1217. ตื่น
หากนับตั้งแต่ที่หวังหลินเข้ามาในดินแดนเจ็ดสี เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและล่วงเลยมาถึง 99 ปี…
ช่วงระยะเวลา 99 ปีนี้เกิดเหตุการณ์สั่นสะเทือนขึ้นในดาราจักรพันธมิตรเซียน สำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนพลกวาดล้างคนที่เหลือของพันธมิตรเซียน พวกเขายังบังคับให้สำนักซากศพร่วมมือกันตอบโต้กองกำลังฝ่ายทุกชั้นฟ้าให้กลับไป
เดิมทีสำนักซากศพไม่ได้มีเจตนาจะร่วมด้วย พวกเขาถือผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ว่าจำเป็นฝ่ายทุกชั้นฟ้าหรือสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องการเอาชนะ จะฝ่ายไหนก็ต้องการความช่วยเหลือของสำนักซากศพทั้งสิ้น
สำนักซากศพไม่สนว่าเซียนฝ่ายทุกชั้นฟ้าจะเป็นผู้บุกรุกหรือไม่ พวกเขาสนแต่เพียงการทำธุรกิจขายและซื้อร่างกายในสงครามเท่านั้น
สำนักซากศพหวังเพียงแต่ว่าสงครามจะดำเนินไปตลอดกาล
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ก็พังทลายเพราะคนผู้หนึ่ง นั่นคือจักรพรรดิมังกรฟ้า เขาพุ่งเข้าไปในสำนักซากศพและสังหารผู้อาวุโสสำนักซากศพด้วยตัวเอง ทั้งทำให้ราชาที่เหลือได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก ด้วยเหตุนี้จึงบังคับให้ราชาอันดับหนึ่งและจ้าวสำนักซากศพต้องออกมา ทั้งสองเริ่มการต่อสู้กันสั่นสะเทือนไปทั้งดาราจักร!
ท้ายที่สุดราชาของสำนักซากศพก็พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิมังกรฟ้ามีแรงจูงใจอย่างอื่น การฆ่าราชาคงไม่ยากเกินไปสำหรับเขา!
การต่อสู้นี้สั่นสะเทือนไปทั้งสำนักซากศพและสั่งสอนพวกเขาให้รู้ถึงพลังอำนาจของสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ และยังส่งความหวาดกลัวของจักรพรรดิมังกรฟ้าไปให้ด้วย
สำนักซากศพต้องเชื่อฟังคำสั่งของสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์และเริ่มสงครามต่อต้านฝ่ายทุกชั้นฟ้า!
นี่คือการต่อสู้ครั้งมโหฬารระหว่างสองดาราจักร ระหว่างสงครามนั้นต้าเสินได้ตื่นขึ้นและทะลวงผ่านค่ายกลรอบๆดาวซูซาคุออกมาได้!
การปรากฏตัวของเขาทำให้ฝ่ายทุกชั้นฟ้าตกตะลึง ต้าเสินลงมือไปตามอารมณ์ หลังจากตื่นขึ้นมาได้มีเซียนฝ่ายทุกชั้นฟ้าบางส่วนไปล่วงเกินเขา เขาจึงพุ่งเข้าไปในสนามรบและฆ่าเซียนฝ่ายทุกชั้นฟ้าไปหลายหมื่น!
หลังเข่นฆ่าจบลง เขาทิ้งคำพูดไว้เพียงประโยคเดียว
“พวกเจ้าอ่อนแอเกินไป”
ฝ่ายทุกชั้นฟ้าไม่มีใครกล้าไล่ล่าเขา ปรมาจารย์ลั่วฟู่เองก็ซ่อนตัวด้วยความหวาดหวั่น เขาหนีไกลออกมาจากดาราจักรพันธมิตรเซียนและไม่กล้าย่างกรายเข้าไปแม้เพียงครึ่งก้าว!
โชคดีที่หลังจากต้าเสินปรากฏตัว เขาไม่ได้อยู่ดาราจักรพันธมิตรเซียนนานนัก เขาเข้าไปหาสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับแรก ด้วยพลังอำนาจของเทพโบราณและพลังของดวงดาว เขาจึงสามารถทำให้จักรพรรดิมังกรฟ้าบาดเจ็บสาหัสได้ในกระบวนท่าเดียว เขาพังทลายพื้นที่ดวงดาวของสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ ทิ้งรอยแตกร้าวไว้นับไม่ถ้วนจนไม่มีใครเข้ามาได้! อย่างไรก็ตามต้าเสินไม่ได้ฆ่าจักรพรรดิมังกรฟ้าและยังกล่าวไว้เพียงประโยคเดียว
“เจ้าอ่อนแอเกินไป!”
