1261. หายนะจากสำนักเทพเจ้า
จ้าวสำนักอมตะสังเกตท่าทางหวังหลินจึงยิ้มออกมา “ภูเขาแห่งนี้ชื่อว่า หลู่ซู่ ลือกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีกระบี่ตกลงมาแทงใส่พื้นดินกลายเป็นภูเขาลูกนี้!”
“เป็นชื่อที่ดี! ข้าสงสัยจริงว่าใครเป็นคนตั้ง” หวังหลินไม่เผยอาการตกตะลึงทางสีหน้าแต่มีความปั่นป่วนขึ้นในใจ สิ่งที่เขาตกตะลึงไม่ใช่เพราะภูเขาปลดปล่อยเจตนากระบี่ออกมา แต่เขาค้นพบสิ่งที่คล้ายกับความทรงจำของตู่ซือตอนที่หลอมตรีศูลและโยนสมบัตินั้นทิ้งไปจนควบแน่นวิญญาณสมบัติ
ขณะที่เข้าไปใกล้ภูเขาลูกนี้ หวังหลินพลันสัมผัสได้อย่างเลือนลางว่าดาวแห่งเทพโบราณที่ซ่อนอยู่ตรงกลางหน้าผากกำลังหมุนติ้ว
“ชื่อของมันถูกจ้าวสำนักรุ่นแรกของสำนักอมตะเป็นคนตั้งให้ เขาใช้เวลาสุดท้ายในชีวิตบนภูเขาลูกนี้และทำความเข้าใจเต๋าแห่งความฝัน ในความฝันเขาเห็นกระบี่ยักษ์ตกลงมาเปลี่ยนกลายเป็นภูเขา ทั้งยังได้ยินเสียงทรงอำนาจดังกึกก้องเพียงแค่สองคำ ‘หลู่ซู่’ ” คนที่อธิบายออกมาเป็นผู้อาวุโสระดับสูงและพอได้ยินเช่นนั้นแววตาจึงเต็มไปด้วยความเคารพยกย่อง
“หลู่ซู่…หลู่ซู่…หลู่ซู่!” แสงประหลาดจากแววตาหวังหลินค่อยๆสงบนิ่งลง แต่ความคิดเขาเกิดความตกตะลึงนับสิบเท่า ร้อยเท่า พันเท่า!
“หลู่ซู่” เป็นคำที่ได้ยินง่ายแต่ “หลู่ซู่” ในภาษาเทพโบราณมันหมายถึงอย่างอื่น!
แปลอย่างตรงตัวเลยมันควรจะหมายถึงกระบี่ที่ถูกหลอมขึ้นจากดวงดาว!
หวังหลินระงับอาการตกตะลึงไว้ในใจ ยิ่งเข้าใกล้ภูเขาก็ยิ่งสัมผัสกลิ่นอายเทพโบราณได้ชัดเจน หากเขาไม่ใช่เทพโบราณสายเลือดราชวงศ์ มันแทบไม่สามารถตรวจพบได้!
เพราะมันมีกลิ่นอายของเทพโบราณสายเลือดราชวงศ์ด้วย!
กลิ่นอายนี้คงอยู่มานานหลายชั่วอายุคน มันเก่าแก่ยิ่งกว่าของตู่ซือเสียอีก! สิ่งที่หวังหลินตกใจก็คือกลิ่นอายนี้อ่อนแอมานานหลายปี หากเขาไม่ได้เข้ามาใกล้ ณ เวลานี้คงไม่สามารถตรวจพบมันได้ทันที
นี่นับว่าเป็นเรื่องจริงเพราะต้าเสินก็มาที่ทะเลเมฆาแต่เขาก็ตรวจไม่พบอะไร
ตอนที่ฝ่าเท้าหวังหลินเหยียบไปบนภูเขา หวังหลินรู้สึกว่าภูเขากำลังสั่นสะเทือน ราวกับการมาถึงของเขาทำให้วิญญาณกำลังตื่นขึ้นมาช้าๆ
วิญญาณดวงนี้ปลดปล่อยสัมผัสแห่งความอ้างว้างโดดเดี่ยว ราวกับมันถูกฝังอยู่ที่นี่มานานมาก…นานเกินไป…
หวังหลินสูดลมหายใจลึกและระงับอาการตื่นตกใจ เขาเข้าไปที่อารามบนยอดภูเขาพร้อมกับจ้าวสำนักและผู้อาวุโสระดับสูง
ข้างในอาราม สัมผัสการตื่นของวิญญาณยิ่งรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามนอกจากหวังหลินแล้วไม่มีใครสามารถตรวจจับมันเจอได้ พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังดั้งเดิมและพลังปราณสวรรค์ในพื้นที่หนาแน่นขึ้นเท่านั้น
หลังจากถูกกลิ่นอายของวิญญาณพุ่งเข้ามาใส่แล้ว ดวงดาวเทพโบราณบนหน้าผากหวังหลินหมุนติ้วเร็วยิ่งขึ้น ดาวดวงที่หกซึ่งเขาทำลายไปอย่างไม่คาดคิดในดินแดนเจ็ดสีได้เผยท่าทีจะครบดวง!
