Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1182

Cover Renegade Immortal 1

1182. ดินแดนเจ็ดสี

เรื่องเกี่ยวกับจ้าววิญญาณเมฆาถูกเก็บเอาไว้และไม่พูดถึงอีก เซียนผางสาปแช่งอยู่ในใจและระมัดระวังตัวเพราะเขาพึ่งไปล่วงเกินหวังหลิน พอนึกถึงสายตาเยือกเย็นของอีกฝ่าย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจอันหนาวเหน็บ

ปรมาจารย์คังจงซื่อพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “อย่าแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณไกลเกินไปไม่เช่นนั้นจะดึงดูดพวกอสูรมาที่นี่ แม้ที่นี่จะเป็นเพียงเขตชั้นนอกยังมีอสูรระดับสิบสองอยู่ด้วย อย่าเหาะสูงเกินกว่าพันฟุต!”

หวังหลินมองแสงเจ็ดสีในท้องฟ้าและขบคิด แสงเจ็ดสีนี้ประหลาดยิ่งและทำให้เขารู้สึกแปลกใจ ดูเหมือนมันจะแฝงกฎการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เข้าใจอยู่ในนั้นด้วย

“ที่นี่มันเรียกว่าอะไร?” เฉินเทียนจุนเอ่ยขึ้นมา

ปรมาจารย์คังจงซื่อเงยศีรษะขึ้นมาและเอ่ยเบาๆ “ดินแดนเจ็ดสี ข้าเรียกมันแบบนั้น”

“เขตด้านนอกของที่นี่เต็มไปด้วยอสูรหมอก ซึ่งผลึกดั้งเดิมทั้งหมดข้าก็ได้มาจากที่นี่ ข้ามาที่นี่อยู่ไม่กี่ครั้งแต่ไม่สามารถเข้าใจกลางเขตได้เลย”

“ยังมีผู้คนยุคโบราณหลงเหลืออยู่ที่นี่ด้วย ตามที่ข้าคาดการณ์อาจจะมีเหล่าเทพหรือคนประหลาดอีก” เขาเอ่ยขึ้นพลางชี้ไปข้างหน้า

“สหายเซียนโปรดตามข้ามาและอย่าไปไหน ที่นี่อันตรายมาก หากไม่ระมัดระวังอาจจะตายได้” เช่นนั้นเขาก็เดินลงแท่นมุ่งหน้าตรงไป

ทุกคนติดตามปรมาจารย์คังจงซื่ออย่างใกล้ชิด ปรมาจารย์คังจงซื่อเคร่งเครียดตลอดเวลาและเดินตามเส้นทางเข้าสู่พื้นที่ราบ จนกระทั่งมาถึงภายในภูเขาที่เต็มไปด้วยหมอก

หวังหลินมองไปรอบๆและดวงตาส่องสว่าง ที่นี่ไม่มีต้นไม้ มีเพียงแต่ภูเขาเท่านั้น หมอกที่มีอยู่แบ่งแยกกลุ่มกันเองและไม่ได้ติดต่อกัน

ขณะนั้นเฉียนเทียนหยุพลันหยุดลงมองภูเขาห่างออกไปไม่ไกล มองเห็นถ้ำหินแห่งหนึ่งขึ้นไปตรงกลางภูเขา

ถ้ำแห่งนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ แค่ชำเลืองมองดูก็บอกได้ว่ามีคนเคยใช้มันเป็นถ้ำฝึกฝน

“มีถ้ำอยู่ตรงนั้นแต่มีอสูรระดับสิบสองเฝ้าระวัง ครั้งล่าสุดที่ข้ามา ข้าได้ล่อมันออกไปและเข้าไปข้างในจึงพอได้อะไรมาอยู่บ้าง” ปรมาจารย์คังจงซื่อเอ่ยขึ้นอย่างเงียบๆพลางมองเฉินเทียนจุน จากนั้นเดินข้างหน้าต่อไป

เฉินเทียนจุนถอนสายตามองไปยังปรมาจารย์คังจงซื่อตรงหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

