1181. มีคนหลงทาง
หวังหลินมีแผนในการเข้าไปในรอยแยกเจ็ดสีและขัดแย้งกับปรมาจารย์คังจงซื่อ หวังหลินสามารถต่อกรกับเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับกลางได้ และกระทั่งต่อกรได้สองคนตราบใดคนที่สองไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อปรมาจารย์คังจงซื่อ!
หวังหลินลอบสังเกตเด็กหนุ่มชื่อตวนมู่ เขาเป็นคนโหดเหี้ยมและเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์คังจงซื่อด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว
ส่วนเฉินเทียนจุนไม่ได้ใกล้ชิดกับปรมาจารย์คังจงซื่อ เขาต้องมีแผนของตัวเอง
อีกกลุ่มที่ใกล้ชิดกับปรมาจารย์คังจงซื่อคืออีกสองคนคือเซียนผางและอีกคนคือจ้าววิญญาณเมฆา!
ตามที่หวังหลินวิเคราะห์ ปรมาจารย์คังจงซื่อสามารถเชิญชวนทุกคนได้อย่างสงบนิ่งเป็นเพราะจ้าววิญญาณเมฆา อีกทั้งเมื่อทั้งสองคนร่วมมือกันและมีเซียนผางอยุ่ด้วย กลุ่มนั้นถือว่าเป็นอมตะเลยทีเดียว!
ดังนั้นการทำลายจ้าววิญญาณเมฆาเทียบเท่ากับการทำลายแขนปรมาจารย์คังจงซื่อไปหนึ่งข้าง! จ้าววิญญาณเมฆามีเจตนาร้ายและสังเกตเขาอยู่ตลอดเวลา หวังหลินตัดสินใจโจมตีก่อนและไม่ยอมมอบโอกาสเขาเข้าร่วม!
ตอนนี้จึงเป็นโอกาสดีที่สุดที่จะโจมตี!
‘ขั้นทลายสวรรค์ระดับกลาง!’ พอคิดว่าเขาจะต่อสู้กับเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับกลาง หวังหลินเกิดความรู้สึกตื่นเต้น กระบี่สนิมในมือตวัดฉับลงไปอย่างรุนแรง!
พลังอำนาจของสมบัติสวรรค์ดับสูญถือว่าสั่นสะเทือนสวรรค์ ปราณกระบี่มหึมาพุ่งเข้าใส่จ้าววิญญาณเมฆาในทันที!
จ้าววิญญาณเมฆาสีหน้าเปลี่ยนไป เขาอยู่ไม่ไกลจากหวังหลินและใกล้กับรอยแยกเจ็ดสีมาก ขณะที่ปราณกระบี่เข้าใกล้ในเสี้ยววินาทีเขาไม่มีเวลาคิดอะไรมาก จ้าววิญญาณเมฆาส่งเสียงร้องคำราม ฝ่ามือสร้างผนึกส่งเปลวเพลิงวิญญาณด้านหลังเข้าเผชิญหน้ากับปราณกระบี่ของหวังหลิน!
เพลิงวิญญาณพุ่งหาหวังปลินปะทะกับปราณกระบี่ เกิดเสียงดังสนั่นคับฟ้าและเพลิงวิญญาณแตกดับ ไม่สามารถหยุดปราณกระบี่พุ่งแทงทะลุผ่านได้เลย
ในช่วงวินาทีวิกฤต ดวงตาจ้าววิญญาณเมฆาเบิกกว้างด้วยความโกรธ กัดปลายลิ้นและพ่นโลหิตออกไปเปลี่ยนกลายเป็นกะโหลกหมายจะกลืนกินปราณกระบี่
ร่างจ้าววิญญาณเมฆาสั่นเทาพร้อมกับเสียงดังปังสั่นสะเทือนสวรรค์ ใบหน้าซีดเผือด แววตาเต็มไปด้วยความตกใจแต่กระนั้นเขาก็เป็นเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับกลาง ดังนั้นปราณกระบี่ของหวังหลินจึงไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้ แรงกระแทกทำให้หวังหลินถอยหลังไปสองสามก้าวและกำลังจะหายเข้าไปในรอยแยก
“เจ้ารนหาที่ตาย ไอ้เด็กน้อย!” จ้าววิญญาณเมฆาส่งเสียงร้องคำรามและพุ่งออกไป เขาเร็วมากและเข้าใกล้หวังหลินในเสี้ยวพริบตา
หวังหลินไม่มีเวลาปล่อยให้กระบี่เหล็กใช้พลังโจมตีเต็มที่ ในแววตากะพริบเย็นวาบไม่หลุดจากที่เขาคาดคิดไว้มากนักเพราะขั้นทลายสวรรค์ระดับกลางไม่สามารถฆ่าได้ง่ายๆ เป้าหมายของเขาคือทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ! ทั้งหมดเตรียมการไว้เพื่อสิ่งที่เกิดขึ้นถัดไป!
