Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 137

Cover Renegade Immortal 1

137. ค่ายกลผนึกแคว้น

หวังหลินเผยใบหน้ายินดีขณะที่เขารับหยกวิเศษชิ้นนั้นมา หยางเสินไม่พูดอะไรต่อ เขาเข้าไปรถศึกฟินิกซ์เพื่อคุยกับเฟิ่งหลวน

หวังหลินไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ เมื่อหยางเสินเข้าไปที่รถศึก เขาก็ออกมาและเข้าร่วมขบวนทัพ

ชายแดนของฮัวเฝินคือซวนหวู่ทั้งเหล่าเซียนและคนธรรมดาทั้งหมดต่างกำลังอพยพครอบครัวตัวเองไปที่ซวนหวู่เหล่าอสูรอัคคีที่เปลี่ยนรูปร่างต่างยากจะโจมตีคนธรรมดาตอนนี้เป้าหมายเพียงอย่างเดียวของพวกมันคือหวังหลิน

เมื่อเวลาผ่านไป อสูรอัคคีเริ่มเปลี่ยนร่างมากขึ้นยิ่งปรากฎด้านหลังเหล่ากองทัพเซียนมากขึ้นแรงกดดันอันหนักหน่วงขึ้นอยู่ในใจทุกผู้คน

มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่ชายแดนฮัวเฝิน หลังจากกองทัพเซียนมาถึงที่นี่หัวหน้าสำนักหลากหลายแห่งและตระกูลเซียนจำนวนมากรวมไปถึงเซียนขั้นผลิดอกทั้งสิบเก้าคนเริ่มปรึกษาหารือเรื่องสำคัญอย่างลับๆ

หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง ร่างสิบเก้าคนเหินไปเหนือแหล่งน้ำหนึ่งในนั้นเป็นเซียนของสำนักลั่วเหอได้ตะโกนขึ้น “หลังจากผ่านการเรียนรู้มานานหลายปีสำนักหั่วเหอของข้ากำหนดว่าที่แห่งนี้เป็นแหล่งอาศัยตั้งแต่โบราณของเหล่าอสูรอัคคีเป็นบ้านเกิดของพวกมัน หากเราวางผนึกไว้ที่นี่มันจะมีผลกระทบกับภูเขาไฟทุกแห่งในฮัวเฝินจากนั้นหากเราใช้ค่ายกลผนึกแคว้นที่เหล่าบรรพชนทิ้งไว้เมื่อหลายพันปีก่อนเราสามารถผนึกอสูรอัคคีพวกนี้ไว้ในแคว้นฮัวเฝิน”

หนึ่งในเซียนขั้นผลิดอกของสำนักมารปิศาจมองไปบนพื้นและเปล่งคำพูด “หากบรรพชนของเราได้เตรียมการไว้แล้วกระไรบรรพชนไม่กวาดล้างมันออกไปแทนที่จะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้เล่า?”

เซียนขั้นผลิดอกทั้งสามคนของสำนักซากศพ แต่ละคนไม่มีโลงศพอยู่ด้านหลังซึ่งนั่นหมายถึงพวกเขาใกล้จะถูกกลืนร่างกายอย่างสมบูรณ์แล้วทั้งสามคนมีท่าทางสงบนิ่งมากที่สุด เหมือนกับว่าไม่มีอะไรให้พวกเขาสนใจซึ่งหากไม่ใช่ความจริงที่ว่าพลังปราณของฮัวเฝินตอนนี้ทำให้พวกเขาไม่อาจฟื้นฟูตัวเองได้พวกเขาคงไม่ต้องมาพัวพันกับการอพยพนี่

บรรพชนซ่งจากเจดีย์เทพสงครามกรอกตาและพูดขึ้น “แม้แต่บรรพชนก็ไม่อาจพยากรณ์ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นเช่นนี้ได้แม้นพวกเขาคาดการณ์ได้ คงไม่สามารถช่วยได้เช่นเดียวกันจึงทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลังเมื่อหนึ่งพันปีก่อนเพื่อให้โอกาสรอดแก่พวกเราสหายเซียน ให้เราเริ่มเถอะ”

หลังจากบรรพชนซ่งพูดจบ เซียนขั้นผลิดอกหกคนรวมถึงหยางเสิ่นและเฟิ่งหลวน ยืนรวมกันในค่ายกลและสร้างผนึกแปลกประหลาดด้วยมือของแต่ละคน