ขณะที่ทุกคนเคลื่อนข้างหน้าต่อไป เส้นทางก็ยิ่งแคบลง ปรมาจารย์คังจงซื่อคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มาก เมื่อไม่มีถนนอยู่ข้างหน้าเขาจึงเปลี่ยนทิศทาง จากนั้นถนนอีกสายก็ปรากฏ

เวลาค่อยๆผ่านไป ขณะที่ทุกคนเข้าไปลึกขึ้นพลันสัมผัสถึงพลังอำนาจ ความรู้สึกนี้รุนแรงขึ้นและเมื่อมันตกลงใส่พวกเขาก็ยิ่งทำให้ความคิดสั่นเทา

ปรมาจารย์คังจงซื่อมีท่าทางเคร่งเครียดและชะลอตัวลง เขาครุ่นคิดอยู่นานจากการก้าวแต่ละครั้งราวกับกำลังนึกถึงถนนสายที่ต้องการ

หวังหลินเงียบมาตลอดทางแต่ดวงตาเปล่งประกาย สังเกตได้ว่าที่นี่มีเขตอาคมอยู่จำนวนมาก อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่เก่าแก่เกินไปและพังทลายไปมาก กระนั้นก็ยังมีบางส่วนที่ทำงานอยู่

สิ่งที่หวังหลินตกตะลึงก็คือพลังอำนาจของเขตอาคมพวกนี้ เขตอาคมแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่อยู่ในถ้ำของจักรพรรดิเทพฉิงหลินเสียอีก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกมันล่มสลายไปแล้วก็คงไม่สามารถมาถึงจุดนี้ได้

ย้อนกลับไปถึงจุดที่พวกเขาผ่านมาซึ่งเดินทางมาแล้วมากกว่าห้าลี้แล้วและยังไม่ได้ข้ามผ่านเทือกเขาเลย ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เหนือภูเขาเหล่านั้น

ในดินแดนเจ็ดสีไม่มีกลางคืนเพราะแสงเจ็ดสีเต็มไปทั่วท้องฟ้า

ปรมาจารย์คังจงซื่อเคลื่อนที่ช้าลงก่อนจะหยุดลงในที่สุด “สหายเซียนตวนมู่ เม็ดยาเกิดใหม่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล อย่างไรก็ตามมันมีอสูรระดับสิบสองอยู่ตรงนั้น หากเจ้าต้องการอาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง”

เบื้องหน้าปรมาจารย์คังจงซื่อเป็นถนนแคบๆ ด้านข้างภูเขาดูน่ากลัว บางครั้งก็มีก้อนหินตกลงมาเกิดเสียงเล็กน้อย

นอกจากนั้นแล้วรอบด้านต่างเงียบกริบโดยสิ้นเชิง

มีหมอกเบาบางขัดขวางถนนแคบๆอยู่ ขอบด้านข้างหมอกมองเห็นโครงกระดูก ส่วนใหญ่เสื้อผ้าสลายไปหมดแล้ว มีแค่ส่วนน้อยที่ยังมีเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกระดูกเอาไว้

เลือดเนื้อบนโครงกระดูกย่อยสลายไปหมดจนเห็นกระดูกเชิงกรานได้ชัดเจน ข้างในมีเม็ดยาเจ็ดสีซึ่งมันไม่สมบูรณ์และมีรอยแตกละเอียด บางส่วนละลายไปแล้วจนไม่เป็นรูปเม็ดยาแต่เป็นทรงพระจันทร์เสี้ยว

มันคือเม็ดยาที่ถูกคนกินไปแล้วแต่คนคนนั้นกลับตายก่อนจะดูดซับเม็ดยาได้สำเร็จ! แม้จะผ่านมาแล้วหลายปีเม็ดยาก็ยังปลดปล่อยกลิ่นเจือจาง

พอได้กลิ่น หวังหลินดวงตาหรี่แคบ กลิ่นนี้ประหลาดมาก พอมันเข้าไปในจมูกกลับทำให้วิญญาณดั้งเดิมสั่นเทา ความคิดเริ่มนึกย้อนไปถึงฉากเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่สามารถควบคุมได้ปรากฏเบื้องหน้า

