Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1260

Cover Renegade Immortal 1

1260. ส่องบททดสอบแห่งชีวิตและความตาย

ไม่เพียงแค่ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักอมตะจะหวาดกลังจนหมดความคิด แต่เซียนรอบๆเกือบแสนคนก็เช่นเดียวกัน

พลังอำนาจของวิชาแยกราตรีได้ทำให้เซียนทั้งหมดตกตะลึงอยู่แล้ว ดังนั้นคงไม่ต้องกล่าวถึงผลลัพธ์ของการย้อนเวลา ต้องขอบคุณวิชาห้วงเวลาที่ทำให้ชายชราผมขาว รวมถึงเหล่าเซียนทั้งหมดรอบด้านได้ถูกดูดเข้าไปและสัมผัสถึงการย้อนเวลาในหลายระดับ

ความทรงจำมากมายและความตกตะลึงได้ทำให้ทุกคนมองหวังหลินด้วยความหวาดกลัว

เขากลายเป็นคนมีชื่อเสียงเพียงแค่หนึ่งการต่อสู้!

วินาทีนั้นทุกคนต่างก็รู้จักสำนักต้นกำเนิดและหลิวจื่อฮ่าวแห่งสำนักต้นกำเนิด!

ความแค้นในใจเฟิ่งไฮ่ได้สลายไปแล้ว มันถูกความกลัวในจิตใจบังคับให้เตลิดและไม่กล้าคิดอะไรแบบก่อนหน้านี้อีก เขาได้เห็นวิชาแยกราตรีและห้วงเวลาด้วยตัวเอง และแค่นี้ก็ทำให้ศีรษะด้านชาได้แล้ว เขายังรู้ว่าถ้าทั้งสองนั้นมีเป้าหมายมาที่เขา คงจะตายโดยไม่ต้องสงสัย!

เหล่าผู้อาวุโสของสำนักอมตะเองก็มีความคิดคล้ายๆกันกับเขา ทั้งหมดตอนนี้ต่างเงียบงันและมองไปที่ร่างสูงตระหง่านของหวังหลินซึ่งอยู่เหนือสนามประลองที่แตกสลายไปแล้วอย่างหวาดกลัว

ลึกซึ้งและลึกลับ!

เพียงแค่สองคำนี้เท่านั้นจึงจะอธิบายความน่าตกตะลึงของหวังหลินต่อหน้าทุกคนได้ ไม่มีใครรู้ว่าหวังหลินจะมีวิชาอื่นที่ยังไม่ได้ใช้อีกไหม แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้แต่ละคนประทับใจหวังหลินอย่างแรงกล้าได้แล้ว

อีกทั้งข่าวลือเกี่ยวกับเขาก็ได้แพร่กระจายออกมาก่อนหน้านี้ จากนั้นหลังจากเขาปรากฏตัวก็เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเขาเป็นคนที่ทะลวงผ่านเขตระดับห้า ระดับหกและระดับเจ็ดมา ทั้งยังใช้ประทับวิญญาณสงครามของสำนักเทพเจ้า

ทั้งหมดนี้ทำให้หวังหลินเป็นคนที่ล้ำลึกเกินจะคาดคิดและลึกลับในสายตาทุกคน

เกือบทุกคนเชื่อว่าหวังหลินยังไม่ได้แสดงวิชาทั้งหมดและเขายังมีไพ่ตายซ่อนอยู่อีก!

หวังหลินเป็นตัวแทนของสำนักต้นกำเนิด หลังจากนี้จะมีสิ่งหนึ่งหมุนเวียนไปทั่วทะเลเมฆา

เหล่าผู้คนขอไปสู้กับแดนหมอกอสูรแทนที่จะไปตอแยสำนักต้นกำเนิด!

จ้าวสำนักอมตะถอนหายใจออกมา แม้เขาลองประเมินความแข็งแกร่งของหวังหลินไว้สูง ท้ายที่สุดเขาก็ยังอยู่ไกลเกินเอื้อม ไม่ว่าจะเป็นวิชาดัชนีนั่น วิชาแยกวิญญาณดวงดาว วิชาแยกราตรีหรือวิชาแห่งกาลเวลาที่ใช้ในตอนสุดท้าย พวกนั้นเพียงพอจะแสดงความแข็งแกร่งของหวังหลินได้แล้ว

‘คนผู้นี้ต้องเป็นเซียนขั้นทะลวงสวรรค์ แต่เพราะเกิดอาการบาดเจ็บระดับบ่มเพาะจึงตกลง อย่างไรก็ตามวิชาของเขาทำให้สามารถต่อสู้กับผู้อาวุโสระดับสูงได้แล้ว! เขาทั้งยังไม่มีเจตนาร้าย ไม่เช่นนั้นคงจะนำสมบัติออกมาจำนวนมากเพื่อทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อ! สำนักอมตะของข้าต้องเก็บเซียนเช่นนี้เอาไว้…อย่างไรก็ตามการมีเขาอยู่ด้วย สำนักอมตะจะพุ่งทะลวงขึ้นในการแข่งขันกับสำนักระดับแปดแห่งอื่นได้แน่!’

