1433. เขาคือราชันย์จริงหรือ?
หลังเผชิญการดิ้นรนที่คลุมเครือ กลับมีพลังลึกลับที่ทำให้หวังหลินต้องเลือกแต่ก็ไม่เลือกขึ้นมา หวังหลินเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงและจากไป
ปรมาจารย์เต๋าความฝันทำให้หวังหลินเลือกมาครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนวิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรกทำให้หวังหลินเลือกเป็นครั้งที่สอง ตัวอย่างเหล่านี้ทำให้จิตใจแห่งเต๋าเทียบเคียงได้กับปรมาจารย์แห่งยุค
สิ่งสำคัญกว่านั้นหากหวังหลินไม่ได้เข้าไปในความทรงจำของปรมาจารย์ซือโม่และได้เห็นคนที่มีชีวิตคล้ายกันแต่เลือกเส้นทางที่แตกต่าง หวังหลินอาจจะเลือกอยู่…เป็นทาสรับใช้ของราชันย์…คำพูดของราชันย์ได้โจมตีถึงจุดอ่อนของหวังหลิน!
หลังจากออกมาจากเผ่านกกระจอกเพลิง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ล่มสลายได้สร้างเพลิงทำลายล้างเผาผลาญออกไปทุกทิศ เปลวเพลิงทำลายเผ่านกกระจอกเพลิงไปเกือบครึ่ง แสงแห่งเปลวเพลิงเรืองรองด้านหลังหวังหลิน
เสียงดังลั่นออกมาไกลและสั่นสะเทือนพื้นที่ดวงดาวแต่หวังหลินไม่ได้ตื่นจากสมาธิ
จิตใจของเขากำลังฉีกกระชากและเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย
หลังจากผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ ความสับสนในแววตาหวังหลินค่อยๆหายไปและถูกแทนที่ด้วยความเยือกเย็น อาการบาดเจ็บในตัวเขามาถึงจุดที่ต้องฟื้นฟูแล้วไม่เช่นนั้นระดับบ่มเพาะจะถดถอยถาวร
หลังจากบรรลุระดับนี้มาได้ อาการบาดเจ็บธรรมดาจะไม่เป็นปัญหา แต่เมื่อเขาบาดเจ็บสาหัส จะยิ่งเป็นเรื่องสาหัสกว่าที่เห็น หากเขาขาดความระมัดระวังนิดเดียว ระดับบ่มเพาะจะตกลงแน่นอน
โชคดีในฐานะเทพโบราณ การฟื้นฟูร่างกายอยู่ในระดับที่ทรงพลังยิ่งยวด ทำให้เขาแตกต่างกับเซียนธรรมดาคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด อาการบาดเจ็บบางส่วนสำหรับคนอื่นอาจจะใช้เวลาร้อยปีเพื่อฟื้นฟู แต่กับหวังหลินใช้เวลาน้อยกว่านั้น
“หวานเอ๋อร์ เชื่อข้า ข้าจะปลุกเจ้าด้วยตัวเอง…จากนั้นก็ผิงเอ๋อร์ เราจะมีชีวิตอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาสักแห่งที่ไม่มีใครรู้จักและจะอยู่อย่างเงียบๆไปตลอดชีวิต…ข้าเองก็อยากสอนการแกะสลักให้ผิงเอ๋อร์ ส่งต่อการแกะสลักของพ่อ…” หวังหลินพึมพำ เขารู้สึกคิดถึงบ้าน อยากเห็นดาราจักรดวงดาวของบ้านตัวเอง แม้ดาราจักรโบราณจะกว้างใหญ่แต่เขารู้สึกว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
ในดาราจักรดวงดาวอันกว้างใหญ่แห่งนี้ มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ดวงดาวส่องสว่างแต่ไร้ความอบอุ่น มีแต่เพียงความรู้สึกเย็นเยียบ หวังหลินสัมผัสถึงความโดดเดี่ยวรุนแรงได้ในใจ