หวังหลินล่าถอยและกำลังจะเข้าไปในรอยแยกอย่างสมบูรณ์ จ้าววิญญาณเมฆาเอาเท้าเข้าไปข้างในรอยแยกได้ครึ่งเดียว เขายกแขนขึ้นและกำลังจะใช้วิชาออกมาแต่วินาทีนั้นหวังหลินเผยรอยยิ้ม อ้าปากร้องตะโกน “หยุด!”
พลังเทพต้นกำเนิดในร่างพรั่งพรูอย่างบ้าคลั่ง เปลี่ยนเป็นวิชายับยั้งเข้าล้อมรอบจ้าววิญญาณเมฆา พริบตาเดียวร่างอีกฝ่ายก็หยุดชะงัก!
ด้วยระดับบ่มเพาะของเขา ใช้เพียงเวลาเพียงชั่วขณะก็ทำลายเส้นด้ายที่มองไม่เห็นจากวิชายับยั้งได้แล้ว ขณะที่หวังหลินเข้าไปในรอยแยก ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกมาใส่ศีรษะจ้าววิญญาณเมฆา พร้อมกับกำปั้นเทพโบราณพุ่งเข้าใส่ไปติดๆ
ขณะนั้นจ้าววิญญาณเมฆาหลุดจากวิชายับยั้งได้ทันท่วงทีและหวังจะหลบหลีก แต่พลันร้องโหยหวนออกมา โลหิตสาดกระจายออกมาจากแขนขวา ปราณกระบี่ตัดแขนขวาให้ขาดกระจุย!
นาทีนี้กำปั้นเทพโบราณก็มาถึง แม้จ้าววิญญาณเมฆาจะขัดขวางด้วยวิชาของตนเองไปแล้วแต่มันทำให้ร่างเขาขยับไปด้านข้างด้วย
ในแววตาเกิดความหวาดกลัว เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายตามต้องการได้ขณะที่กำลังผ่านรอยแยก หากทำเช่นนั้นจะถูกเคลื่อนย้ายไปสถานที่อื่นที่อยู่ระหว่างสองดินแดน!
หวังหลินทะลุผ่านรอยแยกอวกาศหลายแห่ง แม้จะไม่ได้เข้ารอยแยกเจ็ดสีก่อนหน้านี้ เขาสรุปได้ว่ารอยแยกทั้งหมดอยู่ระหว่างสองดินแดน รอยแยกเจ็ดสีไม่ได้มั่นคงดังนั้นเขาจึงต้องมั่นใจ!
เป้าหมายของเขาไม่ใช่การฆ่าเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับกลางแต่เป็นการทำให้จ้าววิญญาณเมฆาบาดเจ็บและเปลี่ยนปลายทางตอนที่เข้าไปในรอยแยก!
