1245. ร้อยปีในพริบตา
“การลดลงของอสูรยุงต้องเกี่ยวข้องกับเขา เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขากำลังบ่มเพาะอยู่ ดังนั้นการไม่รบกวนเขาและรีบจากไปให้เร็วจะเป็นการดีที่สุด!” ลี่หยวนเล่ยกล่าวขึ้นมา เขาค่อยๆถอยตัวกลับ
ทว่าวินาทีนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น!
ราชายุงสีทองเงยศีรษะขึ้นมาจดจ้องไปที่เหล่าเซียนข้างหน้า ความจริงมันเห็นพวกเขาแล้วแต่ขี้เกียจใส่ใจ อย่างไรก็ตามตอนนี้มันกลับส่งเสียงคำรามขึ้น
เหล่าอสูรยุงทั้งหมดกระจายตัว สร้างเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เมฆสีแดงพุ่งเข้ามาหาเหล่าเซียนพร้อมกับเสียงคำรามทันที
“ไม่ดีแล้ว รีบหนี!” ลี่หยวนเล่ยร้องตะโกนและถอยร่นอย่างรวดเร็ว สีหน้าอาการทุกคนโดยรอบต่างเปลี่ยนไปและรีบถอยทั้งหมด
แม้พวกเขาจะเร็วกว่าฝูงยุงสีแดง แต่พวกเขาด้อยกว่ายุงสีฟ้า! ท่ามกลางอสูรยุงหลักพันตัว มีอสูรยุงสีฟ้าหลายร้องพุ่งเข้ามาจากฝูงยุงสีแดงเข้าหาพวกเขาดุจอุกกาบาต
“ยุงสีฟ้า!” ทุกคนศีรษะด้านชาและรีบวิ่งให้ไว พวกเขาเห็นแต่เพียงก้อนเมฆสีแดงและไม่เห็นยุงสีฟ้าซ่อนอยู่ข้างใน วินาทีที่เห็นพวกมันจึงแทบจะสิ้นความคิด ลือกันว่ายุงสีฟ้าพวกนี้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าและมีทักษะเทียบได้กับเซียนขั้นชำระสวรรค์!
อย่างไรก็ตามยุงสีฟ้ารวดเร็วเกินไป แค่จำนวนพวกมันก็ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงได้แล้ว ยามที่พวกเขาตกตะลึงกันทั้งหมด อสูรยุงสีฟ้าไล่ตามมาทัน ล้อมรอบพวกเขาและปลดปล่อยกลิ่นคาวเลือดทรงพลัง ด้วยรูปลักษณ์น่าเกลียดแต่ละตัว ปากขนาดใหญ่ แสงสีฟ้ารุนแรง ทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นเหมือนฝันร้ายแก่เซียนเหล่านี้!
