1253. ประณามสำนักอมตะ 4
“เขามาแล้ว…” ลั่วหยุนคงจ้องมองท้องฟ้าเข้าหาสายฟ้าไร้ขอบเขต ร่างสีขาวเบื้องหลังสายฟ้านั่นทำให้ความคิดเขาสั่นเทา
หลี่เฉียนเหมยพลันยืนขึ้นจ้องมองท้องฟ้าทันที นางเห็นร่างด้านหลังสายฟ้าและมองดูเขาที่แยกจากกันเมื่อร้อยปีก่อน ตอนนี้นางเห็นร่างเดียวกันกำลังเดินอยู่บนสายฟ้า กัดริมฝีปากล่างและสงบนิ่งยิ่งกว่าเดิมราวกับมันมักจะเป็นแบบนี้มาตลอด เขาเดินบนสายฟ้าสวรรค์เข้าสู่หัวใจนาง
มู่ปิงเหมยมีความรู้สึกซับซ้อนแฝงอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ นางมองร่างอันคุ้นเคยในสายฟ้าอย่างเงียบๆ ความทรงจำมากมายกะพริบผ่านหน้าสายตา เป็นความขมขื่นและโศกเศร้าไม่อาจอธิบายได้ กระนั้นมันก็แฝงความอบอุ่น นางลดศีรษะลงชั่วขณะ
หลิวหยานเฟยมีหยาดน้ำตาไหลออกมามากกว่าเดิม น้ำตาสองสายไหลรินออกมาพร้อมกับร่างที่เข้ามาใกล้ ความขัดข้องใจทั้งหมดของนางพรั่งพรูออกมาผ่านน้ำตา
หวังหลินข้ามทะเลเมฆาและมาถึงพร้อมกับฟ้าคำราม!
วินาทีนี้ไม่เพียงแต่คนที่คุ้นเคยหวังหลินจะเป็นเช่นนี้ เซียนรอบด้านทั้งหมดรวมถึงคนของสำนักอมตะต่างก็ตกตะลึง
เฟิ่งไฮ่ยืนขึ้น ดวงตาหรี่แคบจ้องมองร่างสีขาวในอากาศ เขาสัมผัสถึงพลังดั้งเดิมในอากาศได้อย่างชัดเจนว่าไม่ใช่สิ่งที่เซียนขั้นทลายสวรรค์ทั่วไปควรจะมี พลังดั้งเดิมรูปแบบนี้มีได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจกฎของตัวเองอย่างลึกซึ้งเท่านั้น มีเพียงเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับสูงสุดเท่านั้นจะมีได้!
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่ชายชราผมแดงก็ยังสูดหายใจลึกและความคิดสั่นไหว กฎและเขตแดนของเขาเกี่ยวข้องกับสายฟ้าเช่นกัน วินาทีนี้เขารู้สึกว่าตนเองกำลังสูญเสียการควบคุมวิญญาณดั้งเดิม วิญญาณดั้งเดิมครึ่งหนึ่งของเขาที่เปลี่ยนไปเป็นสายฟ้าพลันรู้สึกว่าต้องเคารพเทิดทูน ราวกับเขาไม่ได้มองไปที่เซียนคนหนึ่งแต่เป็นสายฟ้าสวรรค์ที่คงอยู่มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม!
ชายวัยกลางคนชื่อโจวได้จดจ้องหวังหลินในสายฟ้า ดวงตาเป็นประกาย ความคิดสั่นเทาและหวาดกลัว สิ่งที่เขาหวาดกลัวไม่ใช่สังเกตว่าหวังหลินมาถึง ไม่ใช่สายฟ้าที่ดังสนั่นไปทั่วเพื่อบ่งบอกการมาถึงของเขา
แต่เป็นวิชาที่สามารถซ่อนกลิ่นอายจนทำให้เซียนโจวตกตะลึง เขาทั้งยังไม่คิดเรื่องวิชาเซียน แค่ระดับบ่มเพาะของอีกฝ่ายก็สูงล้ำกว่าเขาแล้ว!
ชายชราที่พาศิษย์ไปที่แดนหมอกอสูรเป็นคนที่สงบนิ่งได้มากสุดตอนนี้ เขาเป็นคนเดียวที่เคยเห็นหวังหลินมาก่อน พลันถอนหายใจออกมา “ตอนที่ข้าพบพี่หลิวครั้งก่อน ไม่คิดว่าเราจะอยู่ในสำนักเดียวกัน ข้าชื่อมู่เจียงปิง ขอทักทายสหายเซียน!”