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตา ขณะที่หวังหลินเข้าไปในรอยแยก ภาพทัศนวิสัยพร่ามัว วิญญาณดั้งเดิมได้รับผลกระทบจากพลังตีกลับของการใช้วิชายับยั้งแต่หวังหลินก็ฝืนระงับเอาไว้ พอได้สติขึ้นมาเขาปรากฏตัวในโลกอันแปลกประหลาด
ที่นี่มีท้องฟ้าและพื้นดินแต่ท้องฟ้าเรืองแสงเจ็ดสี แม้แต่พื้นดินก็ต้องตาด้วยแสงนี้ อย่างไรก็ตามโลกใบนี้ไม่ได้ชัดเจนแต่ห่อหุ้มอยู่ในสายหมอก
หวังหลินไม่ได้มองตรงหน้าอย่างละเอียด ดวงตาส่องสว่างมองไปรอบๆทางคนที่เคลื่อนย้ายมาที่นี่ จ้าววิญญาณเมฆาไม่อยู่! พอเห็นแบบนี้หวังหลินจึงผ่อนคล้ายเล็กน้อย เขาลองเดิมพันดูและตอนนี้จึงรู้ว่าชนะการเดิมพัน! สิ่งที่เขาทำนั้นอันตรายมาก จ้าววิญญาณเมฆาไม่ได้เตรียมการไว้ดังนั้นจึงถูกวิชายับยั้งขัดขวาง หากวิขานั้นส่งออกไปก่อน หลายอย่างคงไม่จบรวดเร็วแบบนี้
ทุกคนอยู่บนแท่นแห่งหนึ่งขนาดกว้างพันฟุต มีเพียงเซียนผางที่มองไปรอบๆและนึกถึงอดีต เขามาที่นี่เป็นครั้งที่สาม ครั้งแรกที่มามีสหายหลายคนตายตกตายกันไป ครั้งที่สองก็มีตายไปมากยิ่งกว่านี้อีก วันนี้รวมกับเขาแล้วจึงมีเหลืออยู่เพียงสามคนเท่านั้น
เด็กหนุ่มตวนมู่มองสายหมอกข้างหน้าพลางเลียริมฝีปากและพึมพำ “หมอกนั่นไม่ใช่หมอกดวงดาว…”
เฉินเทียนจุนแห่งสำนักอสูรรบรู้สึกตื่นเต้นหลังจากมาถึงที่นี่ เขาสูดหายใจลึก แววตาเผยแสงประหลาด
มีเพียงหญิงชราชุดเขียวขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่มีใครรู้ว่านางคิดอะไรอยู่
ปรมาจารย์คังจงซื่อมีสีหน้าตื่นเต้นแต่สายตาเคร่งเครียด เขามองหวังหลินพลางเอ่ยขึ้น “สหายเซียนหลิว จ้าววิญญาณเมฆาอยู่ไหน?”
หวังหลินท่าทางนิ่งเฉยพลางขมวดคิ้ว “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาไปไหน?”
“จ้าววิญญาณเมฆาอยู่ด้านหลังเจ้าและเจ้าสองคนเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เข้ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้นข้างนอก?” ปรมาจารย์คังจงซื่อขมวดคิ้ว อารมณ์ดีๆที่เขากลับมาที่นี่พลันหายไปจากการหายตัวของจ้าววิญญาณเมฆาและเกิดความรู้สึกแย่ๆ
หวังหลินเอ่ย “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก แต่ตอนที่ข้าเข้ารอยแยกมา ไม่มีอุบัติเหตุอะไร”
เซียนผางจ้องหวังหลินและกล่าวขึ้น “สหายเซียนหลิว ข้าสังเกตได้ว่าก่อนหน้านั้นหายเซียนวิญญาณเมฆาอยู่ไม่ไกลจากเจ้า ช่างไร้เหตุผลที่เขาเข้ามากับเจ้าแต่พลาดกันไป!”
ปรมาจารย์คังจงมือมองหวังหลินด้วยท่าทีมืดมน จิตใจโกรธเกรี้ยวไปแล้ว
คำพูดระหว่างทั้งสามคนเกิดแรงกระตุ้นให้เซียนที่เหลือสนใจ ตวนมู่ยิ้มและเอ่ยออกมา “น่าสนใจ เราสามารถทำให้คนหายไประหว่างทางได้ด้วย!”
หญิงชราชุดเขียวมองหวังหลินแต่ไม่ได้พูดอะไร
เฉินเทียนจุนขมวดคิ้ว ไม่สนใจเรื่องราวเหล่านี้พลางมองสายหมอกไกลๆ ในแววตาเร่าร้อนและตื่นเต้น
“สหายเซียนผางควรระวังคำพูดไว้ หากท่านพูดอะไรลอยๆ ท่านอาจจะโชคร้ายไปด้วย!” หวังหลินเยาะเย้ยพลางมองเซียนผาง
เซียนผางสั่นเทา คิดถึงการตายของหวู่ฉิงและเสียใจที่พูดออกไปแบบนั้น จากนั้นมองปรมาจารย์คังจงซื่อ
“สหายเซียนหลิว โปรดอธิบายมาด้วย!” ปรมาจารย์คังจงซื่อจ้องหวังหลิน รู้ได้ว่าจ้าววิญญาณเมฆาเฝ้าดูหนุ่มชุดขาวคนนี้มาตลอด ตอนนี้หายตัวไป ไอ้หนุ่มคนนี้น่าสงสัยที่สุด!