ทว่าตอนนี้พวกเขาไม่มีโอกาสต่อต้าน ไม่นานนักก็ถูกอสูรยุงสีฟ้าล้อมรอบเอาไว้ ก้อนเมฆสีแดงเข้ามาล้อมกรอบอีกชั้นทำให้พวกเขาอยู่ใจกลางฝูงยุง แม้แต่จะมองทะลุไปก็ทำไม่ได้ สิ่งเดียวที่เห็นเต็มสองตาตอนนี้คือยุงท่าทีโหดเหี้ยม ปลดปล่อยความหวาดกลัวจนพวกเขารู้สึกสิ้นหวัง
พวกเขาระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ในอดีตครั้งที่เข้ามาที่นี่มักจะเจอฝูงยุงกลุ่มเล็กๆประมาณร้อยตัว ด้วยระดับบ่มเพาะแต่ละคนและระยะห่างจนถึงทางพอ พวกเขาจึงหนีได้ง่ายๆ
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกยุงนับพันล้อมรอบเอาไว้ แม้แต่ผู้อาวุโสสำนักตัวเองก็แทบจะไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน
เหล่าเซียนกำลังจะเริ่มโจมตีโต้ตอบด้วยความสิ้นหวัง แต่พวกเขาก็ตกตะลึงเมื่อพบว่าอสูรยุงรอบๆไม่ได้โจมตีพวกเขา แต่กลับล้อมเอาไว้แทนและเปิดเส้นทางไปหาประตูหิน
ฉากเหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนพบเศษเสี้ยวแห่งความหวัง พวกเขามองหน้ากัน ลี่หยวนเล่ยสีหน้าซีดแต่ก็กัดฟันแน่น ค่อยๆเหาะเหินไปหาประตูหินพร้อมกับฝูงยุง
เมื่อเข้ามาได้ใกล้พอจึงเห็นชัดเจนว่าหวังหลินกำลังนั่งอยู่บนประตูหิน มีสายตาเย็นเยียบออกมาจากราชายุงสีทองอ่อนๆ
หลังจากถูกราชายุงจ้องมอง ลี่หยวนเล่ยสั่นเทา เหงื่อเย็นเฉียบชุ่มเต็มเสื้อผ้า เขารู้สึกว่าหากราชายุงสีทองตัวนี้ร้องคำราม อสูรยุงทั้งหมดรอบด้านคงจะฉีกกระชากพวกเขาเป็นชิ้นๆ
“ราชายุง!” หากลี่หยวนเล่ยและพรรคพวกมองไม่ออกถึงตำแหน่งของยุงสีทองตัวนี้ได้ พวกเขาคงไม่ถูกเรียกว่าหัวกะทิของสำนัก
ลี่หยวนเล่ยสูดหายใจลึก เขายังไม่มีความคิดที่จะกวาดเกรงอำนาจของประตู แต่ก็มองหวังหลินด้วยความเคารพและคำนับฝ่ามือ “ผู้น้อยลี่หยวนเล่ยขอคำนับผู้อาวุโส เรามิได้ตั้งใจมารบกวนท่านและหวังว่าผู้อาวุโสจะไม่ถือสา”
เซียนมากกว่าสิบคนด้านหลังคำนับฝ่ามือเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามหลังจากพวกเขาพูดออกไป หวังหลินกลับไม่ตอบสนอง เพียงแค่หลับตานิ่งอยู่เช่นนั้น ด้วยเพราะหวังหลินไม่ตอบ ลี่หยวนเล่ยและคนอื่นๆจึงถูกอสูรยุงกักขังเอาไว้ พวกเขาตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและทำได้แต่เพียงรอด้วยความหวาดกลัว
หากเพียงแค่รอก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่การถูกอสูรยุงนับพันรายล้อมถือว่าเป็นทุกข์ทรมานยิ่ง
ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าหวังหลินไม่สนใจพวกเขา แต่ความคิดหวังหลินจมดิ่งในสภาวะประหลาด ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นรอบๆตัว กลับเป็นราชายุงที่มีเจตนาจะกักขังเซียนไว้ที่นี่