โชคดีที่หวังหลินตื่นตัว กัดปลายลิ้นเล็กน้อยดวงตาจึงพลันชัดขึ้น เขาลอบตกตะลึง! มองไปดูคนอื่นๆ เซียนผางผนึกสัมผัสทั้งห้าไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขารู้ตัวว่าที่นี่แปลกประหลาด

ส่วนหญิงชราชุดเขียว นางงุนงงสับสนแต่ในไม่นานก็คืนสติได้ ส่วนเฉินเทียนจุนฟื้นคืนได้รวดเร็ว

“เม็ดยาทรงพลังอะไรกัน!”

“มันคือเม็ดยาเกิดใหม่จริงๆ!” ตวนมู่สูดลมหายใจลึกและดื่มด่ำกับกลิ่นของมัน

“สหายตวนมู่ฝึกฝนวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ของตะวันและจันทรา สิ่งจำเป็นต้องเข้าใจคือการเกิดใหม่ของตนเอง เขาต้องสำเร็จวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่เก้าครั้งเพื่อทำเต๋าให้สมบูรณ์ อย่างไรก็ตามสรวงสวรรค์ช่างโหดเหี้ยมมันจึงสำเร็จได้ยากมาก ลือกันว่ามีเม็ดยาเกิดใหม่ในโลกเซียนโบราณที่สามารถทำให้เข้าสู่วัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ได้เพื่อเข้าใจเต๋า กระนั้นเม็ดยาเกิดใหม่สูญหายไปนานแล้ว เหลือสูตรยาเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นจึงไม่สามารถหลอมเม็ดยาเกิดใหม่ขึ้นมาได้ เราสามารถทำได้แค่ควบแน่นพลังงานเกิดใหม่ได้บางส่วนเท่านั้น!” ปรมาจารย์คังจงซื่ออธิบายช้าๆ

ตวนมู่ดวงตาส่องสว่างและจ้องปรมาจารย์คังจงซื่อ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหลมๆ “สหายคังจงซื่อมีความรู้มากมาย ท่านเตรียมการไว้ดีมากตอนที่ท่านมาหาข้า”

ปรมาจารย์คังจงซื่อยิ้มขึ้นแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร

“หากไม่ใช่เพราะสิ่งที่อยู่ในสายหมอกข้างๆโครงกระดูก ท่านคงไม่เมตตาชวนข้าเช่นนี้” ตวนมู่มองสายหมอก

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เต๋าเกิดใหม่ของสหายเซียนตวนมู่มีประโยชน์ยิ่งต่อการเดินทางที่เหลือของเรา เราจะช่วยท่านให้ได้เม็ดยามาและท่านจะเปิดทางที่เหลือให้” ปรมาจารย์คังจงซื่อสงบนิ่งพลางชื่นชมตรงไปตรงมา

“ตกลง!” ตวนมู่ขบคิดเล็กน้อยพลางมองไปที่เม็ดยาเกิดใหม่ในโครงกระดูก จากนั้นสีหน้าท่าทางก็เคร่งเครียด

ปรมาจารย์คังจงซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “มีมังกรระดับสิบสองซึ่งเทียบเท่ากับเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับสูงสุด แต่อสูรก็ยังเป็นอสูร ตราบใดที่เราร่วมมือกันพร้อมกับวิชาเกิดใหม่ของสหายตวนมู่ ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”

เฉินเทียนจุนเลียริมฝีปาก “ข้าต้องการวิญญาณมังกร!”

หญิงชราชุดเขียวเอ่ยขึ้น “ร่างมังกรเป็นของข้า!”