เขาใช้ชีวิตมาสองพันปีอย่างโดดเดี่ยว เติบโตขึ้นพร้อมกับความโดดเดี่ยว สีหน้าไม่แยแสของเขาไม่ใช่สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาเองอย่างตั้งใจ แต่เป็นการมีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาสองพันปี เขาไม่รู้สีหน้าท่าทางอื่น
เขารู้แต่เพียงสีหน้าไม่แยแส…รอยยิ้มเป็นสิ่งหายาก…สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือความโศกเศร้าที่มิอาจลบเลือนไปภายใต้สายตานี้ มันคือความโศกเศร้าที่อยู่กับเขามา ตลอดชีวิต
ยิ่งรู้สึกขมขื่น อาการบาดเจ็บของหวังหลินก็ยิ่งย่ำแย่ เขาตะเกียกตะกายก้าวเท้าออกไปและผสานกับโลกด้วยวิชาบิดมิติ ข้ามผ่านระยะที่มิอาจวัดได้ จากนั้นปรากฏตัวด้านนอกดาวเคราะห์ร้างแห่งหนึ่ง
บางทีดาวเคราะห์เซียนแห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยรุ่งโรจน์ หรือบางทีเซียนทรงพลังอาจจะถือกำเนิดขึ้นที่นี่ แต่อย่างไรตอนนี้อดีตของมันได้ผ่านไปดุจสายลม เหลือทิ้งไว้เพียงเศษหินและเหล่าเมืองไร้พลังปราณ
เหมือนกับชายชราที่มาถึงจุดจบของชีวิต ดิ้นรน ไขว่คว้า ไม่ยอมแพ้จนถึงลมหายใจสุดท้าย ทางด้านทิศตะวันออกของดวงดาวตกอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง สายลมฤดูใบไม้ร่วงนั้นหนาวเย็นและค่อยๆพัดผ่าน ใบไม้ใบหญ้ากลิ้งม้วนกันอยู่บนพื้น สีเหลืองแต่งแต้มราวกับจุดบนใบหน้า ปลดปล่อยความรู้สึกอันเหล่าเปลี่ยว
ใบไม้ลอยล่องอยู่ในสายลม มองเห็นแม่น้ำไกลอยู่ระหว่างใบไม้ ร่างสีขาวร่างหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆแม่น้ำ ยอมให้ใบไม้สีเหลืองปลิวผ่านไป
หวังหลินมองดูผิวแม่น้ำ บางครั้งใบไม้ก็ถูกสายลมส่งมาที่นี่และลอยอยู่บนแม่น้ำ หลังจากพวกมันเปียกแล้วจึงลอยออกไปไกล
สายลมนำพาพวกมันเข้าไปในน้ำ พวกมันไม่มีวันกลับมาที่บ้านเกิดอีก พวกมันคงถูกส่งไปในสถานที่ไม่รู้จักและบางทีหลังจากผ่านไปสองสามฤดูจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำ หากพวกมันมีวิญญาณ บางทีวิญญาณนั้นคงลอยออกจากแม่น้ำและกลับสู่บ้านเกิด
แม่น้ำสะท้อนร่างหวังหลินและภาพลักษณ์ของเขาอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าซีดเผือด สายตาไม่แยแส ความเศร้าในสายตาทั้งหมดูเหมือนรวมเข้ากับแม่น้ำและลอยออก ไปไกล
หวังหลินพึมพำเบาๆ “ถึงเวลากลับบ้าน…”
มีหนทางกลับบ้านอีกแห่งหนึ่งนอกเหนือค่ายกลดินแดนปิดผนึก มันคือหินหยกที่สตรีลึกลับในรอยแยกอวกาศของเขตระดับเก้าแห่งดาราจักรทะเลเมฆามอบมาให้
ตอนนั้นนางบอกว่านางอยากช่วยเขาสำรวจสถานที่หนึ่งและจากนั้นมอบหินหยกนี้ให้มา เมื่อเขาใช้หินหยกนี้จะกลับมาได้ด้วยรอยแยกอวกาศ
หวังหลินศึกษาหินหยกมาหลายครั้ง มีเขตอาคมข้างในหลายอย่าง บางส่วนเขาก็มองไม่ออก
ดูเหมือนเขตอาคมหลายอย่างข้างในไม่ใช่สิ่งที่เซียนในโลกนี้จะเชี่ยวชาญได้ ดูเหมือนจะมาจากอีกโลกหนึ่ง
อย่างไรก็ตามหวังหลินเป็นปรมาจารย์ด้านเขตอาคม แม้จะไม่สามารถมองทะลุทั้งหมดได้อย่างสิ้นเชิง แต่เขาสามารถบอกได้กว่าเจ็ดในสิบส่วนว่าหินหยกนี้จะส่งเขากลับไปในรอยแยกอวกาศ!
