Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 146

Cover Renegade Immortal 1

146. ขั้นแกนลมปราณ (3)

 

ก่อนหวังหลินจะเข้าไปเขาได้นำผ้าคลุมสีดำปกคลุมศีรษะหลังจากเข้าไปได้มองรอบชั้นหนึ่งและส่วนใหญ่เป็นกระบี่เหินกระบี่ทั้งหมดมีระดับสูงและผนึกในกล่องด้วยยันต์เซียนเพื่อป้องกันปราณกระบี่ที่เล็ดลอดออกมา

นอกเหนือจากกระบี่เหล่านี้แล้ว มีเสาผลึกในกลางห้องพร้อมด้วยกระบี่เหินสามเล่มลอยอยู่ขณะที่ปลายกระบี่ชี้ลงด้านล่าง

แสงกระบี่ทั้งสามทั้งจ่างและสว่างขึ้น บางครั้งมันก็ส่องแสงสดใสขณะที่หวังหลินมองที่กระบี่สามเล่มใจนั้น พนักงานคนหนึ่งเดินออกมาเขาอายุราวยี่สิบปีและมีใบหน้าสดใสพลางตรวจสอบหวังหลินอย่างละเอียดเป็นเรื่องปกติสำหรับลูกค้าที่ต้องการซ่อนใบหน้าตัวเองเพราะเซียนหลายคนไม่ต้องการให้จดจำใบหน้าส่วนระดับฝึกตนของหวังหลินเขามีวิชาพิเศษของศาลาหลอมสมบัติเพื่อเอาไว้ตรวจสอบยิ่งตรวจสอบก็ยิ่งตื่นเต้นเพราะว่าระดับฝึกตนของหวังหลินกำลังเปลี่ยนผ่านระหว่างขั้นแกนลมปราณและพื้นฐานลมปราณระดับปลาย

แม้ว่าพนักงานจะตกใจ เขากลับไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าพลางถามขึ้นอย่างเคารพ “ท่านอาวุโสสนใจกระบี่เหินสามเล่มนี้หรือ?”

หวังหลินถอนสายตาตัวเองออกและมองพนักงานเขาเห็นได้ทันทีว่าพนักงานคนนี้อยู่ที่ขั้นรวบรวมลมปราณระดับเจ็ดหรือระดับแปดและถามขึ้น “ศาลาหลอมสมบัติได้ขายเตาปรุงยาหรือไม่?”

พนักงานขายพยักหน้าและยิ้มขึ้น “ท่านอาวุโสข้าเกรงว่าท่านจะหาเตาปรุงยาพบในศาลาหลอมสมบัติของเราเท่านั้นทั้งนี้มันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาซื้อหาได้ หากท่านอาวุโสสนใจโปรดตามข้ามาที่ชั้นสอง”

หวังหลินเดินอย่างใจเย็นไปที่บันได พนักงานรีบนำขึ้นไปก่อนที่หวังหลินจะก้าวขึ้นบันไดเขาหันหน้ากลับมาและมองไปที่เซียนคนหนึ่งที่ตอนนี้กำลังต่อรองราคากับพนักงานอยู่เขาครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะก้าวขึ้นไป

หลังจากมาถึงชั้นสอง พนักงานรีบเดินเข้าไปคุยกับชายวัยกลางคนห้องขวาก่อนจะรีบกลับลงบันไดข้างล่างอย่างรวดเร็ว

ชายวัยกลางคนหัวโล้นและสายตาเปล่งปลั่งอยู่บางจังหวะ เขาลุกขึ้น คารวะด้วยสองมือ “ไม่ทราบว่าสหายเซียนต้องการเตาปรุงยาระดับไหน?”

หวังหลินมองชายวัยกลางคนและพบว่าอยู่ที่จุดสูงสุดขั้นพื้นฐานลมปราณเช่นเดียวกับเขาหวังหลินรู้สึกประหลาดใจชั้นแรกมีเซียนขั้นรวบรวมลมปราณและชั้นสองมีเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณเช่นนั้นหมายความว่าชั้นสามจะมีเซียนขั้นแกนลมปราณรับผิดชอบอยู่ใช่ไหม?

ใบหน้าหวังหลินผ่อนคลายขณะที่ถามขึ้น “ท่านพอจะนำมันออกมาให้ข้าดูสักสองสามชิ้นได้หรือไม่?”

ชายวัยกลางคนหัวเราะและชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้าง “สหายเซียนโปรดนั่งข้าจะนำมันมาให้ท่าน” เช่นนั้นเขารินชาหนึ่งแก้วก่อนจะเดินถัดไปที่ผนังแห่งหนึ่งและตีเข้าไประรอกปรากฎบนผนังจากนั้นมันก็กลายเป็นภาพลวงตา

สตรีสาวสวยสามคนเดินออกมา แต่ละคนถือถาดหยกสีขาวหนึ่งถาด บนถาดแต่ละถาดมีกล่องสีแดงขนาดใหญ่หนึ่งกล่องที่มีขนาดสองตารางฟุต

กล่องไม้ทั้งสามกล่องนี้มีขนาดเท่ากันแต่ลวดลายที่สลักบนนั้นต่างกัน มีผนึกถูกวางไว้ทุกกล่อง

สตรีสุดสวยทั้งสามคนเดินเข้าหาหวังหลินและจ้องเขา

ชายวัยกลางคนหยิบหนึ่งในกล่องไม้ทั้งสามออกมา วางมันลงบนโต๊ะและพูดขึ้น “สหายเซียนสิ่งนี้หลอมจากหินดาราเขียวและผลึกหมอกลี้ลับจากส่วนลึกทะเลปิศาจใช้เวลาสี่สิบเก้าเดือนเพื่อหลอมสร้างเตาปรุงยาเขียวลี้ลับขึ้นมันเป็นเตาปรุงยาอันดับสาม” จบคำพูดก็เคาะกล่องเปิดมันออกมาเผยให้เห็นเตาปรุงยาขนาดเท่ากำปั้น

ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งเขาจดจำที่ลี่มู่หวานบอกเขาได้ว่าเตาหลอมยาที่เธอมีอยู่เป็นเพียงอันดับสองและเธอต้องการเตาปรุงยาอันดับสี่หรือสูงกว่าเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีปัญหาใดๆกับเม็ดยาเส้นทางสวรรค์

หลังจากมองครั้งเดียวหวังหลินก็ถอนสายตาออก เขาไม่ได้พูดคำใด

ชายวัยกลางคนยิ้มบางพลันสะบัดแขนและกล่องกลับเข้าสู่ถาดหยกเขาผ่านสตรีคนที่สองและตรงไปจับกล่องจากถาดของสตรีคนที่สามจากนั้นค่อยๆวางมันลงบนโต๊ะและยิ้มขึ้น “ข้าเชื่อว่าสหายเซียนต้องการเตาปรุงยาคุณภาพยอดเยี่ยมเตาปรุงยานี้หลอมจากแกนอสูรวิญญาณระดับต่ำจำนวน 99 ชิ้นจากทะเลปิศาจมันถูกเรียกว่า เตาปรุงยาร้อยอสูรหากท่านใช้เตาปรุงยานี้เพื่อปรุงยาสักเม็ดหนึ่งจะมีโอกาสสูงที่เม็ดยาได้ดูดซับกลิ่นอายของแกนอสูรซึ่งมันจะทำให้เม็ดยามีคุณภาพเพิ่มขึ้น” จบคำพูดเขาเคาะกล่องไม้ตัวกล่องเปิดออกช้าๆเผยให้เห็นเตาปรุงยาสีเลือดหากได้มองเข้าไปใกล้ๆจะเห็นใบหน้าอสูรวิญญาณ 99 ตัว

อสูรวิญญาณเหล่านี้ดูราวกับเป็นของจริงพวกมันกระทั่งปล่อยเสี้ยวพลังปราณออก เตานี้อยู่ในภาวะถูกผนึกเช่นนั้นหากมันไม่ได้ถูกผนึก พลังปราณข้างในจะทะลักออกมา

แม้กระทั่งหวังหลินก็ถูกเตาปรุงยาร้อยอสูรนี้ยั่วยวน แต่ใบหน้าเขาไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

ชายวัยกลางคนจับที่กล่องไม้และพูดขึ้น “สหายเซียนท่านต้องรู้ได้ว่าอสูรวิญญาณระดับต่ำเท่ากับเซียนขั้นแกนลมปราณสำนักของเราใช้เวลาและความพยายามไปมากเพื่อสร้างเตาปรุงยานี้มันจึงเป็นอันดับห้า”

หวังหลินถอนสายตาออกมา หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยก็ถามขึ้น “ราคาเท่าไหร่?”