การค้นพบนี้ได้ทำให้หวังหลินก้มศีรษะลงเพื่อซ่อนอาการตกใจ
โชคดีที่จ้าวสำนักและผู้อาวุโสไม่ได้สนใจมากนัก อีกทั้งหวังหลินก็ได้รับการยอมรับ ดังนั้นทั้งสองจึงถอยออกมา
หลังจากนั่งลง เหล่าศิษย์ของสำนักอมตะนำชาออกมาและจากไปอย่างนอบน้อม
จ้าวสำนักอมตะครุ่นคิดและเอ่ยขึ้น “สำนักอมตะของเรามีวิญญาณหยินสุดขั้วตามที่สหายเซียนหลิวพูดถึงไว้จริงๆ แต่ส่วนใหญ่พวกมันกระจัดกระจายและถูกสำนักสาขาบ่มเพาะ พวกมันไม่ได้เป็นของสำนักอมตะซะด้วยซ้ำและถูกสำนักเทพเจ้ามอบมาให้ พวกเขามอบมาให้เพื่อให้เราบ่มเพาะในนามของสำนักเทพเจ้า”
หวังหลินหยิบชาขึ้นมาจิบพลางปกปิดความตกตะลึงในใจ เขารู้สึกว่ายิ่งอยู่ที่นี่นานยิ่งดีสำหรับเขา แต่เขาก็รู้สึกอีกเหมือนกันว่ายิ่งอยู่นานเกินไปย่อมทำให้บางคนสังเกตบางอย่างได้
เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่ากลิ่นอายที่กำลังตื่นขึ้นมามันยิ่งรุนแรงราวกับน้ำกำลังเดือด เขากลัวว่าอีกไม่นานคนอื่นๆจะสัมผัสมันได้ด้วย!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนในขั้นทะลวงสวรรค์ซึ่งมีสัญญาณการรับรู้ที่ดีกว่า หากกลิ่นอายในภูเขากำลังหลับใหล พวกเขาอาจจะไม่รู้ แต่หากเกิดความปั่นป่วนขึ้นมามันคงมีพิรุธแน่นอน
‘กระบี่แบบไหนกันถึงถูกซ่อนในภูเขานี้ และเทพโบราณขั้นไหนถึงยอมแลกหนึ่งดาวของตัวเองเพื่อหลอมกระบี่เล่มนี้!?’ หวังหลินวางถ้วยชาลงและเงียบขรึม
“เหล่าวิญญาณหยินสุดขั้วที่สหายเซียนหลิวต้องการนั้นมีประโยชน์ในการฟื้นฟูจริงๆ แต่…” พอเห็นหวังหลินเงียบ จ้าวสำนักและผู้อาวุโสระดับสูงมองหน้ากันเอง ผู้อาวุโสลังเลอยู่เล็กน้อยและเอ่ยขึ้นมา “ในเมื่อสหายเซียนหลิวต้องการใช้มันเพื่อฟื้นฟู เช่นนั้นข้าคิดเห็นสมควรที่จะจัดหามาให้…”
ไม่ใช่ว่าทั้งสองไม่สงสัยจุดประสงค์ของหวังหลิน แต่วิญญาณหยินสุดขั้วและวิญญาณหยางสุดขั้วนั้นเหมาะต่อการฟื้นฟูจริงๆ พวกเขาทั้งยังเห็นอาการบาดเจ็บของหวังหลินได้ชัดเจน
ซึ่งทำให้แม้จะสงสัยแต่ความสงสัยนี้ไม่มีน้ำหนักมากนัก พวกเขาเห็นวิชาของหวังหลินแล้วและพบว่าเขาลึกลับมาก บางทีเม็ดยาก็ไม่อาจช่วยเขาให้ฟื้นฟูได้เต็มที่