หวังหลินถือหินหยก ไม่ได้เปิดมันแต่วางกลับไปในมิติเก็บของ มันต้องการพลังจำนวนหนึ่งเพื่อเปิดใช้งาน แต่นี่เป็นทางเลือกรอง สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือเขาไม่อยากปรากฏตัวเบื้องหน้าหญิงสาวลึกลับด้วยสภาวะปัจจุบัน
หลังจากขบคิดชั่วครู่ หวังหลินมองไปบนท้องฟ้าสีครามและพึมพำกับตัวเอง
“เขาคือราชันย์จริงหรือ…”
หลังจากทำร้ายชายวัยกลางคนในเพลิงเจ็ดสีให้บาดเจ็บสาหัส ชายคนนั้นยอมรับว่าเขาคือราชันย์ แต่อย่างไรก็ตามหลังจากสงบนิ่งลงแล้ว หวังหลินอดไม่ได้ที่จะสงสัย
ระดับบ่มเพาะของคนผู้นั้นทรงพลังมาก เขาสามารถต่อสู้กับจิตวิญญาณดั้งเดิมวิหคศักดิ์สิทธิ์ได้และใช้วิชาตกจันทราในบ่อน้ำ รู้จักเรื่องราวของปรมาจารย์ซือโม่ รู้จักเรื่องของหวังหลินและทั้งหมดนี้ทำให้เขากลายเป็นราชันย์จอมวางแผน
‘การบ่มเพาะของเขาคือเพลิงและมีวิหคศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสี เขาควรจะเป็น วิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่สามผู้ทรยศ…แต่เขาใช่ราชันย์จริงหรือ…’ เหตุผลที่หวังหลินคาดเดาว่าวิหครุ่นที่สามคือราชันย์เพราะราชันย์เป็นคนที่ลึกลับที่สุดในดาราจักรโบราณ ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่เผ่าไหน!
นอกจากนี้ในดินแดนวิญญาณปีศาจ หวังหลินเคยเจอคนผู้หนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็พบว่าคนผู้นี้คือศิษย์ของราชันย์! เขาใช้วิชาเปลวเพลิง!
วิชาเปลวเพลิงไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะใช้งานขึ้นมาได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ใกล้จะบรรลุขอบของแก่นแท้เพลิง
ทั้งหมดนี้ทำให้หวังหลินคาดเดาได้ดี ผสมกับเบาะแสอื่นๆหวังหลินจึงมั่นใจว่าวิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่สามคือราชันย์!
เพราะเหตุนี้สภาราชันย์จึงรู้เรื่องความจริงของดินแดนตกสวรรค์และไม่กล้าทำอะไร!