ส่วนสำนักวิหคเพลิง เปลวเพลิงนิรันดร์ถูกต้าเสินดับลงเพียงแค่สะบัดมือคราเดียว!
“เปลวไฟนี่มันน่ารำคาญ!”
ไม่มีใครในสำนักวิหคเพลิงกล้าพูดออกไปด้วยความโกรธ
จากนั้นต้าเสินก็จากไปและเข้าสู่ดินแดนฟ้ากระจ่าง ต่อสู้กับชายชรา หลังจากผนึกชายชราเอาไว้ในดาวดวงหนึ่งของตัวเอง เขาก็ใช้หอกสังหารเทพเจ้าและทำให้ดินแดนฟ้ากระจ่างล่มสลาย!
ดินแดนฟ้ากระจ่างซึ่งคงอยู่มานานหลายพันหลายหมื่นปีต้องสูญสิ้น! กลายเป็นสิ่งที่คงเหลือไว้ในความทรงจำเท่านั้น
ร่างมู่ปิงเหมยแตกสลาย วิญญาณดั้งเดิมได้รับบาดเจ็บสาหัสและนางกำลังหายไป ต้าเสินไม่ได้รู้สึกอยากจะไล่ล่าแต่ทิ้งร่องรอยเอาไว้กับนางแทนและปล่อยไป
หลังจากนั้นไม่นาน สำนักซากศพก็ถูกต้าเสินโจมตีอย่างโกรธเกรี้ยวเนื่องจากไม่สามารถตามหาตัวหวังหลินได้ ผู้คนนับไม่ถ้วนตกตายกันไป หลังจากนั้นต้าเสินก็จากไปอีกครั้ง
ที่สุดท้ายที่ต้าเสินไปคือแดนสวรรค์พิรุณที่ถูกผนึก ยามเผชิญหน้ากับผนึกรอบๆแดนสวรรค์พิรุณ เขาจึงเคร่งเครียดเป็นครั้งแรก ทว่าความเคร่งเครียดนี้เพียงแค่ทำให้เขาโอหังและเย่อหยิ่งได้ยิ่งกว่าเดิม
ตอนที่เขากำลังจะโจมตี ฉิงหลินปรากฏตัวออกมานอกแดนสวรรค์พิรุณ ทั้งสองคนพูดคุยกันบางอย่างแต่ต้าเสินขบคิดอยู่นาน จากนั้นพยักหน้าและจากไป เขาหายตัวไปจากดาราจักรพันธมิตรเซียนพร้อมกับเซียนโบราณนับไม่ถ้วนที่เขาควบคุมได้ก่อนหน้านี้และออกไปไหนสักแห่ง
เขาค้นหาคนเพียงคนเดียวที่เขาต้องกลืนกิน!
ทว่าคนผู้นั้นดูเหมือนจะหายตัวไปจากโลกนี้ ไม่ว่าจะค้นหาแค่ไหนก็ไม่สามารถตามร่องรอยเจอได้
การปรากฏตัวของต้าเสินทำให้สถานการณ์ในดาราจักรพันธมิตรเซียนเปลี่ยนไปมหาศาลแต่ก็สงบลงด้วย เหล่าเซียนทุกชั้นฟ้าทั้งหมดล่าถอยกลับไปในดาราจักรตัวเองเนื่องเพราะต้าเสิน
สงครามที่กินเวลาเป็นร้อยปีได้จบลงเนื่องจากต้าเสิน
มีเพียงเสียงคำรามสั่นสะเทือนไปทั่วดาราจักร ดังสะท้อนกึกก้องก่อนที่ต้าเสินจะจากไป
“หวังหลิน เจ้าบัดซบอยู่ที่ไหนกัน!?!”