ชายวัยกลางคนยิ้มและตอบออกมา “ราคามาตรฐานอยู่ที่หินวิญญาณระดับสูงหนึ่งแสนก้อน หรือท่านสามารถนำสมบัติที่มีคุณภาพเทียบเท่าออกมาได้”

หลังจากได้ยินราคา หัวใจหวังหลินก็หดลง แม้ว่าเขาจะเตรียมการไว้แล้วไม่สงสัยเลยว่าจ้าวสำนักปิศาจรบใช้เงินทั้งหมดของสำนักเพื่อซื้อเพียงอันเดียว

รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้าชายวัยกลางคนขณะที่เขารินถ้วยชาให้ตัวเองจิบหนึ่งคราและพูดขึ้น “เตาปรุงยาร้อยอสูรนั้นแพงก็จริงสหายเซียนสนใจเตาปรุงยาเขียวลี้ลับแทนไหม? แม้ว่ามันเป็นหินวิญญาณหนึ่งแสนก้อนแต่มันเป็นหินวิญญาณระดับกลางที่เท่ากับหินวิญญาณระดับสูงหนึ่งหมื่นก้อน”

หวังหลินมองเขาและตบกระเป๋า เกล็ดมังกรหนึ่งชิ้นปรากฎขึ้นบนโต๊ะ

“เกล็ดมังกร!” ชายวัยกลางคนร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจเขาหยิบมันขึ้นมาและตรวจสอบอย่างระมัดระวังจากนั้นพูดขึ้น “นี่มันเกล็ดมังกรที่เป็นอสูรวิญญาณระดับกลาง ท่านมีมากเท่าไหร่?”

ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่ง เขาไม่ได้ตอบแต่กลับถามขึ้นแทน “ต้องใช้เท่าไหร่ถึงจะแลกเตาปรุงยาร้อยอสูรได้?”

ชายวัยกลางคนกดศีรษะลงต่ำและคำนวณเล็กน้อยก่อนจะยกศีรษะขึ้นเขามองหวังหลิน “หากมังกรยาวอย่างน้อยสามร้อยจั้ง(1000 เมตร)ทั้งร่างก็คงเพียงพอที่จะแลกมัน”

โดยไม่ต้องพูดหวังหลินตบกระเป๋าและเกล็ดมังกรก่อเป็นภูเขาย่อมๆด้านหน้าชายวัยกลางคนหวังหลินไม่ได้มองชายวัยกลางคนขณะที่เขาจับเตาปรุงยาและเดินลงบันได

ชายวัยกลางคนหายใจรัวและมองเกล็ดมังกรนั้นเขาปล่อยสัมผัสวิญญาณออกมาและพบว่าแม้ชิ้นเล็กๆจะหายไปมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับร่างมังกรที่สมบูรณ์เลย

เกล็ดสมบูรณ์ของอสูรวิญญาณมังกรระดับกลางพูดได้ว่าอสูรวิญญาณระดับกลางเทียบเท่ากับเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดคนหนึ่งแม้แต่ส่วนลึกของทะเลปิศาจก็ถือได้ว่ามันทรงพลังชายวัยกลางคนถึงจะเห็นมามากเขาก็เห็นเพียงเกล็ดทั้งร่างอสูรวิญญาณระดับต่ำเท่านั้นส่วนเกล็ดอสูรวิญญาณระดับกลางเห็นเพียงไม่กี่ชิ้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นมันทั้งร่าง

เมื่อหันศีรษะขึ้น หวังหลินก็นำกล่องใส่กระเป๋าและเดินลงบันไดไปแล้ว

หวังหลินรู้ดีว่ามันไม่ฉลาดที่จะแสดงความมั่งคั่งให้คนอื่นเห็นนี่เป็นเหตุผลที่เขาตัดสินใจปกปิดตัวเอง ทว่าเขายังไม่รู้สึกปลอดภัยแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจคุณค่าของเกล็ดมังกรเท่าชายวัยกลางคนแขารู้ว่ามันเป็นวัตถุดิบหายากหากชายวัยกลางคนเริ่มคิดเรื่องส่วนอื่นของมังกรและเริ่มโลภ นั่นจะเกิดปัญหา

เขาไม่ต้องการแลกเปลี่ยนเกล็ดมังกรเว้นแต่จะจำเป็นเท่านั้นแต่ราคาของเตาปรุงยาสูงเกินไป นอกจากเกล็ดมังกรสิ่งอื่นที่เขามีก็คือน้ำพลังปราณ

เปรียบเทียบกันแล้วหากเขานำสิ่งของฝืนขิตฟ้าเช่นน้ำพลังปราณออกมามันจะยิ่งเกิดปัญหามากขึ้นไปอีก หลังจากไตร่ตรองตัวเลือกแล้วหวังหลินตัดสินใจแลกเปลี่ยนเกล็ดมังกรและรีบหนีดีกว่า