หวังหลินดวงตาส่องสว่างและเอ่ยขึ้น “ข้าต้องการผลึกดั้งเดิมทั้งหมดในสายหมอก!” หลังจากทั้งสามคนพูดจบ สายตาแต่ละคนตกลงบนปรมาจารย์คังจงซื่อ

ปรมาจารย์คังจงซื่อหัวเราะ “ได้อยู่แล้ว สหายผางและข้าไม่ต้องการของพวกนี้ เราแค่ต้องการผ่านไป”

ตวนมู่แววตากะพริบแสงเย็นเยียบและสูดหายใจลึก สองฝ่ามือผนึกเบื้องหน้า เส้นผมสะบัดไร้แรงลม ดวงตาส่องสว่างและปรากฏดวงตะวันและจันทราตามลำดับ จากนั้นร้องคำรามพลางใช้แขนซ้ายชี้กลางหน้าผาก แขนขวาชี้ไปข้างหน้า

ดวงตาส่องประกายสว่างเจิดจ้า อักขระดวงตะวันและจันทรายิ่งชัดเจนขึ้น ทุกคนรอบตัวพลันรู้สึกเหมือนความคิดกำลังโดนดูดเข้าไปในภาพมายา

หวังหลินมองตวนมู่ด้วยท่าทางนิ่งเฉย

ในจังหวะที่อักขระตะวันและจันทราปรากฏขึ้น มันเริ่มหมุนรอบกันเองก่อตัวเป็นวังวนพุ่งตรงเข้าใส่สายหมอก!

มันเร็วมากและเข้าไปใกล้หมอกในทันที เสียงดังปะทุกึกก้องพร้อมกับพุ่งเข้าไปข้างใน ขณะนั้นสายหมอกเริ่มปั่นป่วนและเกิดเสียงคำรามสั่นสะเทือนปฐพี ภูเขาด้านข้างเริ่มสั่น ก้อนหินร่วงหล่นลงมา

ขณะเดียวกันเศียรมังกรขนาดยักษ์ผุดออกมาด้วย สายลมเหม็นหึ่งกวาดผ่านเข้าหาทุกคน

หากแค่นั้นก็คงดีแต่เมื่อเศียรมังกรปรากฏ แรงกดดันของเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับสูงสุดโผล่ออกมาด้วย ซึ่งทำให้ความคิดทุกคนต้องสั่นเทาทันที

ตวนมู่ร้องคำราม อักขระตะวันและจันทราปรากฏเบื้องหน้าเศียรมังกรที่กำลังพุ่งหาทุกคน อักขระหมุนอย่างบ้าคลั่งก่อตัวเป็นวังวนดึงเศียรมังกรเข้าไป

“วิชาเกิดใหม่ของข้ามีผลแค่เวลาสิบลมหายใจเท่านั้น พวกท่านทั้งหมดต้องรีบแล้ว!” หนุ่มตวนมู่ทำท่าทางดุดัน เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน เขานั่งลงสะบัดแขนขวาปรากฏกระบี่ยาวเจ็ดฟุตเปลี่ยนกลายเป็นปราณกระบี่และพุ่งตรงเข้าใส่มังกร

เฉินเทียนจุนก้าวเท้าพลางสร้างผนึกเปล่งแสงน่ากลัวขึ้นรอบตัว เขามาถึงด้านข้างมังกรในพริบตาและกระโจนขึ้นบนเศียรมังกร นั่งลงและสร้างผนึกอีกอัน แสงน่ากลัวรอบตัวหนาแน่นและเข้าสู่ร่างมังกรโดยไม่คาดคิด

ปรมาจารย์คังจงซื่อสะบัดแขนปรากฏกระบี่นับหมื่นเล่ม ทั้งหมดพุ่งใส่มังกรดุจฝนกระบี่ หญิงชราชุดเขียวใช้ฝ่ามือสร้างผนึก สายลมเย็นพัดผ่านเกิดเสียงน้ำแข็งแตกร้าวในเส้นทางแคบๆและแพร่กระจายเข้าหาเจ้ามังกร

เซียนผางไม่นิ่งเฉย กระโจนขึ้นอากาศและสะบัดแขนปรากฏแสงกะพริบ ก้อนแสงตกลงมาจากฟากฟ้า

หวังหลินดวงตาส่องสว่างและเข้าไปใกล้มังกรทันที แขนขวากำปั้นส่งลงไปบนร่างมังกรยักษ์

เจ้ามังกรร้องคำรามด้วยความโกรธพร้อมกับพยายามทะลวงผ่านผนึกเกิดใหม่บนร่าง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version