เขาเห็นรูปร่างหวังหลินจึงมีท่าทีเคร่งขรึม ก่อนหน้านี้ไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินแต่ตอนนี้เขาโดนโน้มน้าวเข้าแล้ว คนผู้นี้มีพลังพอจะกวาดล้างเขตระดับหกและระดับเจ็ด!
จ้าวสำนักอมตะพลันดวงตาส่องสว่าง เขาเป็นคนที่มีระดับบ่มเพาะสูงสุดที่นี้ แม้จะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในสำนักอมตะแต่เขาก็อยู่ในขั้นทะลวงสวรรค์ระดับแรก!
เพราะเขาบรรลุสภาวะอันยากยิ่งนี้จึงมองเห็นสิ่งที่ไม่มีใครมองเห็นได้ เขาจ้องมองจุดตรงกลางหน้าผากหวังหลินและถึงแม้จะไม่มีอะไรตรงนั้นเขาก็สัมผัสถึงพลังอำนาจแห่งกฎได้อย่างชัดเจน!
สิ่งที่เขาหวาดเกรงก็คือกฎนี้ดูเหมือนไม่ได้เป็นของสวรรค์ ดูเหมือนมันจะคงอยู่นอกเหนือการควบคุมของสวรรค์ เป็นกฎอันใหม่!
ด้วยกฎนี้แม้แต่เขาเองยังรู้สึกเกรงกลัว ยิ่งตอนที่เขตแดนของอีกฝ่ายอยู่เบื้องหน้า เขตแดนนี้ดูเหมือนจะคงอยู่ชั่วกาลนาน เขาพบว่าด้วยเวลาอันสั้นนั้นการจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในเป็นเรื่องยากยิ่ง!
นี่คือสิ่งที่เขาเกรงกลัวมากที่สุด เขาไม่มั่นใจในการเอาชนะเลยถ้าหากต้องต่อสู้เป็นตายกับเซียนแบบนี้!
‘เขาบาดเจ็บจริงๆ แต่อาการบาดเจ็บดูเหมือนไม่ได้สาหัสเกินไป…ดูเหมือนเขาจะกังวลว่าจะมาสาย’
หลิวหยิงเจี๋ยจ้องมองร่างสีขาวในสายฟ้าอย่างตกตะลึง ความรู้สึกหวาดกลัวปรากฏขึ้นข้างในและห่อหุ้มเขาให้จมดิ่ง
ร่างกายสั่นเทาด้วยอาการหวาดกลัวและสยองขวัญ พอคิดว่าเขาไปล่วงเกินสำนักต้นกำเนิดไว้อย่างไร คุกคามหลิวหยานเฟยและบอกว่าจะต่อสู้กับคนผู้นี้ ศีรษะจึงด้านชาและทัศนวิสัยพร่ามัว
แม้แต่สหายร่วมสำนักเพลงสวรรค์ยังหวาดกลัวทั้งหมด
‘เขา…เขา…ไม่คาดว่าจะทรงพลังเพียงนี้ ตอนที่ลั่วหยุนคงบอกว่าเขาสามารถฆ่าข้าได้เหมือนบี้มด เขาพูดเรื่องจริง!’ หลิวหยิงเจี๋ยยุ่งเหยิง ใบหน้าซีดและความคิดวุ่นวาย
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น สำนักส่องภูผาก็เงียบลงเช่นกัน จ้าวหลงจ้องมองร่างนั้นในท้องฟ้า สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง ดวงตาหรี่แคบและความคิดว่างเปล่า
จ้าวสำนักและหัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักส่องภูผาต่างก็หน้าซีดอย่างสิ้นเชิง ตอนที่พวกเขาเห็นหวังหลินจึงจดจำได้ทันทีว่าเป็นคนที่บังคับให้พวกเขาหลีกทางและพวกเขาให้ความเคารพ
“นั่น…มัน…เขา!!!” ทั้งสองมองหน้ากันเองและเห็นแววตาหวาดกลัวของแต่ละคน
เซียนรอบด้านเกือบแสนคนทั้งหมดมาจากเขตระดับหกและเขตระดับเจ็ด ทั้งหมดต่างได้ยินเรื่องราวสั่นสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในเขตของตนเอง แม้จะไม่ได้เห็นด้วยตาแต่ก็รู้มาจากคนรอบๆ
มีเซียนเฒ่าบางคนที่เคยเห็นหวังหลินด้วยตนเอง ตอนนี้พอได้มองใกล้ๆจึงเกิดความวุ่นวายกระจายไปทุกที่!
“นั่นเขา! เขาทะลวงผ่านเขตระดับหก ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหยุดเขา!”