ประโยคที่มีความหมายเดียวกันนี้ดังออกมาจากปากหลิวหยานเฟยบนแผ่นดินโม่หลัวในดาราจักรทะเลเมฆา
“ผู้อาวุโส ท่านอยู่ไหน…เหลืออีกเพียงหนึ่งปีก็จะถึงการประลองที่สำนักหลัก…ท่านจะกลับมาใช่ไหม…”
ในดาราจักรทะเลเมฆา สำนักเต๋าม่วงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วแทบจะกลายเป็นหนึ่งในหกยอดสำนักของเขตระดับห้า ทว่าชั่วระยะเวลาร้อยปีนี้จ้าวสำนักเต๋าม่วง ลั่วหยุนคงมักจะมองไปที่ดวงดาวราวกับกำลังนึกถึงบางอย่าง
มีเพียงชายชราที่ติดตามเขามาตลอดเท่านั้นถึงจะได้ยินลั่วหยุนคงเอ่ยพึมพำไม่กี่ครั้ง
“พี่หลิว ข้าได้ประโยชน์ยิ่งจากการสนทนาเต๋าของเราเมื่อร้อยปีก่อน ทว่าตอนนี้ข้ายังไม่ได้ยินข่าวคราวท่านเลย…ระดับบ่มเพาะข้าเพิ่มขึ้น หากเราได้เจอกันอีกครั้ง ข้าอยากจะถกเรื่องเต๋ากับท่านอีก…”
เช่นเดียวกันในเขตระดับเก้า ลึกเข้าไปในหมอกที่สำนักมารตั้งอยู่ หลี่เฉียนเหมยผมสีฟ้าเข่นฆ่าอสูรร้ายในรอยแยกอวกาศด้วยท่าทีสงบนิ่ง
เหล่าเซียนจากหลายสำนักที่เข้ามาพร้อมกับนางทั้งหมดต่างก็หวาดกลัวสตรีผมสีฟ้าคนนี้ ขณะเดียวกันเซียนหลายคนแอบชอบนางอยู่ลึกๆ
เซียนหลายคนที่ว่านี้เป็นเหล่าผู้มีชื่อเสียงจำนวนมาก ภายใต้คลื่นถาโถมของเหล่าอสูรอย่างต่อเนื่อง คนที่เผยความสามารถตนเองมีมากขึ้น
ช่วงระยะเวลาร้อยปีนี้ มีเซียนจำนวนมากตายไปจากการต่อต้านกองทัพอสูร มีคนตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ขณะที่เวลาผ่านไป คลื่นอสูรยิ่งโหดร้ายมากขึ้นไปอีก พวกมันเต็มไปด้วยอสูรระดับสิบสอง บางครั้งก็มีอสูรระดับสิบสามอยู่บ้าง ซึ่งอสูรระดับสิบสามทุกตัวถือว่าเป็นหายนะของเหล่าเซียนทีเดียว
คนของสำนักมารได้ปรากฏตัวในสนามรบเช่นกัน พวกเขาคือกองกำลังหลัก มีเซียนเพียงแค่ไม่กี่คนจากสำนักอื่นจะคู่ควรให้สำนักมารใส่ใจ ในสายตาพวกเขา คนพวกนี้มาที่นี่ก็เพื่อก่อกวนคลื่นอสูรเท่านั้น
ทว่าในชั่วระยะเวลาร้อยปีนี้ มีสี่คนที่ได้รับการยอมรับจากสำนักมาร หลี่เฉียนเหมยเป็นหนึ่งในนั้น!
เซียนแทบทุกคนรู้ว่าหลี่เฉียนเหมยมีสมบัติชิ้นหนึ่ง มันคือพู่กันสีทองที่สามารถวาดอักขระเวทย์ได้ทรงพลังยิ่งยวด!
ตอนที่ผู้คนอยากจะยืมมาตรวจสอบ หลี่เฉียนเหมยปฏิเสธในทันที แม้จะมาจากสำนักมารก็ตาม นิสัยเงียบสงบของนางพลันเปลี่ยนเป็นดื้อรั้นทันที!