จ้าวสำนักขบคิดเล็กน้อยและค่อยๆเอ่ย “ช่างมันเถอะ หลังจากสำนักเทพเจ้ามอบเหล่าวิญญาณหยินสุดขั้วให้ พวกเขาไม่เคยเรียกเก็บมันกลับคืนเลยและค่อนข้างมีเก็บไว้จำนวนมาก การมอบให้สหายเซียนหลิวบางส่วนก็คงดีไม่น้อย”
เป้าหมายของคำพูดเขาเพื่อบอกให้หวังหลินรู้ว่าความต้องการของหวังหลินนั้นไม่ใช่ของธรรมดา โดยพื้นฐานแล้วเป็นค่าบรรณาการให้แก่สำนักเทพเจ้า
แม้จะไม่ได้เคร่งครัดเหมือนที่จ้าวสำนักพูด แต่มันก็เป็นเรื่องจริง
หวังหลินเผยท่าทีขอบคุณพลางมองทั้งสองคนและคำนับฝ่ามือ “เพื่อช่วยข้าฟื้นฟู ท่านทั้งสองถึงกับยอมจ่ายค่าบรรณาการให้กับสำนักเทพเจ้า ข้าขอขอบคุณพวกท่านในเรื่องนี้และจะทุ่มสุดตัวในการแข่งขันระหว่างสำนักระดับแปดแน่นอน!”
ขณะที่พูดขึ้น กลิ่นอายเทพโบราณเข้าไปในร่างเขาอย่างบ้าคลั่งผ่านฝ่าเท้าเข้าหากลางหน้าผาก ทำให้ดวงดาวที่หกซึ่งแตกสลายไปแล้วก่อตัวขึ้นมาใหม่อย่างรรวดเร็ว
จ้าวสำนักอมตะพยักหน้าและยิ้มให้หวังหลิน ยื่นฝ่ามือออกไปและนำหินหยกอกมาสลักข้อความไว้ข้างใน จากนั้นหินหยกเริ่มเผาไหม้ เขาโยนมันลอยออกไปไกลทันที
“สหายเซียนหลิวรออยู่ที่นี่สักพัก ข้าสั่งการให้คนไปนำวิญญาณหยินสุดขั้วมาแล้ว”
หวังหลินพยักหน้าและยกดื่มน้ำชาอีก เขารอตามที่จ้าวสำนักพูด แม้จ้าวสำนักอยากให้เขาออกไป เขาก็จะพยายามหาทางอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้
เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆแค่นี้ ดวงดาวที่หกตรงกลางหน้าผากเริ่มแสดงอาการก่อตัวเป็นวังวน ขณะที่พลังเทพโบราณเข้าสู่ตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง หวังหลินรู้สึกได้ชัดเจนว่ากลิ่นอายที่น่ากวาดกลัวนั่นมาจากกระบี่ที่หลอมขึ้นมาจากดาวเทพโบราณ
‘มันทำให้ดาวของข้าแสดงอาการฟื้นตัวได้ในชั่วระยะเวลาอันสั้น หรือดาวที่ใช้สร้างกระบี่จะมาจาก…เทพโบราณสายเลือดราชวงศ์ระดับเก้าดาว?’ หวังหลินวางถ้วยชาลงและระงับความตื่นเต้น
บนดาวเคราะห์เซียนอีกดวง ภายใต้คำสั่งของเฟิ่งไฮ่และผู้อาวุโสคนอื่นๆ เหล่าเซียนเกือบแสนคนกระจัดกระจายกันไปในแต่ละสำนักเพื่อหาที่พักของตนเอง ส่วนสำนักต้นกำเนิด เฟิ่งไฮ่รับผิดชอบในการเลื่อนตำแหน่งพวกเขามาที่สำนักระดับเจ็ด
ขณะเดียวกันค่ายกลทรงพลังเปิดใช้งานรอบดวงดาว ไม่มีใครสามารรถออกไปจากที่นี่ได้โดยไร้ป้ายสิทธิ์ แต่การเข้ามาจะไม่มีปัญหาอันใด