ทั้งหดคนตะโกนออกมาด้วยกันและดอกบัวหกดอกลอยเข้าหาแหล่งน้ำที่มุมทิศตะวันบูรพา(ตะวันออก)ทั่วทั้งแหล่งน้ำสั่นตัวขณะที่ควันคล้ายเมฆสีแดงลอยขึ้นไปในอากาศ

หลังจากนั้นสำนักลั่วเหอ สำนักซากศพสำนักมารปิศาจได้ยิงดอกบัวหลายดอกไปทางทิศทักษิณ(ใต้) ทิศประจิม(ตะวันตก)ทิศอุดร(เหนือ) ตามลำดับ

เสียงคำรามกู่ก้องในแหล่งน้ำขณะที่ควันแดงปรากฎมากขึ้นเรื่อยๆควันแดงรวมตัวกันในสถานที่แห่งหนึ่งและก่อร่างเป็นรูปทรงหลายแบบก่อนจะกลายเป็นวงแหวนกลวงโบ๋คล้ายโดนัท

ขณะเดียวกันนั้นเหล่าเซียนขั้นผลิดอกที่ไม่ได้ทำหน้าที่อะไรกลับยิ้มอย่างขมขื่นพวกเขากระแทกศีรษะตัวเองและวิญญาณเซียนของแต่ละคนปรากฎขึ้นจากนั้นพวกเขาลอยเข้าไปในพื้นที่ว่างในวงแหวนและพำนักอยู่ในนั้น

หนึ่งในเหล่าเซียนของสำนักลั่วเหอตะโกนขึ้น “สหายเซียนอิสระจงกระทำเดี๋ยวนี้! พวกท่านรออะไรอยู่?”

หนึ่งในเซียนขั้นผลิดอกในวงแหวนตอบด้วยน้ำเสียงแหลม “ไม่เป็นไร!เมื่อสำนักหลักทั้งสี่ยินดีที่จะจ่ายเม็ดยาวิญญาณแก่เราถึงเพียงสูญเสียพลังปราณร้อยปีเท่านั้น! ข้าจะทำมัน!” จบคำพูดพลันวิญญาณเซียนสร้างผนึกขึ้นมารูปหนึ่งและพุ่งเข้าไปในควันขณะที่เขาเข้าไปในควันวิญญาณเซียนของเขาหายไปราวกับว่ามันรวมตัวเข้ากับหมอก

เซียนขั้นผลิดอกที่เหลือกัดฟันแน่นและเข้าไป วงแหวนหมอกไม่ได้เปลี่ยนขนาด แต่มีการเคลื่อนไหวพลังปราณภายในนั้น

ค่ายกลผนึกแคว้นที่บรรพชนทิ้งไว้ไม่เพียงแต่ต้องการให้สำนักทั้งสี่แห่งปฏิบัติตามมันยังจำเป็นต้องใช้เหล่าเซียนขั้นผลิดอกเพื่อใช้วิญญาณเซียนของตนเองเพื่อรับประกันว่าผนึกนั้นจะสมบูรณ์แบบ

สีแห่งโลหิตแข็งแกร่งขึ้นและมากขึ้นบนวงแหวนหมอกขณะที่มันลอยสูงขึ้นไปบนอากาศในไม่ช้าวงแหวนได้ขยายตัวออกอย่างรวดเร็วเข้าหามุมทั้งสี่แห่งของแคว้นฮัวเฝิน

ภูเขาไฟทั้งหมดที่วงแหวนสีแดงพาดผ่านได้คายควันแดงออกมา ควันแดงจากภูเขาไฟรวมเข้ากับวงแหวนและมันเพิ่มความเร็วในการขยายตัวขึ้น

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง วงแหวนปกคลุมทั่วทั้งแคว้นฮัวเฝินราวกับชามข้าว ค่ายกลผนึกแคว้นได้เปิดขึ้นสำเร็จ

เมื่อค่ายกลผนึกแคว้นได้เปิดขึ้นมีเพียงคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้นที่เข้าออกได้อย่างอิสระทุกอย่างที่มีพลังปราณและต่ำกว่าขั้นเซียนสร้างวิญญาณไม่อาจผ่านเข้าไปได้

ขณะที่ค่ายกลผนึกได้เปิดขึ้นเซียนขั้นผลิดอกทั้งสิบเก้าคนของสี่สำนักได้จับร่างกายของเซียนอิสระเอาไว้บรรดาเซียนที่มีตระกูลของตนเองจะถูกมอบร่างให้ตระกูลของตนดูแลขณะที่เซียนคนใดที่ไม่ได้สั่งไว้จะถูกพาร่างนำไปกับสำนักลั่วเหอ

