1175. คนของสำนักเทพเจ้า
ชายวัยกลางคนหน้าซีด เผยท่าทางขมขื่นพลางเดินเข้ามาใกล้หวังหลิน ขบคิดเล็กน้อยและคำนับฝ่ามือ “ชางฉีแห่งสำนักรวมปีศาจขอคำนับสหายเซียน”
หวังหลินไม่ได้พูดอะไรออกมาและเพียงมองชางฉีด้วยความเย็นชา คนตรงหน้าเป็นเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับกลาง หวังหลินขบคิดว่าจะสามารถต่อสู้กับขั้นทลายสวรรค์ระดับกลางได้หรือไม่หลังจากรวมเข้ากับร่างดั้งเดิม
ชางฉีท่าทีขมขื่นยิ่งขึ้น ถอนหายใจและคำนับฝ่ามืออีกครั้ง “สองวันก่อน หวู่ฉิงถูกขับออกจากสำนักรวมปีศาจ คำพูดและการกระทำของเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสำนักรวมปีศาจ เขากล้าไปล่วงเกินท่านผู้สูงส่งแห่งสำนักเทพเจ้า เป็นความผิดเขาเองที่สมควรตาย!”
หวังหลินยังไม่ได้เอ่ยออกมา สายตายังเย็นเยียบ ยิ่งเขาทำแบบนี้ยิ่งเหมาะสมต่อตัวตนของคนจากสำนักเทพเจ้า มองโลกด้วยความหยิ่งยโสโอหัง! สำนักระดับหกเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยในสายตาของคนสำนักเทพเจ้า!
ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างขมขื่น กัดฟันแน่นและยื่นแขนขวาออกไปเปิดมิติเก็บของ นำขวดยาออกมาซึ่งมีทั้งหมดเจ็ดขวด
“ทั้งหมดนี้คือเม็ดยามรณะแยกวิญญาณระดับเจ็ด มีทั้งหมด 46 เม็ด!”
หวังหลินแววตาเยือกเย็น
ชางฉีขบคิดชั่วขณะ จากนั้นยื่นมือออกไปอีกครั้งนำขวดยาออกมาหนึ่งขวด
“ยังมีเม็ดยามรณะแยกวิญญาณระดับแปดอยู่เก้าเม็ด…”
หวังหลินเอ่ยน้ำเสียงสงบนิ่งแต่แฝงอำนาจบารมีออกมา “ข้าจะไม่ถือสาเรื่องที่หวู่ฉิงไล่ล่าข้าอีกแล้ว แต่แค่นี้ยังไม่พอสะสางเรื่องการที่สำนักรวมปีศาจล่วงเกินข้า”
อำนาจบารมีเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เซียนทั่วไปมี แม้แต่เซียนขั้นทลายสวรรค์ก็คงไม่มีเว้นแต่จะเป็นผู้นำของสำนักอันแข็งแกร่ง
ครั้งนึงหวังหลินเคยเป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ของสำนักวิหคเพลิง สำนักวิหคเพลิงทำให้เขาแสดงอำนาจบารมีได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ชางฉียิ้มบิดเบี้ยวและนำขวดยาออกมาอีกสองขวด เขามองหวังหลินและเอ่ยอย่างเจ็บปวด “เม็ดยาระดับสิบจำนวนสองเม็ด นี่เป็นขีดจำกัดของข้าแล้ว”
หวังหลินเอ่ย “หวู่ฉิงใช้หินหยกสวรรค์หมื่นก้อนทำให้ข้าได้สมบัติมายากลำบาก”
ชางฉีไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขานำกระเป๋าใบนึงออกมาจากมิติเก็บของ
หวังหลินรับทุกอย่างมาโดยไม่ได้มองดูกระเป๋าและพยักหน้าให้ชางฉี เขาเปลี่ยนเป็นลำแสงลอยเข้าหาโรงเตี๊ยมในเมืองทางฝั่งตะวันออกของเพิ่งหลาย
จนเมื่อหวังหลินจากไปแล้ว ชางฉีจึงทีท่าน่าเกลียด ความโกรธเกรี้ยวภายในแทบระเบิด
‘หวู่ฉิง ข้าบอกเจ้าไม่ให้ไปล่วงเกินเขาแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่ฟัง!! เจ้ารนหาที่ตาย! อย่างไรเสียเจ้าก็เกี่ยวข้องกับสำนักรวมปีศาจ…คนผู้นี้ดันเป็นคนจากสำนักเทพเจ้า อ๊าก!’