หวังหลินจากศาลาหลอมสมบัติออกมาและมองผ่านถนนอย่างเยือกเย็นตอนที่เขาขึ้นไปชั้นบนจึงสังเกตได้แล้วว่ามีบางคนสะกดรอยเขาอยู่หวังหลินจึงได้ติดสัมผัสวิญญาณของเขาบนตัวคนผู้นั้นเมื่อเขาออกมาจึงสังเกตได้ว่าคนผู้นั้นอยู่ในโรงเตี๊ยมอีกฝั่งของถนน

มีคนจำนวนเล็กน้อยในโรงเตี๊ยมรวมถึงเซียนขั้นแกนลมปราณจำนวนสามคนที่อยู่ถัดจากคนที่หวังหลินทิ้งร่องรอยไว้หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยและตัดสินใจไม่ระเบิดสัมผัสวิญญาณหลังจากวางแผนเขาก็ก้าวไปข้างหน้ากระตุ้นวิชาหลบหนีปฐพีออกมาทว่ามีแสงสีขาวกระพริบวาบหนึ่งคราและเขาไม่อาจลงไปในพื้นดินได้ทั่วทั้งเมืองปกคลุมด้วยค่ายกลที่ป้องกันวิชาหลบหนีปฐพีไม่ให้ทำงาน

คิ้วหวังหลินขมวดเป็นปมขณะที่เขากระโดดขึ้นไปบนอากาศและเหาะเข้าหาประตูเมือง

หวังหลินเหาะเหินไปชั่วครู่ก่อนที่เซียนชุดดำมาถึงจุดที่หวังหลินพยายามใช้วิชาหลบหนีปฐพีเขามองทิศทางที่หวังหลินจากไปและเลียริมฝีปาก สายตาเต็มไปด้วยความโลภเซียนคนนี้เป็นหนึ่งในคนที่กำลังต่อรองราคาชั้นแรกตอนที่หวังหลินเดินเข้าไป

คนผู้นี้นามว่าเว่ยซานเขาเป็นหนึ่งในศิษย์ของสำนักปิศาจรบที่เข้ามาเพื่อซื้อสินค้าในหนานต้าวเมื่อเขาเห็นหวังหลินเข้าไปที่ชั้นสองเขาถูกล่อลวงและชำเลืองมองอย่างลวกๆไม่กี่ครั้งก่อนจะมองหวังหลินจากโรงเตี๊ยมตรงข้ามถนนเขากระทั่งส่งข้อความผ่านหยกสื่สารเพื่อตามศิษย์สำนักมารปิศาจรบที่มาซื้อสินค้าในเมืองด้วยกันหลังจากผ่านไปเวลานานเขาก็เห็นหวังหลินจากไปและคำนวนในใจว่าหวังหลินต้องได้รับสมบัติบางอย่างจึงช่วยไม่ได้ที่เว่ยซานจะมีความคิดชั่วร้ายขึ้น

แต่เขาไม่สามารถมองเห็นระดับฝึกตนของหวังหลินได้ จากการคาดเดาหวังหลินต้องอยู่ที่ขั้นแกนลมปราณ นั่นทำให้เขาอยากจะถอนตัวแต่เมื่อสหายเซียนมาถึงพร้อมกับผู้อาวุโสบางคนเขารู้สึกสุขใจและอธิบายรายละเอียดทุกอย่าง

นอกจากเขาแล้วมีคนมากกว่าสิบคนปรากฎตัวขึ้นระดับฝึกเซียนทั้งหมดแตกต่างกันส่วนใหญ่อยู่ที่ขั้นพื้นฐานลมปราณแต่มีสามคนที่ปกคลุมในหมอกสีดำ

เซียนทั้งสามคนนี้เป็นคนที่หวังหลินกังวล

เว่ยซานหันร่างกลับมาและพูดด้วยความเคารพ “เหล่าผู้อาวุโสข้าไม่เชื่อว่าท่านทั้งสามจะอยู่ในหนานต้าวด้วยเช่นกันข้ามั่นใจว่าชายคนนั้นต้องมีสมบัติล้ำค่าติดตัวแน่”

น้ำเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง “เว่ยซานเจ้าก็พูดโอ้อวดเกินไปที่คิดว่ามันเป็นเซียนขั้นแกนลมปราณจริงๆ เฮอะ!ขั้นแกนลมปราณเทียมจะมีสมบัติเซียนเยอะแค่ไหนกันเชียว? เสียเวลาเปล่า”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version