณที่อ้าปากออกมาและกำลังจะกลืนกินพวกเขา
จ้าวสำนักส่องภูผาหน้าซีดอย่างที่สุด แม้เขาจะเป็นเซียนขั้นทลายสวรรค์แต่ไม่กล้าเผชิญหน้าหวังหลิน พอคิดว่าคนผู้นี้เป็นคนเดียวกับที่บังคับให้สำนักเขาเคลื่อนแผ่นดินออกห่าง ศีรษะจึงด้านชาและไม่กล้าคิดจะต่อต้านอะไรเลย
“ในสำนักระดับเจ็ด สำนักส่องภูผาเป็นเพียงแค่สำนักเล็กๆ ถือว่าไม่ฉลาดนักที่ผู้อาวุโสจะไปต่อต้านคนแบบนั้น!” ดวงตาเขาส่องสว่างขึ้นและมองไปที่หัวหน้าผู้อาวุโส หัวหน้าอาวุโสมีระดับบ่มเพาะลึกลับซึ่งอยู่ในขั้นทลายสวรรค์ชั้นกลาง
แม้กระทั่งหัวหน้าผู้อาวุโสเองยังแทบจนปัญญาเมื่อตระหนักได้ว่าหวังหลินคือชายผู้แข็งแกร่งที่ทะลวงผ่านเขตระดับเจ็ด เขาเห็นกับตาว่าหวังหลินใช้ประทับวิญญาณสงครามและรู้ว่าตนเองไม่อาจเทียบได้ เขาสังเกตสายตาของจ้าวสำนักได้และเข้าใจได้ทันทีแต่ก็ยังลังเล
อย่างไรก็ตามความลังเลนี้หายไปเมื่อหวังหลินก้าวมาข้างหน้า โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นกับสำนักเพลงสวรรค์มาก่อนแล้ว จ้าวสำนักกัดฟันแน่นและหลบไปข้างๆ ขณะเดียวกันหัวหน้าผู้อาวุโสก็ก้าวไปข้างๆเช่นกัน
เมื่อทั้งสองคนหลีกเลี่ยง คนของสำนักส่องภูผาทั้งหมดกระจายกันออกไปข้างๆ ผู้คนเบื้องหน้าพวกเขาเปิดเส้นทางออกมาเช่นกัน ตอนนี้ไม่มีใครอยู่รอบๆจ้าวหลงแล้ว วิญญาณเขาจ้องมองหวังหลินอย่างสั่นเทา
“เจ้า ออกมา” หวังหลินหยุดลงและชี้ใส่วิญญาณดั้งเดิมของจ้าวหลง
“ข้าขอทุ่มสุดตัว!!” จ้าวหลงดวงตาแดงฉาน ความคิดสั่นไหวราวกับทั้งร่างกำลังเย็นเฉียบ แม้เขาจะมีคนอยู่รอบๆตัวจำนวนมากแต่เขารู้สึกเหมือนโดดเดี่ยว ในโลกอันกว้างใหญ่มีเขาเพียงคนเดียว!
จ้าวหลงพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง เพลิงที่มองไม่เห็นเริ่มเผาไหม้ พอถูกบังคับให้จนมุม เขาจึงตัดสินใจเผาวิญญาณของตัวเองเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นพลัง
กลิ่นอายแห่งความเศร้าล้อมรอบบริเวณ ขณะที่พุ่งมา ระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งจากขั้นทลายสวรรค์ระดับต้นไปที่ระดับกลาง มองไกลๆร่างกายเขาเหมือนดาวตกที่กำลังเผาไหม้พุ่งเข้าหาหวังหลิน
ความรู้สึกบ้าคลั่งรุนแรงยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดแม้แต่แสงจากท้องฟ้ายังมืดลง เมื่อวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวหลงเผาไหม้กลายเป็นแสงส่องสว่างจนเซียนรอบด้านทั้งหมดให้ความสนใจ
“หากเจ้าต้องการให้ข้าตาย เจ้าต้องจ่ายราคาอย่างสาสม!” ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต จ้าวหลงร้องคำรามสั่นสะเทือนฟ้าดิน แม้กระทั่งความคิดของเซียนรอบๆยังสั่นเทา
กระทั่งคนของสำนักอมตะยังเคลื่อนไหว!
การที่จะบังคับให้เซียนขั้นทลายสวรรค์เผาวิญญาณและทำลายตนเองได้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา! อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเบื้องหน้าสายตาทุกคน
วิญญาณดั้งเดิมที่กำลังเผาไหม้กำลังระเบิดเพื่อปลดปล่อยพลังทำลายล้างมหาศาล แม้แต่เซียนที่มีระดับบ่มเพาะสูงกว่าคงเลือกจะหลีกเลี่ยงมัน แต่หวังหลินไม่หลบ ดวงตาส่องสว่างขึ้นแทน
เฟิ่งไฮ่สีหน้ามืดมน เขาเป็นผู้อาวุโสของสำนักอมตะและรับผิดชอบการแช่งขัน หวังหลินพึ่งสังหารคนของสำนักเพลงสวรรค์โดยไม่สนใจคำพูดเขา! หากแค่นั้นก็คงดีแต่ตอนนี้เขากำลังจะฆ่าคนของสำนักระดับเจ็ด!