“ข้าได้ยินมาจากบรรพชนของสำนักข้าว่าเขาใช้เพียงวิชาเดียวก็สามารถทะลวงม่านของเขตระดับเจ็ดได้ แม้กระทั่งบรรพชนยังตกตะลึง!”
“ข้าเห็นเขาใช้ประทับวิญญาณสงครามด้วยตาตนเอง บังคับให้สำนักหลายแห่งเลื่อนแผ่นดินตนเองออกหนีเส้นทางเขา!”
“ลือกันว่ามีเซียนขั้นทลายสวรรค์สามคนพยายามจะหยุดเขา แต่ทั้งหมดถูกบังคับให้ถอยพร้อมกับบาดเจ็บสาหัส!”
“ไม่ใช่แค่สามคน พี่ใหญ่ข้าเห็นเซียนขั้นทลายสวรรค์เจ็ดคนโจมตีพร้อมกัน แต่เขาใช้เพียงวิชาเดียวสังหารไปสี่และอีกสามบาดเจ็บ! แม้กระทั่งแผ่นดินป่ายังราบเป็นหน้ากลองด้วยวิชาของเขา!”
ความโกลาหลเริ่มขึ้นแต่เสียงดังคะนองของท้องฟ้าทำให้ทุกคนเงียบลงทันที สายฟ้าในท้องฟ้าทั้งหมดรวมกันอยู่ในร่างหวังหลินจนไม่มีร่องรอยอันใดเหลืออยู่
เขาสวมชุดสีขาว เรือนผมสีขาวพลิ้วไสวในสายลม ร่อนลงมาจากท้องฟ้าและเหยียบลงบนพื้นข้างหลิวหยานเฟยบนสนามต่อสู้
หวังหลินมองร่างอันบอบบางของหลิวหยานเฟยด้วยท่าทีเชิงขอโทษ พลางกล่าวเบาๆ “ข้ามาสาย”
หลิวหยานเฟยไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ขณะมองหวังหลิน นางส่ายศีรษะ เผยรอยยิ้มแห่งความสุข “ท่านไม่ได้มาสาย ตราบใดที่ท่านมา มันไม่เคยช้าเลย”
“เจ้ากลับไปได้ มีข้าอยู่ที่นี่จะไม่มีใครทำให้สำนักต้นกำเนิดเคลื่อนไปไหนได้! ในการประลองนี้ไม่ว่าจะเป็นสำนักระดับห้า หกหรือเจ็ด ข้าจะทำให้สำนักต้นกำเนิดเป็นอันดับหนึ่ง!” หวังหลินสะบัดแขนเสื้อ สายลมอ่อนๆพัดพาหลิวหยานเฟยให้กลับไปยังตำแหน่งของสำนักต้นกำเนิด
หวังหลินมองเข้าไปยังสำนักอมตะและคำนับฝ่ามือหาชายชราที่เอ่ยขึ้น อย่างไรก็ตามเขาตกตะลึงเมื่อเห็นหลี่เฉียนเหมยและ…มู่ปิงเหมย
หลังจากตกตะลึงไปชั่วครู่จึงถอนสายตาออกมาและมองไปยังลั่วหยุนคงซึ่งมีท่าทางซับซ้อนและยิ้มอย่างขมขื่น
“ระดับบ่มเพาะของพี่หลิว…แตกต่างจากเมื่อร้อยปีก่อนมาก สำนักเต๋าม่วงพ่ายแพ้ในการประลองสำนักระดับห้าแล้ว!” ลั่วหยุนคงคำนับฝ่ามือด้วยรอยยิ้มขมขื่น หากระดับบ่มเพาะของหวังหลินแข็งแกร่งกว่าเขาเพียงเล็กน้อย เขาคงอยากจะต่อสู้อยู่หรอก แต่เพียงแค่เขายืนอยู่ที่นี่ความคิดก็ยุ่งเหยิงไปแล้ว และสิ่งน่าหวาดกลัวขึ้นก็คือเขารู้สึกเหมือนจิตใจแห่งเต๋ากำลังจะพังทลาย ราวกับคนเบื้องหน้าเป็นวังวนที่ดูดซับเจตจำนงแห่งเต๋าทั้งหมด หากเขาหลุดสมาธิเพียงเล็กน้อยงรู้สึกเหมือนเต๋าทั้งหมดดูดออกไปจากร่าง
หวังหลินยิ้มบางแต่ท่าทางเยือกเย็นและเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “น้องลั่ว ข้ามีสิ่งหนึ่งอยากจะถาม! หลิวหยานเฟยบาดเจ็บ ใครเป็นคนทำ?”