“เรื่องเหลวไหลอะไรกัน!” หวังหลินหัวเราะด้วยความโกรธ เขาดูไม่แยแสกับปรมาจารย์คังจงซื่อและเยาะเย้ย “จ้าววิญญาณเมฆาเป็นเซียนขั้นทลายสวรรค์ระดับกลางและข้าไม่อาจเทียบได้ สหายคังจงซื่ออยากได้คำอธิบายจากข้า แต่ข้าไม่มีอะไรอธิบายได้หรอก!”
“จ้าววิญญาณเมฆามีขามีสมอง ทำไมเขาต้องรายงานให้ข้าฟังว่าเขาจะไปไหน? ไร้สาระ! หากท่านอยากได้เหตุผลการต่อสู้ ก็มาเลยมา!” แสงเย็นเยียบกะพริบผ่านแววตาหวังหลิน คำพูดแข็งกร้าว
ตวนมู่มองหวังหลินและกล่าวกับปรมาจารย์คังจงซื่อด้วยน้ำเสียงแหลม “น่าสนใจ อย่างไรเสียคำพูดของสหายเซียนหลิวก็มีเหตุผล จ้าววิญญาณเมฆามีขามีสมอง อาจจะไม่ต้องการเข้ามาหรือไม่อยากอยู่ร่วมกับเราและไปที่อื่น”
ปรมาจารย์คังจงซื่อขมวดคิ้วแน่น เขาเกิดข้อสงสัยในใจไปด้วย ด้วยระดับบ่มเพาะของจ้าววิญญาณเมฆา แม้เซียนหลิวจะซ่อนระดับบ่มเพาะตนเองไว้มากแต่ไม่มีทางที่จ้าววิญญาณเมฆาจะถูกฆ่าในชั่วระยะเวลาสั้นๆเช่นนั้นได้!
เขากวาดสายตาผ่านหวังหลิน ปรมาจารย์คังจงซื่อล้มเลิกความคิดว่าจ้าววิญญาณเมฆาถูกฆ่าโดยเฉพาะเรื่องจ้าววิญญาณเมฆาเหมือนตัวเขาที่คุ้นเคยกับที่แห่งนี้ ทั้งสองต่างก็เคยเข้ามาแล้วสองครั้ง…
‘เป็นไปได้ว่า…เป็นไปได้ว่าจ้าววิญญาณเมฆาพบวิธีเข้าอื่นและใช้วิธีพิเศษเคลื่อนย้ายออกไป? แม้นี่จะเป็นไปได้แต่ก็มีโอกาสที่เซียนหลิวสู้กับจ้าววิญญาณเมฆาและทำให้เขาเคลื่อนย้ายไปที่อื่น แต่หากเรื่องนี้เป็นจริง เซียนหลิวจะเคลื่อนย้ายมาที่นี่อย่างปลอดภัยได้อย่างไร…’
ปรมาจารย์คังจงซื่อไม่มั่นใจแต่ก็ระงับเอาไว้ เขามองหวังหลินและคำนับฝ่ามือ “ข้าเองที่วู่วามไปหน่อย ข้าหวังว่าสหายเซียนหลิวจะไม่คิดมากความ”
หวังหลินพ่นลมหายใจเย็น จากนั้นคำนับฝ่ามือรับไว้
ตอนนี้ในหุบเขาแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยหมอกหนาแน่นข้างในโลกเจ็ดสี จ้าววิญญาณเมฆานั่งอยู่ด้วยใบหน้าซีดเผือด มองไปรอบๆอย่างเคร่งเครียด แขนขวาไม่มีเลือดไหลออกมาแล้วแต่มีความหวาดกลัวซ่อนอยู่ในใบหน้า
‘บัดซบ ข้าถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่เสียได้!’ จิตใจสั่นไหวพลางเลียริมฝีปากอันแห้งผาก มองสายหมอกหนาแน่นที่ปากหุบเขา
เสียงคำรามเจือจางดังออกมาจากสายหมอกหนาแน่นพร้อมกับกลิ่นเหม็นๆ…