ณ ยอดภูเขาทางทิศตะวันออกของเพิ่งหลาย หลี่เฉียนเหมยเผยดวงตาแสงประหลาด ขบคิดเงียบๆอยู่นาน นางพึมพำออกมาเบาๆ “สำนักเทพเจ้า? หลายปีมากแล้วที่คนของสำนักเทพเจ้าออกไปจากเขตระดับเก้า มีเพียงศิษย์หลักเท่านั้นที่สามารถใช้ประทับวิญญาณสงครามได้ พวกเขาจะยอมออกไปจากสำนักเทพเจ้าง่ายๆได้อย่างไร…เป็นฝ่ามือนั่นที่ประหลาด ข้าไม่รู้ว่าจะมีวิชาอะไรถึงทรงอำนาจพอจะควบคุมพลังพลังดั้งเดิมแบบนั้นได้ มันเหมือนประทับตราทาส!”
หวังหลินเหาะเหินข้ามผ่านท้องฟ้าโดยไม่ได้เร็วมากและกลับมาฝั่งตะวันออกของเพิ่งหลาย เขาเห็นเมืองซากปรักหักพังครึ่งซีกทันที เซียนนับไม่ถ้วนกำลังลอยอยู่ในท้องฟ้า
เมื่อหวังหลินมาถึง เหล่าเซียนทั้งหมดมีสีหน้าซับซ้อน พวกเขาก้าวออกไปข้างๆ มองหวังหลินแฝงความหวาดกลัว ไม่มีใครที่นี่อ่อนแอและสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นต่างก็ทำให้สั่นสะเทือนมหาศาล
ฝ่ามือยักษ์นั่นช่างอัศจรรย์ยิ่ง แทบทุกคนในทะเลเมฆาต่างก็รู้ฝ่ามือนั่นคือวิชาอันดับหนึ่งของสำนักเทพเจ้า ประทับวิญญาณสงคราม!
แม้แต่คนที่ไม่เชื่อยังหมดข้อสงสัยหลังจากเห็นพลังอำนาจของฝ่ามือนั่น
ในหมู่เซียนจากสำนักระดับหก มีผู้อาวุโสโผล่ออกมาคำนับหวังหลิน ปรมาจารย์คังจงซื่อมองหวังหลินไกลๆและมีรอยยิ้มปิดบังความตกใจ คล้ายอยากจะพูดขึ้นมา
หวังหลินสงบนิ่งแต่เยาะเย้ยอยู่ในใจ เขาคำนับฝ่ามือเป็นเชิงการตอบสนองอย่างสุภาพ พลางผ่านฝูงชนและกลับไปที่โรงเตี๊ยมของตนเอง ในโลกแห่งเซียนนั้นความแข็งแกร่งเป็นที่เคารพยกย่อง หวังหลินเผยตัวตนว่าเขาสามารถฆ่าเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับต้นได้ง่ายๆและใช้ประทับวิญญาณสงครามได้ ตอนนี้ไม่มีใครในเขตระดับห้ากล้าไปล่วงเกินเขา
แม้กระทั่งสำนักหยกสมบัติก็ไม่กล้าดุด่าที่เขาทำลายเมืองไปครึ่งเมือง
หลังกลับมาที่โรงเตี๊ยม หวังหลินตรวจสอบของที่เก็บเกี่ยวมาได้ นอกจากสิ่งที่ชางฉีมอบให้เขายังมีกองสิ่งของจากมิติเก็บของหวู่ฉิงด้วย
หลังจากดูเสร็จทุกอย่าง หวังหลินจึงนำขนนกแดงออกมาถือไว้ในมือ ดวงตาซ้ายปรากฏเปลวเพลิงกะพริบวูบวาบ และดูเหมือนจะมีพลังเพลิงดั้งเดิมดังสะท้อนอยู่ในขนนก
‘หากข้าสามารถผ่านการตื่นขึ้นของวิหคเพลิงครั้งที่สามไปได้ ข้าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้…น่าเสียดาย แค่ขนนกนี้มันไม่เพียงพอ’ ขนนกในมือเขาเปลี่ยนกลายเป็นเปลวเพลิงที่ดูเหมือนวิหคเพลิง มันลอยจากมือเขาและวนรอบตัวราวกับมีความสุขยิ่ง ในที่สุดมันก็เข้าไปในตาซ้ายหวังหลินและหายไป
จังหวะนั้นปรากฏทะเลเพลิงขึ้นรอบตัว ทว่าเปลวเพลิงไม่ได้ทำลายทุกอย่างในโรงเตี๊ยมแต่เผาอากาศแทน
ผ่านไปสักพักเปลวเพลิงจึงถูกดูดซับเข้าไปในร่าง หวังหลินสูดหายใจลึกและเริ่มคิด
‘หลังจากฆ่าหวู่ฉิงและใช้ชื่อของสำนักเทพเจ้า จึงไม่น่าจะมีใครบนเพิ่งหลายที่กล้าคิดอะไรกับข้า’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง
‘เช่นนั้นตอนนี้ถึงเวลาเริ่มเก็บเกี่ยวแล้ว’
ระหว่างนี้ถัดไปอีกสองสามวัน สำนักระดับหกทั้งหมดเข้ามาเยี่ยมเยือน เซียนเฒ่าจากกลุ่มของปรมาจารย์คังจงซื่อเข้ามาเยี่ยมด้วย หวังหลินต้อนรับทั้งหมดด้วยท่าทีสงบนิ่ง ไม่มีใครที่มาเยี่ยมอย่างมือเปล่า ทั้งหมดต่างก็เคารพยิ่ง
แม้จะยังสงสัยในตัวตนของหวังหลินแต่ก็ยืนยันไม่ได้ มีเพียงคนจากสำนักเทพเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าหวังหลินตัวจริงหรือตัวปลอม!