สำนักในเขตระดับเจ็ดนั้นทรงคุณค่ามาก คนอื่นๆคงจะไม่สนใจว่าจ้าวหลงจะอยู่หรือตาย พวกเขาไม่สนใจว่าชื่อเสียงของจ้าวหลงจะลดลง แต่เฟิ่งไฮ่สนใจเพราะเขาเองมาจากสำนักส่องภูผาก่อนที่จะกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนักอมตะ
หากหลี่เฉียนเหมยฆ่าใครสักคนก็ยังถือว่าดีเพราะนางมีสำนักทะลวงสวรรค์อยู่เบื้องหลัง และเขาไม่อาจพูดอะไรได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้มันต่างกัน!
“สหายเซียน โปรดไว้หน้าข้าบ้างและห้ามโจมตีคนจากสำนักส่องภูผา” เฟิ่งไฮ่พูดอย่างมืดมนพลางเผยกลิ่นอายเย็นเยียบพุ่งหาหวังหลิน
วินาทีนั้นวิญญาณที่เผาไหม้ของจ้าวหลงก็เข้าใกล้หวังหลินราวกับดาวตก หวังหลินท่าทีสงบนิ่ง จิตสังหารมหึมาระเบิดออกจากร่างกาย
จิตสังหารแข็งแกร่งยิ่ง วินาทีที่มันปรากฏขึ้นมาได้ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ราวกับภูตผีนับไม่ถ้วนกำลังร่ำร้องในท้องฟ้า พื้นที่รอบด้านถูกปกคลุมอยู่ในความหนาวเย็นสุดขั้ว
จิตสังหารปรากฏขึ้นมาและระเบิดทันที ภายใต้แรงกระแทกนี้ ท่าทางของเฟิ่งไฮ่เปลี่ยนไปมหาศาลและหยุดลง เขารู้สึกว่าหากก้าวเข้าไปอีกก้าวเดียวคงจะเข้าไปในระยะของวิชาหวังหลิน สิ่งที่รอเขาอยู่คงจะเป็นการเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ในตอนนี้หวังหลินพลันเคลื่อนไหว
ยามเผชิญหน้ากับวิญญาณดั้งเดิมเผาไหม้ หวังหลินก้าวไปข้างหน้า หันร่างและฟาดเท้าขวาออกไปปะทะกับวิญญาณดั้งเดิมทันที
เรือนผมและเสื้อคลุมสีขาวพลิ้วสะบัด! เขาไม่ได้ใช้วิชาเซียน ไม่ได้หลบเลี่ยงหรือใช้เคล็ดพิเศษอันใด เขาใช้การโจมตีพื้นฐานที่สุด ตรงที่สุดและเป็นที่น่าจดจำที่สุด!
เสียงดังกึกก้องสั่นสะเทือนสวรรค์ เท้าขวาหวังหลินไม่หยุดแค่นั้นและร่อนลงบนวิญญาณของจ้าวหลง แม้จ้าวหลงจะเผาไหม้วิญญาณแต่เขาไม่อาจต่อต้านพลังอำนาจอันสมบูรณ์ได้ แม้เขาจะเผาไหม้วิญญาณตนเอง เขายังต้องตาย!
ยามนั้นวิญญาณเขาแตกสลายกลายเป็นละอองแสง หววังหลินถอนเท้ากลับมาท่าทีสงบนิ่ง สายตาเยือกเย็นกวาดผ่านเซียนรอบด้านก่อนจะร่อนลงบนเฟิ่งไฮ่
“สหายเซียน ท่านกล่าวช้าเกินไป”
เฟิ่งไฮ่จ้องหวังหลินอย่างมืดมน เขาพูดไม่ได้อยู่พักใหญ่และเดินกลับไปหาอัฒจันทร์ของสำนักอมตะ
รอบด้านเงียบกริบ แต่หลังจากผ่านไปได้ชั่วครู่จึงเกิดความโกลาหลขึ้นไปทั่วสนาม จากช่วงสั้นๆที่หวังหลินปรากฏตัวขึ้นมา เขาสังหารคนของสำนักเพลงสวรรค์และจ้าวหลงแห่งสำนักส่องภูผาไปแล้ว ทั้งหมดนี้ทำให้ตกตะลึงอย่างรุนแรง
วิชาของเขาช่างน่าตื่นตกใจแต่ร่างเขากลับอัศจรรย์ยิ่งกว่า!
จ้าวสำนักอมตะมีแววตาเป็นประกายเจิดจ้า สำนักเพลงสวรรค์และสำนักส่องภูผาช่างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเซียนที่แข็งแกร่งเช่นนี้
หวังหลินหันกลับมามองเซียนรอบด้าน เอ่ยน้ำเสียงนิ่มนวลแต่ทุกคนได้ยินชัดเจน
“ข้าเป็นตัวแทนสำนักต้นกำเนิดขอท้าประลองสำนักระดับหกและเจ็ดทั้งหมด ใครจะกล้าเข้ามาก่อน?” น้ำเสียงหวังหลินดุจสายลมหนาวเหน็บที่ทำให้ทุกคนเงียบอีกครั้ง
ลั่วหยุนคงสูดลมหายใจลึกพลางระงับความตกตะลึงในใจ เขามองไปที่หยวนเฟยที่อยู่ท่ามกลางเหล่าเซียนและเผยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม
หยวนเฟยหน้าซีด ขบคิดอยู่ชั่วครู่และยังไม่กล้าก้าวเดินออกไป
น้ำเสียงสงบนิ่งดังสะท้อนออกมาทั่วผืนฟ้า “ข้าหยุนซานแห่งสำนักระดับเจ็ด เมฆาเขียว ข้าอยากจะประมือกับสหายเซียนหลิว”
……………………………