หลิวหยานเฟยมองร่างหวังหลินและเกิดอาการตกใจ แม้แต่นางเองก็ไม่คิดว่าหวังหลินจะแข็งแกร่งขนาดนี้ พอคิดถึงคำพูดของอาจารย์ก่อนตาย หลิวหยานเฟยดวงตาส่องสว่างขึ้นมา

ลั่วหยุนคงมีใบหน้าขมขื่นพลางส่ายศีรษะ เขาคิดว่าระดับบ่มเพาะของตนเองได้เติบโตขึ้นและถึงแม้จะไม่ได้แข็งแกร่งแต่ก็คิดว่าความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ไม่ได้มากมายนัก อย่างไรก็ตามตอนนี้เขารู้ว่าตัวเองผิดพลาดและอาจผิดพลาดไปถึงร้อยปีก่อนแล้วด้วย หากเขาโจมตีไปเมื่อร้อยปีก่อน เขาคงตายไปนานแล้ว

หลี่เฉียนเหมยความคิดสั่นสะท้าน นางมองร่างเบื้องหน้า เมื่อร้อยปีก่อนนางไม่อาจมองทะลุคนตรงหน้าออก นางไม่เข้าใจว่าพลังของเขาเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ได้อย่างไร แต่นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือนางอยู่กับเขาที่นี่

สิ่งสำคัญก็คือนางได้ออกมาจากสำนักมารเพื่อมาเจอคนผู้หนึ่ง และนางเห็นเขาคนนั้น…นั่นก็พอแล้ว

มู่ปิงเหมยกัดริมฝีปาก ทุกครั้งที่นางเห็นหวังหลิน เขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่นางไม่คิดว่าเขาจะแตกต่างกันมากในการบังเอิญเจอกันครั้งนี้

แต่มู่ปิงเหมยเข้าใจว่าทั้งหมดไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับนาง นางรู้ว่าตอนที่พวกเขากล่าวลากันในดินแดนฟ้ากระจ่าง พวกเขากลายเป็นคนแปลกหน้ากันแล้ว แม้จะมาเจอกันก็แค่ผ่านทางเท่านั้น

ดูเหมือนมันเป็นลิขิตจากสวรรค์ที่ทำให้พวกเขาคุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเคยกันไปด้วย ความไม่สนใจระหว่างทั้งสองจะคงอยู่กันไปตลอดกาล

ไม่มีใครตระหนักได้ว่าหวังซานซานจากสำนักเทพเจ้ามีแววตาประหลาดใจที่จ้องหวังหลิน นางค่อยๆนำหินหยกออกมาและบันทึกทุกอย่างเอาไว้เป็นพยาน จากนั้นนางบีบหินหยกให้แตกสลายและหายไปภายในมือ

ด้วยวิธีประหลาดนี้ หวังซานซานจึงส่งต่อทุกอย่างที่นางเห็นให้อาจารย์ในสำนักเทพเจ้าได้ นางทำเช่นนี้โดยไม่มีเจตนาร้าย นางแค่ต้องการส่งข้อมูลนี้ให้กับอาจารย์เพราะนางต้องการแสดงให้อาจารย์เห็นถึงอัจฉริยะของทะเลเมฆา นางคิดว่าอาจารย์จะรับเขาเข้าสู่สำนักเทพเจ้าหลังจากเห็นเรื่องนี้!

อย่างไรก็ตามนางไม่คาดคิดว่าคลื่นลูกใหญ่จะซัดกระหน่ำออกมาตอนที่อาจารย์ของนางได้เห็นสิ่งบันทึกในหินหยกนั่น!

แม้การกระพือปีกของผีเสื้อจะดูค่อนข้างเบา แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันอาจจะก่อเกิดเป็นพายุขึ้นมาก็ได้!