เหล่าเซียนหลายคนของสำนักลั่วเหอยืนอยู่ข้างนอกค่ายกลพวกเขาโค้งคำนับและตะโกนขึ้น “เซียนทุกท่านโปรดสบายใจขณะที่ท่านประคองค่ายกลเอาไว้เราสัญญาว่าจะเก็บรักษากายเนื้อของท่านให้ปลอดภัยค่ายกลนี้จำเป็นต้องใช้เวลาเพียงสามเดือนข้าเชื่อว่าเราจะมีแหล่งพักพิงในซวนหวู่เมื่อถึงตอนนั้นข้าเชื่อว่าเมื่อนั้น แคว้นอันดับสูงจะเข้ามากวาดล้างเหล่าอสูรเราจะมาต้อนรับการกลับมาของพวกท่านเป็นการส่วนตัว”

ในขณะที่คำพูดนี้กล่าวขึ้นมา เหล่าเซียนขั้นผลิดอกของสำนักอื่นทั้งสามแห่งโค้งคำนับอย่างจริงใจ

หลังค่ายกลผนึกแคว้นเปิดขึ้นเหล่าอสูรอัคคีคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและกระแทกลงบนม่านพลังสีแดงทุกครั้งที่มันกระแทกลงไปม่านพลังสั่นสะเทือนแต่ไม่มีตัวไหนสามารถเจาะทะลุออกมาได้

ตอนนี้พวกเขาเพียงจัดการหยุดอสูรอัคคีไว้ชั่วคราวกองทัพเซียนได้เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงสุดจนเห็นได้แต่ลำแสงกระบี่เหินมุ่งหน้าไปที่แคว้นซวนหวู่

ที่ชายแดนของแคว้นซวนหวู่มีกองทัพคนธรรมดาบางส่วนพวกเขาเพ่งสายตาไปที่ท้องฟ้าขณะที่กระบี่เหินได้บินข้ามเหนือหัวไม่มีใครรู้ว่าเป็นใครแต่บางคนกรีดร้องและเริ่มโค้งคำนับไปที่พื้นไปทางท้อฟง้าในไม่ช้าทุกคนก็คุกเข่าลงกับพื้น อธิษฐานต่อท้องนภา

มีคนผู้หนึ่งสวมชุดราวกับเซียนภายในเหล่าคนธรรมดา ใบหน้าเขาซีดเผือดขณะที่พึมพำกับตัวเอง “นี่…นี่เป็นเหล่าเซียนจากแคว้นฮัวเฝิน”

เขาสูดลมหายใจอันหนาวเหน็บและก้าวถอยหลังสองสามก้าว แต่ขณะเดียวกันนั้นเสียงหัวเราะน่าขนลุกดังออกมาจากท้องฟ้าหนึ่งในเซียนขั้นแตกหน่อจากสำนักมารปิศาจมาด้วยกระบี่เหินกระบี่สามเล่มแทงผ่านอย่างรวดเร็วไปที่เซียนวัยกลางคน

เซียนวัยกลางคนกรีดร้องอย่างโหยหวนขณะที่ถูกตัดขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

กองทัพมนุษย์แตกสลายในทันที แม้แต่คนธรรมดาที่วิ่งหนีไปได้ไกลที่สุดยังกลัวจะถูกเอี่ยวไปด้วย

กระบี่เหินนับหมื่นพุ่งเข้าแคว้นซวนหวู่ในพริบตาพวกเขาหยุดที่ภูเขาลูกหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยหมอกชายชราคนหนึ่งใบหน้าเศร้าหมองเคลื่อนร่างไปด้านหน้ากองทัพเขาสะบัดมือตัวเองและพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งทุบลงไปบนภูเขา

ลำแสงสีทองหลายเส้นปรากฎขึ้น สร้างเป็นม่านป้องกันการปะทะ

ภายใต้ม่านแสงบางๆมีเหล่าเซียนหลายพันคนพวกเขามองไปที่ท้องฟ้าด้วยความกลัวบนใบหน้าหญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาและตะโกนขึ้น “สหายเซียนจากฮัวเฝินนี่มันหมายความว่าเยี่ยงไร?”