อย่างไรก็ตามหลังจากเห็นราชันย์ด้วยสองตา หวังหลินจึงเกิดความสงสัย
“ครั้งหนึ่งฉิงหลินได้บอกว่าแก่นแท้ของราชันย์คือแก่นแท้ต้นกำเนิด! แต่คนผู้นั้นไม่เคยใช้กฎแห่งต้นกำเนิด…สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือราชันย์บ่มเพาะมานานหลายหมื่นปี เขาเจ้าเล่ห์มากและวางแผนต่อดินแดนชั้นในหลายครั้ง ชายวัยกลางคนที่ยอมรับว่าเป็นราชันย์ดูเหมือนไม่ได้มีกลิ่นอายของคนแบบนั้น…ราวกับจริงๆเขาไม่ได้แข็งแกร่ง…”
หวังหลินขมวดคิ้ว หลังจากขบคิดเล็กน้อยยังไม่รู้คำตอบ เขาถอนหายใจและไม่คิดเรื่องนี้อีก จากนั้นนำเม็ดยาที่เหลือออกมากลืนกินทั้งหมด หลับตาลงและเริ่มบ่มเพาะ
สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่าน ร่างหวังหลินค่อยๆพร่ามัวราวกับเขาผสานเข้ากับสิ่งรอบด้าน แม้จะมีเซียนมาที่นี่คงไม่สังเกตว่ามีคนกำลังนั่งอยู่ข้างทะเลสาบ
สามวันผ่านไปในพริบตา วิญญาณดั้งเดิมที่บาดเจ็บสาหัสของหวังหลินไม่ได้ดีขึ้นเลยแต่ไม่เลวร้ายลง อย่างไรก็ตามอาการบาดเจ็บทางกายภาพส่วนใหญ่ฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว
หากไม่สนวิชาของเขา ด้วยพลังเทพโบราณหกดาว เขามีพลังเทียบกับตอนเต็มที่อยู่แค่ห้าในสิบส่วน หวังหลินรู้ว่าเขามีเวลาสั้นๆ เขาบาดเจ็บสาหัสจากคนที่คาดว่าจะเป็นราชันย์และต้องเกิดคลื่นลูกใหญ่ในดาราจักรโบราณเป็นแน่ ตอนนี้มีคนกำลังไล่ล่าเขาแน่นอนและยังมีค่าหัวด้วย
ส่วนดินแดนตกสวรรค์ มันถูกคนอื่นๆปิดผนึกไปแล้ว หากเขาเร่งรีบกลับตอนนี้คงไม่สามารถเข้าไปได้และตกเข้าไปในกับดัก
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อฟื้นฟูระดับบ่มเพาะ
อย่างไรก็ตามในวันนี้ขณะที่หวังหลินฝึกฝน เขาพลันลืมตาขึ้นมา เผยแววตาแห่งความเย็นชา ในใจรู้สึกตกตะลึงอย่างประหลาด มันคือสัมผัสระวังภัยที่เขาพัฒนาขึ้นหลังจากบรรลุระดับบ่มเพาะในตอนนี้!
‘มีบางอย่างผิดพลาด!’ หวังหลินยืนขึ้นมองไปรอบๆ สีหน้าท่าทางมืดครึ้ม รอบด้านเงียบสงัด แม้แต่สายลมยังหายไป
ตอนนี้เป็นเวลาดึก ดวงจันทราส่องสว่างกำลังแขวนอยู่ในท้องฟ้า แสงจันทรา สาดส่องลงบนพื้นดินทำให้หวังหลินเห็นระลอกคลื่นบนผิวน้ำแพร่กระจาย
ใบไม้กำลังร่วงหล่นเข้าสู่แม่น้ำและยังเริ่มหมุนเป็นวงกลม
หวังหลินก้าวเท้าโดยไม่ลังเล โลกบิดเบือนเกิดระลอกคลื่นดังกึกก้องรอบตัว เพียงก้าวนี้เขาควรจะหายไปและผสานกับโลก ขณะที่กำลังผสานนั้นท้องฟ้าส่งเสียงและเปลี่ยนสี รอยแยกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา
แรงกดดันทรงพลังตกลงใส่ดาวเคราะห์ร้างแห่งนี้ ฝ่ามือยักษ์ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากรอยแยก ยืดยาวเข้าหาหวังหลินที่กำลังผสานกับโลก!
……………………………………………………