หากลี่หยวนเล่ยและคนอื่นๆมีเจตนาจะสังหารหรือใช้พลังดั้งเดิม หวังหลินคงตื่นขึ้นมาทันที อย่างไรก็ตามชีวิตของลี่หยวนเล่ยและคนอื่นๆตกอยู่ในกำมือหวังหลิน ดังนั้นจึงไม่กล้าวู่วามปลดปล่อยจิตสังหารหรือใช้พลังดั้งเดิมอันใด พวกเขากังวลว่าจะทำให้พวกอสูรยุงรอบตัวโกรธเกรี้ยว
เป็นผลให้พวกเขาทำได้แค่รอเท่านั้น
“วิชาที่สองจะขอตั้งชื่อว่า ห้วงเวลา…” ในความคิดหวังหลิน เขากำลังนั่งอยู่บนประตูหินและดูเหมือนกำลังพูดคุยกับหวังผิง แต่ไม่ได้มีใครได้ยินเสียงเขา ในความคิดเขามีเพียงเสียงเดียวคือเสียงของคลื่นกระแทก ผ่านไปสักพักหวังหลินค่อยๆยกแขนขวาขึ้นมาและค่อยๆโบกสะบัด
ทันใดนั้นคลื่นทะเลพลันเคลื่อนไหวและเริ่มโหมกระหน่ำรุนแรง ท้องทะเลปั่นป่วนและแพร่กระจาย
ตอนที่หวังหลินสะบัดมือในความคิด ลี่หยวนเล่ยและพรรคพวกรู้สึกถึงคลื่นกระแทกอันรุนแรงแพร่กระจายออกมาได้ทันที พวกเขาไม่มีพลังอำนาจพอจะต่อต้านและถูกห่อหุ้มอยู่ในโลกประหลาดทันที
ทุกคนรวมถึงลี่หยวนเล่ยรู้สึกเพียงแต่ภาพทัศนวิสัยพร่ามัว เมื่อได้สติอีกครั้งทุกอย่างยกเว้นประตูหินได้หายไปแล้ว ประตูบานนี้ตั้งตระหง่านทะลุยอดฟ้าจนไม่เห็นยอดมันเลย
กลิ่นอายโบราณแพร่กระจายออกมาจากประตูหินและเปลี่ยนกลายเป็นพลังเหนือจินตนาการให้พวกเขาจมเข้าไป หากเทียบกลิ่นอายนี้ ลี่หยวนเล่ยและพรรคพวกเป็นเหมือนเรือโดดเดี่ยวในคลื่นสมุทรอันรุนแรง พวกเขาดูบอบบางยิ่งนัก
“ห้วงเวลา…” น้ำเสียงเก่าแก่ดังสะท้อนอยู่ในโลก คล้ายจะแฝงกระแสเวลาเอาไว้ดุจโผล่ออกมาจากยุคแรกเริ่ม เมื่อมันเข้าสู่หูของแต่ละคน ราวกับน้ำเสียงนั้นมีประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงหลายหมื่นหลายแสนปี
ลี่หยวนเล่ยและพรรคพวกทั้งหมดสั่นเทา ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง ความทรงจำที่แตกต่างกันดังสะท้อนในความคิดและแทนที่ทุกอย่าง
เวลาผ่านไปหนึ่งลมหายใจ ราวกับลี่หยวนเล่ยและพรรคพวกผ่านไปร้อยปี!
ความทรงจำแต่ละคนไหลไปตามความคิดอย่างรวดเร็ว ร้อยปีผ่านไปในหนึ่งลมหายใจ จากนั้นเวลาก็ค่อยๆผ่านไป สองร้อยปี สามร้อยปี ห้าร้อยปี…จนกระทั่ง…หนึ่งพันปี
หนึ่งพันปีผ่านไปในเวลาสิบลมหายใจ ความทรงจำแต่ละคนแล่นผ่านความคิดจนกระทั่งหยุดลงเมื่อพันปีก่อน พวกเขาคล้ายกับได้กลับไปเมื่อพันปีก่อนในความทรงจำ
พันปีก่อนระดับบ่มเพาะแต่ละคนไม่ได้สูงส่งเท่าตอนนี้ ขณะที่ความทรงจำไหลไป ระดับบ่มเพาะขั้นชำระสวรรค์สูงสุดจากร่างลี่หยวนเล่ยดูเหมือนจะถดถอยและกลายเป็นระดับกลาง!
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่ทุกคนรอบตัวต่างก็ระดับบ่มเพาะผ่านไป พอเวลาผ่านไปสิบลมหายใจ ระดับบ่มเพาะแต่ละคนจึงกลับไปยังเมื่อพันปีก่อน
เซียนหนึ่งในนั้นเคยบาดเจ็บสาหัสและต้องปิดด่านบ่มเพาะเป็นร้อยปีเพื่อฟื้นคืน ตอนนี้ยามที่ความทรงจำหวนกลับมา ร่างกายสั่นเทา วิญญาณดั้งเดิมอ่อนแอ อาการบาดเจ็บเหมือนดังเช่นเมื่อพันปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยน!