ลั่วหยุนคงชี้ไปที่สำนักเพลงสวรรค์โดยไม่ลังเลและกล่าวออกมา “หลิวหยิงเจี๋ยแห่งสำนักเพลงสวรรค์!” จากนั้นชี้ไปที่สำนักส่องภูผา
“จ้าวหลงแห่งสำนักส่องภูผา! พวกมันคิดล่วงเกินแม่นางหลิว!”
หวังหลินพยักหน้าและมองไปทางสำนักเพลงสวรรค์ แววตากะพริบเย็นวาบพลันก้าวเท้าเข้าไปในอากาศและพุ่งเข้าหาสำนักเพลงสวรรค์
ณ พื้นที่ของสำนักเพลงสวรรค์ สีหน้าของหลิวหยิงเจี๋ยเปลี่ยนไปและล่าถอยทันที อาจารย์เขาและเหล่าผู้อาวุโสของสำนักต่างก็มีท่าทีเคร่งเครียด อาจารย์คว้าเขาและพุ่งเข้าหาพื้นที่ของสำนักอมตะโดยไม่คาดคิด
จ้าวสำนักเพลงสวรรค์ก้าวเท้าและขัดขวางหวังหลิน เขามีใบหน้าเคารพและกำลังจะอธิบาย
อย่างไรก็ตามหวังหลินไม่ต้องการฟัง พอเห็นว่ามีคนขวางเส้นทางจึงสะบัดแขนปรากฏสายลมร้องคำราม สายลมนี้แฝงสายฟ้าและปะทะกับจ้าวสำนักเพลงสวรรค์
เสียงดังกึกก้องสั่นสะเทือนพื้นดินพร้อมกับจ้าวสำนักเพลงสวรรค์กระอักโลหิตและร่างกายพังทลาย วิญญาณดั้งเดิมลอยออกมาและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หวังหลินไม่หยุดแค่นั้น ก้าวไปหาชายชราที่คว้าหลิวหยิงเจี๋ยเอาไว้ เขาไม่ได้เร็วนักแต่ทุกก้าวทำให้วิญญาณอีกฝ่ายสั่นสะท้าน
เซียนทั้งหมดรอบๆสนามต่างก็เงียบกริบ!
“สำนักหลัก ช่วยด้วย!” หน้าผากของอาจารย์หลิวหยิงเจี๋ยมีเม็ดเหงื่อเต็มไปหมด ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับกรีดร้องใส่คนของสำนักอมตะ
เฟิ่งไฮ่ลังเลเล็กน้อย คำนับฝ่ามือเอ่ยขึ้นมา “สหายเซียนหลิว โปรด…”
อย่างไรก็ตามหวังหลินสะบัดแขนและขัดจังหวะเขา
“เขาล่วงเกินสำนักต้นกำเนิดของข้า ดังนั้นเขาต้องตาย ใครก็ตามที่พยายามช่วยเขาจะต้องเจอชะตากรรมเดียวกัน!” หวังหลินเอ่ยขึ้นช้าๆและจากนั้นยกแขนขวาขึ้นมา เขามาที่สำนักอมตะเพื่อหยุดยั้งสำนักต้นกำเนิดและผลักดันให้สูงขึ้น!
วินาทีนั้นหวังหลินชี้นิ้ว โลกสั่นสะท้านและปรากฏดัชนีชะตาสวรรค์ขึ้นมา ระลอกคลื่นดังก้องไปทั่วผืนฟ้าพร้อมกับนิ้วยักษ์ปรากฏปลดปล่อยแรงกดดันมหึมา ทุกคนอ้าปากค้างจ้องมองดัชนียักษ์ด้วยความตะลึงเนื่องจากมันปกคลุมได้ทั่วฟ้า!
ดัชนีส่งเสียงหวีดหวิวและตกลงมา ร่อนลงใส่หลิวหยิงเจี๋ยและอาจารย์จนเกิดเสียงดังปัง พื้นดินสั่นไหวและรู้สึกได้ว่าแม้กระทั่งดาวเคราะห์เซียนก็ยังสั่นเทา!
โลหิตสาดกระจายไปทั่วทุกที่ ร่างหลิวหยิงเจี๋ยและอาจารย์เขาสาดกระจาย วิญญาณดั้งเดิมแตกสลาย สายลมพัดผ่านแพร่กระจายกลิ่นคาวเลือด
“ฆ่าหลิวหยิงเจี๋ยได้ง่ายๆเหมือนบี้มด” คำพูดที่ลั่วหยุนคงกล่าวเอาไว้เมื่อหลายวันก่อนเป็นเหมือนสายลมอันหนาวเหน็บ!
หวังหลินหันกลับมามองทิศทางที่สำนักส่องภูผาอยู่ เขาก้าวเท้าเข้าหา!
……………………………………………….