มีช่วงหนึ่งหลี่เฉียนเหมยถูกอสูรระดับสิบสองล้อมเอาไว้ นางได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติ นางถูกคนของสำนักมารช่วยเอาไว้และตื่นขึ้นในเวลาต่อมา นางปฏิเสธคำเตือนของทุกคนและพุ่งกลับไปในสนามรบด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิง ทั้งหมดเพียงแค่ไปเอาพู่กันสีทองกลับมา…
ตั้งแต่นั้นเซียนทั้งหมดก็รู้ว่าพู่กันทองนี้คือสมบัติที่มีค่าที่สุดของหลี่เฉียนเหมย
‘ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน…เวลาผ่านมาเกือบจะร้อยปีแล้ว…’ หลี่เฉียนเหมยนั่งอยู่บนแท่นฝึกฝนอันเรียบง่ายด้วยใบหน้าซีดเผือด ดูเหมือนนางจะได้รับบาดเจ็บ เบื้องหน้าคืออสูรจำนวนมากที่กำลังพุ่งผ่านสายหมอกเข้ามาและกำลังถูกเซียนมากมายต้านทานเอาไว้
นางดูเหมือนไม่สนใจการเข่นฆ่าในสนามรบและเสียงคำรามของเหล่าอสูร นางเงยศีรษะขึ้นมาและมองออกไปไกล…
ในแผ่นดินป่าแห่งหนึ่งของดาราจักรทะเลเมฆา มู่ปิงเหมยใช้วิชาลับของดินแดนฟ้ากระจ่างโดยการทะลวงผ่านม่านอวกาศหลบหนีมาที่นี่ นางค่อยๆก่อร่างเนื้อขึ้นอย่างช้าๆ
หลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสและร่างกายถูกต้าเสินทำลายไป ด้วยเหตุผลหนึ่งนางอยากจะเห็นหวังหลินอีกสักครั้ง…
‘หวังหลิน เจ้าเป็นอยู่ดีหรือไม่…’ ในถ้ำแห่งหนึ่งของแผ่นดินป่าในดาราจักรทะเลเมฆา มู่ปิงเหมยค่อยๆลืมตางดงามขึ้นมามองออกไป นางสัมผัสถึงความโดดเดี่ยวที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนอยู่เต็มจิตใจ
นางรู้สึกว่าสถานที่ต่างแดนแห่งนี้หนาวเย็นมาก ความหนาวเย็นดูเหมือนจะห่อหุ้มร่างกายนางและถ้ำไปด้วย เสียงสายลมเย็นๆด้านนอกถ้ำทำให้นางหนาวมากขึ้นไปอีก
ดินแดนเจ็ดสีตกอยู่ในความมืดเป็นเวลากว่าร้อยปีตั้งแต่ที่มันหายไป พลังลึกลับสายหนึ่งห่อหุ้มภูเขาที่วิญญาณหวังหลินหายตัวไป ทำให้คนภายนอกไม่อาจเข้าไปได้
จ้าววิญญาณเมฆาพยายามพังเข้าไปแต่ก็ล้มเหลว สิ่งที่เขาทำได้คือหาถ้ำใกล้ๆและมองดูโลกแห่งความมืดเป็นเวลาร้อยปี
เฉินเทียนจุนและหญิงชราชุดเขียวรู้สึกถึงกาลเวลาที่ผ่านไปในโลกแห่งความมืดนี้ได้เช่นกัน
บนยอดเขามีร่างศพหนึ่งกำลังนอนแน่นิ่งพร้อมกับถูกพลังลึกลับนี้ห่อหุ้มไปด้วย แม้กาลเวลาจะผ่านไปร้อยปีแต่ร่างเทพโบราณกลับไม่มีอาการเน่าเปื่อย มันดูเหมือนเมื่อร้อยปีก่อนเพียงแต่ตอนนี้ถูกปกคลุมอยู่ในฝุ่น
ในมิติพิเศษที่สร้างขึ้นเพื่อหล่อเลี้ยงผลไม้เจ็ดสี ดอกไม้จากต้นสีแดงกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง มันกำลังจะออกผลอย่างเต็มที่
ในวันนี้มีเศษสัมผัสวิญญาณหนึ่งปรากฏขึ้นในผลไม้ ดูเหมือนกำลังดูดซับพลังของผลไม้และมันค่อยๆเจริญเติบโตจนกลายเป็นลูกปัด
วินาทีที่ลูกปัดปรากฏขึ้นมา หวังหลินจึงตื่นขึ้นจากภวังค์ราวกับพึ่งฝันไป…
เนื่องด้วยลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า จึงไม่มีใครสังเกตเห็นการตื่นของเขา แม้กระทั่งผู้ดูแลดอกไม้ที่สังเกตการเปลี่ยนแปลงข้างในผลไม้ก็ไม่อาจสังเกตเห็น! การเปลี่ยนแปลงนี้เพียงพอจะทำให้จักรวาลสั่นสะท้าน เพียงพอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นโคจรฟ้าดินทั้งดินแดนนอกและดินแดนปิดผนึก
คนที่สร้างดอกไม้ขึ้นมา ครั้งหนึ่งได้บอกไว้ว่านิ้วเขาไม่อาจถูกเพลิงเผาไหม้ได้และเขามั่นใจมาก…เพียงแค่ความมั่นใจนี้จะคงอยู่ได้นานแค่ไหน…
“ได้ไหม?”
“ทำได้!”