หลี่เฉียนเหมยเดินทางไปพร้อมกับคนของสำนักต้นกำเนิด นางยืนอยู่บนสนามในท้องฟ้าอันมืดมิด มองดูท้องฟ้า รอคอยการกลับมาของหวังหลิน
มู่ปิงเหมยยืนอยู่เงียบๆตัวคนเดียวห่างจากตำแหน่งสำนักต้นกำเนิดไปหมื่นฟุต แสงจันทราสาดส่องบนร่างอันโดดเดี่ยวทำให้นางดูอ้างว้าง นางกัดริมฝีปากรอคอยเหมือนหลี่เฉียนเหมยที่รอคอยหวังหลิน นางมีบางอย่างอยากจะพูดกับหวังหลิน บางอย่างที่นางต้องพูด…
เช่นเดียวกัน ห่างไกลออกไปจากเขตระดับแปด ลึกเข้าไปภายในเขตระดับเก้าซึ่งมีหมอกปกคลุมอย่างหนาแน่น มีดาวเคราะห์เซียนดวงยักษ์อยู่ภายในนั้น มีปราสาทหลังหนึ่งที่ปลดปล่อยกลิ่นอายน่าเกรงขามและมีเด็กหนุ่มนั่งอยู่ข้างใน
เด็กหนุ่มคนนี้มีผิวสีขาวซีด เส้นผมสีขาว ดวงตาเปิดปิดพร้อมส่องประกาย เบื้องหน้ามีหินหยกเจ็ดก้อนลอยอยู่ แต่ละคนมีชื่อสลักเอาไว้ และหยกก้อนที่สามมีชื่อสลักไว้ว่า “หลิวจื่อฮ่าว!”
เด็กหนุ่มยกแขนขวาขึ้นมาชี้ใส่หินหยกแต่ละก้อน จนสุดท้ายชี้ใส่ก้อนที่ชื่อ “หลิวจื่อฮ่าว”
“ตั้งแต่ที่ข้าสัมผัสกลิ่นอายของนายท่านได้ ข้าใช้พลังของสำนักเทพเจ้าเพื่อค้นไปในทะเลเมฆา มองหาคนที่น่าสงสัย ข้าพบอยู่เจ็ดคน! หลังจากพิจารณาแต่ละคนแล้ว มีเพียงหลิวจื่อฮ่าวคนนี้ที่มีเศษเสี้ยว…” ในแววตาเด็กหนุ่มผมขาวกะพริบจิตสังหาร
วินาทีนั้นเขาขมวดคิ้วพลางยื่นมืออกไป เปลวเพลิงเริ่มเผาไหม้ หินหยกก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นในเปลวเพลิง มันถูกหวังซานซานส่งมาด้วยวิธีพิเศษ
เด็กหนุ่มใช้แขนซ้ายยื่นออกไป เปลวเพลิงประหลาดเข้าสู่แขนเขา ฉากเหตุการณ์ที่หวังหลินทำเอาไว้ในสำนักอมตะได้ปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด!
เดิมทีเด็กหนุ่มนั่งอยู่ แต่หลังจากเห็นสิ่งนี้เขาพลันยืนขึ้นทันที หินหยกเจ็ดก้อนที่สลักชื่อแต่ละคนเอาไว้พลันแตกสลาย ยกเว้น “หลิวจื่อฮ่าว!”
ต้นตอพลังดั้งเดิมที่คล้ายคลึงกับปรมาจารย์ลั่วฟู่แห่งดาราจักรทุกชั้นฟ้า พลันแพร่กระจายออกมาจากเด็กหนุ่มและทำให้สายหมอกรอบๆดาวเคราะห์เซียนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
“เป็นเขา! แม้เราจะฆ่าคนต้องสงสัยไปสักพันคน เราก็ไม่สามารถปล่อยให้คนต้องสงสัยหนีไปได้สักคนเดียว!”
……………………………..