“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ ข้าไม่เคยเห็นวิชาเหมือนที่สหายเซียนหลิวใช้มาก่อนในชีวิต ข้าเชื่อว่าสหายเซียนมีความเข้าใจเรื่องเต๋าอันล้ำลึก ข้าขอชื่นชม!” ชายชราผมขาวก้าวถอยหลัง จากนั้นสีหน้ากลับคืนเป็นปกติ ตอนนี้เขามองหวังหลินเหมือนคนในระดับเดียวกัน

หวังหลินหน้าซีดยิ่งแต่คำนับฝ่ามือด้วยความสงบนิ่งและเอ่ยขึ้นมา “สหายเซียนเมตตาเกินไป”

วินาทีนั้นเสียงหัวเราะดังออกมาจากอัฒจันทร์ จ้าวสำนักอมตะลุกขึ้นยิ้มออกมา เขาเข้ามาใกล้หวังหลินและส่งรอยยิ้ม “ทำไมสหายเซียนหลิวถึงถ่อมตัวขนาดนั้น? ทุกคนต่างก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้แต่ข้าเองก็ชื่นชมวิชาของสหายเซียนหลิวเช่นกัน”

หวังหลินยิ้มคำนับฝ่ามือแต่ไม่ได้พูดอะไร

ชายชราผมขาวมองดูจ้าวสำนักอมตะและเอ่ยขึ้นเบาๆ “เมื่อสหายเซียนหลิวอยู่ที่สำนักต้นกำเนิด มันคงไม่เหมาะสมนักที่พวกเขาจะยังอยู่เขตระดับห้า”

การเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักอมตะ เขาต้องอุทิศตัวเองไปในการบ่มเพาะและไม่เคยถามถึงเรื่องทางโลก การที่เขาขอให้ทางสำนักเลื่อนขั้นเป็นการแสดงเจตนาที่ดีต่อหวังหลินและชดใช้เรื่องการพยายามทดสอบและสั่งสอนหวังหลิน

จ้าวสำนักอมตะยิ้มออกมาและพยักหน้า “ผู้อาวุโสลิ่วพูดถูก สหายเซียนหลิวมาจากสำนักต้นกำเนิด ดังนั้นมันคงไม่เหมาะสมนักที่พวกเขาจะอยู่เขตระดับห้า สหายเซียนหลิวให้สำนักต้นกำเนิดเคลื่อนย้ายไปที่เขตระดับเจ็ดจะว่าอย่างไร?”

หวังหลินคำนับฝ่ามือด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติและยิ้มรับ “หากเป็นเช่นนั้น ข้าต้องขอขอบคุณพวกท่านทั้งสอง”

จ้าวสำนักอมตะสะบัดแขนเสื้อและยิ้มอย่างอบอุ่น “ไม่มีปัญหา เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ ส่วนเรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้านี้…”

“ข้าสามารถเข้าร่วมการแข่งขันของระดับแปดได้ แต่ข้าบาดเจ็บสาหัสและจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู หากท่านสามารถยกมันให้ข้าได้ เมื่อนั้นข้าจะทุ่มสุดกำลังไปในการแข่งขัน!” หวังหลินยิ้มเงียบๆพร้อมกับมองไปที่จ้าวสำนักอมตะ

หลังได้ยินคำพูดของหวังหลิน แม้กระทั่งผู้อาวุโสระดับสูงยังมีท่าทีสนใจและเอ่ยถาม “โอ้? สหายเซียนหลิวต้องการสิ่งใดหรือ?”

“สหายเซียนบอกกล่าวมาได้ ไม่มีอันตรายอันใด ตราบใดที่มันอยู่ภายใต้พลังอำนาจของข้า เมื่อนั้นให้ลืมการแข่งขันระดับแปดไปได้เลย แม้จะไม่มีการแข่งขัน ข้ายินดีช่วยสหายเซียนหลิวฟื้นฟูกำลัง” จ้าวสำนักอมตะยิ้ม

หวังหลินดวงตาส่องสว่างพลันริมฝีปากขยับและส่งข้อความสัมผัสวิญญาณออกไปให้กับทั้งสอง

พอทั้งสองได้ยิน สีหน้าแต่ละคนพลันเปลี่ยนไป พวกเขามองหน้ากันเองและเริ่มขบคิด

“สหายเซียนหลิว ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะจะพูดคุยกัน ตอนนี้การแข่งขันจบลงแล้ว เรากลับไปคุยกันที่หลังภูเขาดีไหม?” จ้าวสำนักดูเหมือนกำลังกังวลบางอย่างและคำนับฝ่ามือ

หวังหลินคำนับฝ่ามือและยิ้มรับ “เมื่อจ้าวสำนักขอ ข้าย่อมเชื่อฟังเป็นธรรมดา”