หยางเสินจากเจดีย์เทพสงครามเคลื่อนร่างอย่างสง่างามและปรากฎตัวบนม่านแสงใบหน้าเขาเรียบนิ่งขณะที่จับด้วยมือขวาม่านแสงแตกร้าวทันทีภายใต้แรงกดดันและแตกเป็นเสี่ยงๆ

รูม่านตาของหญิงชราหดเล็กลง เธอตัวกลับและจากไปโดยไร้คำพูดร่างของเธอหายไปและปรากฎตัวห่างไปนับสิบลี้ทว่าก้อนเมฆรวมตัวกันด้านหน้าเธอเป็นรูปร่างของหยางเสินเขาจ้องเธออย่างเยือกเย็นและสะบัดมือไปที่หญิงชราเธอกรีดร้องออกมาขณะที่เธอกระแทกศีรษะตัวเองและวิญญาณเซียนลอยออกมา

ขณะที่วิญญาณเซียนของเธอปรากฎ​ร่างกายของเธอแตกสลายโดยพลังทำลายล้างสายหนึ่ง หญิงชราหวาดผวาเธอเพียงอยู่ที่ขั้นผลิดอกระดับต้นขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเห็นได้ชัดว่าอยู่จุดสุดยอดขั้นผลิดอกระดับกลางมีเพียงสามคนที่อยู่ระดับฝึกตนนี้ในแคว้นซวนหวู่เธอไม่มีจิตใจที่จะต่อต้านจึงต้องการเพียงการเอาชีวิตตัวเองรอดให้ได้

หยางเสินตะโกนขึ้น “เจ้าไม่อาจหนีได้!”

ย้อนกลับมาหากมองข้ามหยางเสิน จังหวะที่ม่านแสงถูกทำลายเหล่าเซียนขั้นสร้างลำต้นและขั้นแตกหน่อของฮัวเฝินโจมตีทันทีพวกเขาสังหารทุกคนที่พบเห็น และในพริบตา ทั่วทั้งยอดเขาปกคลุมไปด้วยโลหิตไม่มีใครมีชีวิตรอด

ภูเขาขนาดใหญ่ตอนนี้ถูกสำนักทั้งสี่ครอบครองอย่างสมบูรณ์ เซียนนับหมื่นตนยืนบนยอดภูเขาพร้อมกับเซียนขั้นผลิดอกทั้งหมดยกเว้นหยางเสิน

ดวงตาของบรรพชนซ่งแห่งเจดีย์เทพสงครามราวกับสายฟ้าน้ำเสียงเต็มไปด้วยจิตสังหารขณะที่ตะโกนขึ้น “สงครามนี้ไม่มีถูกหรือผิดหากเราไม่สามารถตั้งหลักในแคว้นซวนหวู่ภายในสามเดือนเราจะต้องเผชิญหน้ากับอสูรอัคคี เหล่าอสูรอัคคีไม่ได้น่ากลัวสิ่งน่ากลัวคือไม่มีพลังปราณให้ฝึกฝนเซียน!”

“ในวันนี้ เจดีย์เทพสงคราม สำนักมารปิศาจ สำนักลั่วเหอและสำนักซากศพจะกลายเป็นสมาพันธ์ฮัวเฝินศิษย์ทุกคนของสมาพันธ์ฮัวเฝินจะได้รับสมบัติเซียนขั้นแตกหน่อและศิษย์ขั้นแตกหน่อทุกคนจะได้รับสมบัติเซียนขั้นผลิดอก”

“ระหว่างสงคราม ของทุกอย่างที่เจ้าฉกฉวยมาจะเป็นของเจ้าสมาพันธ์จะไม่นำมันมาจากเจ้า เหล่าศิษย์ทุกคน นี่คือสงครามแต่ข้าต้องการให้พวกเจ้าเห็นว่ามันเป็นการรุกรานการรุกรานเพื่อความอยู่รอด!”

เซียนขั้นผลิดอกคนหนึ่งของสำนักลั่วเหอได้กระแอมออกมาและพูดขึ้น “นอกจากสมบัติเซียนแล้วพวกเจ้าแต่ละคนจะได้รับหยกวิเศษที่สามารถใช้บันทึกศัตรูที่เจ้าสังหารได้ใครก็ตามที่สังหารขั้นรวบรวมลมปราณระดับห้าหรือสูงกว่าได้ร้อยคนหรือเซียนขั้นสร้างลำต้นสิบคนจะได้รับของขวัญเป็นหินวิญญาณคุณภาพระดับกลางสิบก้อนใครก็ตามที่สังหารขั้นรวบรวมลมปราณะดับห้าหรือสูงกว่าได้สองร้อยคนเซียนขั้นสร้างลำต้นยี่สิบคนหรือเซียนขั้นแตกหน่อหนึ่งคนจะได้รับรางวัลเป็นเม็ดยาพลังปราณสิบขวด”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version