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้ตระหนักเรื่องพวกนี้เลย แววตาแต่ละคนยังคงงุนงงและไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนเอง ราวกับพวกเขาได้กลับไปเมื่อพันปีก่อนจริงๆ
เวลายังคงไหลไป หนึ่งลมหายใจ หนึ่งลมหายใจ…
ความทรงจำของลี่หยวนเล่ยและคนอื่นๆค่อยๆหวนกลับมาอีกครั้ง ร้อยปี ห้าร้อยปี…อีกหนึ่งพันปี!
ความทรงจำสองพันปีได้กลับมาหาพวกเขา ราวกับนักอ่านได้อ่านไปแล้วถึงหน้าที่หกของหนังสือ แต่สายลมอ่อนโยนพัดหน้ากระดาษให้กลับไปยังหน้าที่สาม
ร่างลี่หยวนเล่ยสั่นเทาพร้อมกับสายตางุนงงสับสน เขาไม่สามารถทะลวงออกมาได้เนื่องจากระดับบ่มเพาะตกลงไปที่ขั้นส่องสวรรค์สูงสุด เซียนหนึ่งในนั้นด้านข้างเขาเป็นหญิงเยาว์วัยซึ่งบ่มเพาะมานานมากในกลุ่ม อย่างน้อยก็สามพันปี การเปลี่ยนแปลงของนางเห็นชัดที่สุดเนื่องจากนางย้อนกลับจากขั้นสองไปสู่ขั้นเทวะ
หากเวลาย้อนกลับไปอีกพันปี นางคงหายไปจากโลกราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่เลย
กาลเวลายังคงย้อนคืน ทุกอย่างสับเปลี่ยนระหว่างความจริงและภาพมายา แต่ดูเหมือนเพียงแค่หวังหลินคิด ทุกอย่างก็จะคงอยู่ไปชั่วกาลนาน
โชคดีที่เขาไม่ได้ปล่อยไปต่อ เมื่อถึงลมหายใจครั้งที่สิบสอง หวังหลินลืมตาขึ้น คล้ายจะเข้าใจกฎที่อธิบายไม่ได้ แต่จับต้องได้
“ไร้สาระ!” ชั่วขณะที่หวังหลินลืมตา เขาเห็นคนที่ถูกนำเข้ามาในความคิดด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ร่างดั้งเดิมพวกเขาอยู่ในแดนสวรรค์วายุ
หวังหลินขมวดคิ้วเล็กน้อยพลันสะบัดแขนเสื้อ โลกสั่นเทา ลี่หยวนเฟยและคนอื่นๆสั่นสะท้าน สองพันปีที่หายไปกลับคืนมาในพริบตา พวกเขาตื่นขึ้นและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว รู้สึกเหมือนพึ่งฝันไปแต่ความฝันช่างเหมือนจริงจนเหงื่อเย็นเฉียบชุ่มไปทั้งตัว
ราชายุงร้องออกมาราวกับมันตระหนักได้ว่าพึ่งทำอะไรผิดพลาดไป มันเลื่อนปากมาหาหวังหลิน ในความคิดมันในเมื่อเจ้านายกำลังฝึกฝน หวังหลินคงอยากจะหาใครมาทดสอบ มันจึงบังคับให้พวกลี่หยวนเล่ยมาอยู่ที่นี่
จังหวะที่หวังหลินลืมตาขึ้นมาทำให้ลี่หยวนเล่ยและคนอื่นๆตื่นขึ้นและกลับคืนเวลาที่หายไปสองพันปี ดวงตาของชายชราในหุ่นหินซึ่งอยู่ในส่วนลึกของแดนสวรรค์จึงเกิดการส่องประกาย
“เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดา!”
……………………………….