หากเขาเป็นตัวปลอม ก็คงเสียอย่างมากแค่ของขวัญเล็กๆน้อยๆ ทว่าหากเขาเป็นตัวจริงนั่นคือการสานสัมพันธ์กับเขาซึ่งเป็นความฝันของหลายสำนัก
ณ วันนี้ที่เขาส่งเซียนจากสำนักวิชาเต๋าออกไป มีชายชราชุดดำที่มีขนนกได้เข้ามาเยี่ยม
เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลยและดูสงบนิ่ง เขาหวาดกลัวหวังหลินอยู่ในใจ อีกทั้งหวู่ฉิงก็ถูกหวังหลินฆ่าได้ง่ายๆ เขาที่เป็นขั้นทลายสวรรค์ระดับต้นจึงระมัดระวังอย่างเป็นธรรมชาติ
หลังจากแลกเปลี่ยนถ้อยคำกัน ชายชราจึงคำนับฝ่ามือ “สหายเซียนหลิว ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย ข้าชื่อตู้เต๋อข้าไม่มีสำนักและเป็นแค่เซียนเร่ร่อนในเขตระดับหก การพบสหายเซียนหลิวที่นี่เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
หวังหลินยิ้มพลางเอ่ย “สหายเซียนตู้ช่างอิสระดุจเมฆหมอกที่ไม่มีสำนักใดจะรั้งท่านได้ ข้าอิจฉาจริง”
ชายชุดดำยิ้มและส่ายศีรษะ “ข้าชอบความเงียบและสงบดังนั้นข้าจึงไม่ได้เข้าสำนักใด ข้ามาที่เพิ่งหลายเพื่อสหายเก่าที่เชิญมา หลังจากการประมูลครั้งใหญ่ในอีกสองวันข้าก็จะจากไปแล้ว หากสหายเซียนมาที่เขตระดับหกในอนาคต ท่านสามารถมาเยี่ยมในถ้ำข้าได้”
หวังหลินพยักหน้า มองชายชราชุดดำและขบคิด
ระดับบ่มเพาะของตู้เต๋อบ่มเพาะมาถึงขนาดนี้แล้วดังนั้นจึงระแวงเป็นอย่างยิ่ง “หากสหายเซียนอยากจะพูดอะไร อย่าได้ระวังคำพูดเลย”
หวังหลินมองตู้เต๋อและเอ่ยขึ้น “ข้าสงสัยว่าสหายเซียนตู้ไปได้ขนนกวิหคเพลิงนั่นมาจากไหน?”
“นี่…” ตู้เต๋อขบคิดเล็กน้อย “ข้าได้มาจากแผ่นดินป่าในเขตระดับหก คนภายนอกไม่รู้จักที่นั่นและข้าได้มาด้วยความบังเอิญ อสูรดุร้ายทั้งหมดที่นั่นต่างเป็นธาตุไฟและเป็นสถานที่อันตราย ข้าจึงไม่กล้าเข้าไปไกล” หลังเอ่ยจบพลันนำหินหยกออกมา ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปก่อนจะยื่นให้หวังหลิน
“หากสหายเซียนหลิวสนใจ ท่านลองไปตรวจสอบดู อย่างไรก็ตามอย่าเข้าไปลึกเกินไป ตามที่ข้าสังเกตมามันมีอสูรระดับสิบเอ็ดอยู่ที่นั่น!”
หวังหลินรับหินหยกและตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ จากนั้นคำนับฝ่ามือให้ชายชราชุดดำ พูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่อีกฝ่ายจะจากไป
อีกสองวันผ่านไป หวังหลินจึงกระจายข่าวออกไปว่าเขากำลังหาซื้อแผนที่ดวงดาว ไม่นานนักผู้คนก็เริ่มซื้อแผนที่ดวงดาวมา เพียงแค่สองวันแผนที่ดวงดาวเกือบทั้งหมดในเมืองก็ถูกซื้อไป
หลังจากแผนที่หลายอย่างได้รับการยืนยันอย่างละเอียด ท้ายที่สุดแผนที่ดวงดาวก็จบลงในมือปรมาจารย์คังจงซื่อ เขาเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่หวังหลินพักพร้อมกับนำกระเป๋าที่เต็มไปด้วยแผนที่ดวงดาว
“ข้าได้ยินว่าสหายเซียนหลิวสนใจในแผนที่ดวงดาว ดังนั้นข้าจึงให้ผู้คนรวบรวมมาบ้าง อย่างไรก็ตามมันก็มีข้อมูลผิดๆเยอะมาก ข้าไม่รู้ว่ามันจะแม่นยำแค่ไหน สหายเซียนหลิวคงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที”
หวังหลินรับกระเป๋ามา พลางยิ้มและคำนับฝ่ามือ “ขอบคุณมากสหายเซียนคังจงซื่อ มันช่วยข้าแก้ปัญหาได้มากทีเดียว”
หลังจากพูดคุยกันสักพัก ปรมาจารย์คังจงซื่อมองหวังหลินและเอ่ยขึ้น “ข้าสงสัยว่าสหายเซียนหลิวมีเรื่องเร่งด่วนอะไรไหมหลังการประมูลวันพรุ่งนี้”
หวังหลินนมองอีกฝ่ายและส่ายศีรษะ “สหายเซียนคังจงซื่อ ท่านพูดสิ่งที่ต้องการมาเถอะ”
ปรมาจารย์คังจงซื่อขบคิดและเอ่ยออกมา “ข้ารู้สถานที่ลับแห่งหนึ่งและอาจจะเป็นที่ที่ท่านสนใจ” ขณะที่พูดอยู่ด้วยเขาก็สังเกตหวังหลิน หลังจากพบว่าไม่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงอะไรจึงนำหินหยกออกมาส่งให้
หวังหลินรับเอาไว้ ไม่ได้ตรวจสอบมันแต่มองปรมาจารย์คังจงซื่อด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยิ้ม
ปรมาจารย์คังจงซื่อกระแอมแห้งๆ “ขอสรุปสั้นๆ ข้าเห็นว่าสหายเซียนหลิวกำลังหาผลึกดั้งเดิมจำนวนมาก หากท่านช่วยข้าเข้าไปที่นั่นได้ ข้าจะมอบผลึกดั้งเดิมให้หมื่นก้อนเป็นรางวัล!”
หวังหลินกวาดสัมผัสวิญญาณในหินหยกออกไปและหลับตา ห้องเงียบสนิท ปรมาจารย์คังจงซื่อไม่ได้กระวนกระวายและรอคอยให้หวังหลินตอบ
ผ่านไปชั่วครู่หวังหลินขึงลืมตาขึ้นมา “ข้าต้องการผลึกดั้งเดิมสองหมื่นก้อน มัดจำมาครึ่งหนึ่งก่อน!”
ปรมาจารย์คังจงซื่อลังเลชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าและยิ้มออกมา “เยี่ยม การได้คนจากสำนักเทพเจ้ามาช่วยด้วยผลึกดั้งเดิมสองหมื่นก้อนนับว่าคุ้มค่า! หลังจากการประมูลพรุ่งนี้จบลง ข้าจะส่งผลึกดั้งเดิมมาให้และเราจะมุ่งหน้าออกไป!”
ปรมาจารย์คังจงซื่อคำนับฝ่ามือและจากไป หลังออกมาจากห้องหวังหลิน รอยยิ้มก็หายไปและถอนหายใจเย็นเยียบอยู่ในใจ
‘คนของสำนักเทพเจ้าจะขาดแคลนผลึกดั้งเดิมได้อย่างไร? ตัวตนของเขาช่างน่าสงสัยมาก ไม่ว่าตัวตนจะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่สำคัญเท่าท่าทางของเขา ตราบใดที่ข้าสามารถเข้าสถานที่นั้นได้ ระดับบ่มเพาะข้าจะเพิ่มขึ้นและจากนั้น…’ ปรมาจารย์คังจงซื่อสูดหายใจลึกและระงับอาการตื่นเต้นในใจ เขาเตรียมการมาเกือบพันปีแล้ว!
……………………………….