จ้าวสำนักอมตะยิ้มแย้ม มองกลับไปที่คนบนอัฒจันทร์ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ผู้อาวุโสเฟิ่ง การแข่งขันสิ้นสุดแล้ว เช่นนั้นก็ไปพักผ่อนเถิด แต่การแข่งขันระหว่างสำนักระดับแปดใกล้เข้ามา ดังนั้นเหล่าเซียนที่นี่ได้โปรดพักอีกสักหน่อยเถอะ” จบประโยคน้ำเสียงของจ้าวสำนักกลายเป็นเย็นเยียบและแฝงจิตสังหาร

เพื่อประโยชน์ของการแข่งขันระหว่างสำนักระดับแปดและเพื่อป้องกันข้อมูลเรื่องหวังหลินรั่วไหลออกไป แม้จะต้องขัดใจบางคนไปบ้าง เขาก็ยอมเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล

เฟิ่งไฮ่ดวงตาส่องสว่างและพยักหน้าเข้าใจเจตนาของจ้าวสำนัก

จ้าวสำนักอมตะมองดูหลี่เฉียนเหมย หวังซานซานและมู่ปิงเหมยด้วยความลังเลเล็กน้อย เขาไม่ได้เรียกพวกนางแต่ยิ้มให้หวังหลินและเหาะเหินออกไป

หวังหลินติดตามไปทันที แต่ก่อนจะไปเขามองกลับมา ถอนหายใจแต่ทิ้งไว้แต่เพียงความเงียบ

ผู้อาวุโสระดับสูงเหาะเหินไปกับหวังหลินและอธิบายสำนักอมตะให้หวังหลินฟัง พวกเขาพูดคุยและส่งเสียงหัวเราะ เป็นอารมณ์ที่มีความสุขราวกับเรื่องก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น

สำนักอมตะไม่ได้อยู่บนดาวเซียนดวงนี้ แต่อยู่ที่ไหนสักแห่ง ทั้งสามคนต่างเป็นเซียนทรงพลัง ดังนั้นความเร็วจึงอัศจรรย์ยิ่ง พวกเขาเหาะเหินออกจากดาวหนึ่งไปอีกดาวหนึ่งโดยมีจ้าวสำนักนำทาง ทั้งสำนักค่อยๆปรากฏขึ้นเบื้องหน้า!

สำหรับสำนักระดับแปดนั้น สำนักอมตะคือทั้งดาวเคราะห์เซียน มีสิ่งก่อสร้างโดดเด่นหลายแห่งตั้งขึ้นไปทั่วดวงดาวและมีสี่เหลี่ยมมากมายเต็มไปทั่วพื้น

เมื่อเข้ามาใกล้ หวังหลินสัมผัสถึงเขตอาคมอันทรงพลังจากทั่วทั้งดวงดาวได้ และยังรู้สึกถึงรอยแยกบนดาวเคราะห์หลายร้อยแห่งซึ่งต้องมีอีกโลกซ่อนอยู่ข้างในเป็นแน่!

“มีหลุมอวกาศทั้งหมด 372 หลุม มีอยู่ 111หลุมที่เป็นความว่างเปล่าไร้ขอบเขต ส่วนที่เหลือทั้งหมดเป็นมิติเก็บของหรือไม่ก็เป็นจุดปิดด่านฝึกตนของเซียนทรงพลังในอดีต” ผู้อาวุโสระดับสูงอธิบายให้กับหวังหลิน

ขณะที่พวกเขาเคลื่อนร่างต่อไป ผ่านสิ่งก่อสร้างหลายแห่ง ยามที่ผู้คนพบเจอทั้งสาม ทั้งหมดต่างเผยความเคารพ รีบคำนับฝ่ามือ

ทั้งสามคนเคลื่อนที่เร็วมาก ดังนั้นเพียงไม่นานก็มีภูเขาสูงเสียดฟ้าปรากฏเบื้องหน้าหวังหลิน ภูเขาแห่งนี้ถูกห่อหุ้มอยู่ในสายหมอกและปลดปล่อยสัมผัสคล้ายภูเขาเทพอย่างเจือจาง

ตอนที่เขาเห็นภูเขา พลันเกิดสัมผัสเขตแดนที่เต็มไปทั่วจิตใจหวังหลิน

เขตแดนนี้คือความเข้าใจด้านกระบี่ ราวกับภูเขาลูกนี้ได้กลายเป็นกระบี่ที่สามารถหั่นโลกให้เปิดออกได้!

วินาทีที่เขาเห็นภูเขาลูกนี้ ร่างหวังหลินหยุดชะงัก ดวงตาส่องสว่าง

เขารู้สึกเหมือนพบอะไรบางอย่างอันเลือนลางและความคิดสั่นสะท้าน!

…………………………..

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version