Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1480

Cover Renegade Immortal 1

1480. บททดสอบที่ยากที่สุดและการกลับมาของสหาย

หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่งและถอนสายตา ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาตอนนี้จึงสัมผัสถึงความผันผวนได้ชัดเจน มีใครสักคนใช้วิชาเต๋าเพื่อจับตาดูเขาไว้

‘ดูเหมือนการกลับมาของข้าจะทำให้คนจำนวนมากสนใจ…นั่นถือเป็นเรื่องดีด้วย!’ หวังหลินเผยรอยยิ้ม ตอนนี้เขาแข็งแกร่งพอจะเผชิญหน้าทุกอย่างแล้ว

แม้อีกฝ่ายจะรู้ว่าเขากลับมา ก็ไม่สำคัญสำหรับเขา!

หวังหลินเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ เขาไม่ช้าไม่เร็ว แต่ทุกก้าวข้ามผ่านระยะที่ มิอาจวัดได้ ท่องทะยานผ่านดาราจักรอันคุ้นเคยแห่งนี้

มีเซียนกลุ่มหนึ่งขนาดเกือบร้อยคนกำลังทะยานผ่านดาราจักรดวงดาวซึ่งอยู่เบื้องหน้าหวังหลินไกลๆ พวกเขาถือเส้นด้ายคล้ายผ้าไหมที่ถูกห่อหุ้มรอบๆดาวเคราะห์เซียน

ท่ามกลางกลุ่มเซียนมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ดวงตาเป็นประกายและอยู่ระดับขั้นชำระสวรรค์ระดับปลาย เขาเปล่งสัมผัสแห่งบารมีโดยเฉพาะดวงตาที่เรืองแสงเจิดจ้า ลำแสงโค้งรอบตัวเขาทำให้ดูสง่างามยิ่งนัก

“พวกเจ้าทั้งหมดจงใส่ใจและใช้พลังงานในครั้งเดียวเพื่อไม่ให้ทำความเสียหายแก่ดาวเคราะห์เซียน ไม่เช่นนั้นอารามเทพอัสนีจะกล่าวหาเราได้ หากการเตรียมการรบได้รับผลกระทบ เราทั้งหมดจะต้องไปปิดด่านบ่มเพาะ!”

ชายวัยกลางคนเอ่ยน้ำเสียงดุจสายฟ้า แพร่กระจายออกไปสู่หูของเซียนรอบข้าง เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้นต่างก็ยิ้มแย้ม

“จางกงเล่ย หากเราได้ปิดด่านบ่มเพาะก็คงดี แต่เจ้าเป็นถึงผู้นำของตระกูลจาง บรรพชนเจ้าจะปล่อยให้ไปปิดด่านบ่มเพาะได้อย่างไร?”

“ปกติแล้วการให้เข้าไปปิดด่านบ่มเพาะถือเป็นการลงโทษ แต่ตอนนี้เริ่มการเตรียมการรบแล้ว ข้าไม่อยากปิดด่านบ่มเพาะก็เนื่องมาจากสงครามกำลังจะเริ่ม!”

“พี่จาง ข้าได้ยินมาว่าดาราจักรทั้งสี่แห่งกำลังเตรียมการรบ แต่ทะเลเมฆาเป็นแกนนำ เราหลายคนต่างก็สงสัยว่าทำไมทะเลเมฆาถึงเป็นแกนนำ ท่านได้รู้อะไรอย่างอื่นหรือไม่?”

เสียงหัวเราะดังลั่น ทุกคนต่างใช้พลังดั้งเดิมของตัวเองเพื่อค่อยๆดึงดาวเคราะห์นี้ออกจากวงโคจร ดาวเคราะห์ค่อยๆถูกลากออกไปข้างหน้า

ชายวัยกลางคนคือจางกงเล่ย เขาเองก็มีเส้นบางๆในมือและกำลังดึงดาวเคราะห์ พลันหัวเราะออกมา “เรื่องนี้ท่านปรมาจารย์ลั่วฟู่ซึ่งเป็นบรรพชนของทุกชั้นฟ้าได้กำหนดไว้แล้ว ด้านคนของดาราจักรอีกสามแห่ง ข้าเองก็ไม่รู้มากนัก หากมีข่าวอันใดข้าจะบอกพวกเจ้าเอง รีบร้อนอะไรกัน?”

เมื่อเอ่ยถึงปรมาจารย์ลั่วฟู่ ดวงตาเหล่าเซียนจึงเต็มไปด้วยความศรัทธา พวกเขาเพิ่งรู้เรื่องเกี่ยวกับปรมาจารย์ลั่วฟู่ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในสายตาพวกเขานั้นปรมาจารย์ลั่วฟู่เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในทุกชั้นฟ้า ตราบใดที่มีปรมาจารย์ลั่วฟู่ ทุกชั้นฟ้าจะคงอยู่ไปตลอดกาล!

พอมองผู้คนรอบๆเขา จางกงเล่ยถอนหายใจอยู่ในใจ แม้เขาจะมีสายตาเคารพแต่ก็ไม่มีความศรัทธา ราวกับความศรัทธาทั้งหมดของเขาถูกใครสักคนเอาไปเมื่อนานมาแล้ว

ครั้งหนึ่งเขาเคยมีศรัทธาแรงกล้าเหมือนคนเหล่านี้ ตราบใดที่คนผู้นั้นเอ่ยขึ้น เขาต้องทำบรรลุผลสำเร็จให้ดีที่สุด!

ศรัทธาต่อคนผู้นั้นไม่ได้หายไปตามกาลเวลา ยิ่งเขาเข้าใจมากขึ้น ศรัทธาก็ยิ่งแรงกล้ามากขึ้น

‘แต่ตอนนี้เขาไปอยู่ไหนกัน…’ ในสายตาเขาแฝงอาการหวนรำลึกที่ซ่อนไว้อย่างดี เขามักจะคิดถึงอดีตที่ผ่านมา

คนผู้นั้นที่ได้ผ่านทุกชั้นฟ้าเข้ามาไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่เขาเท่านั้นแต่รวมถึงเฉินกงฮู่ด้วย พอคิดถึงเฉินกงฮู่ เขาจึงพ่นลมหายใจเย็น หลายปีที่ผ่านมา เฉินกงฮู่มักจะต่อต้านเขาอยู่เสมอ ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันไปหลายครั้ง

เหล่าเซียนร้อยคนทะยานไปข้างหน้าจากช้าเป็นเร่งความเร็ว พวกเขากำลังพุ่งผ่านดาราจักรไปเรื่อยๆ

ชั่วขณะต่อมา ร่างสีขาวค่อยๆเดินจากไกลๆมาเบื้องหน้าเซียนกลุ่มนี้ หลังจากเห็นพวกเขา ร่างนั้นก็หยุดลงและมองอย่างเงียบๆ

การปรากฏตัวของชายชุดขาวทำให้เหล่าเซียนให้ความสนใจ โดยเฉพาะจางกงเล่ย ดวงตาพลันหรี่แคบลงแต่ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาจึงมองเห็นไม่ชัดว่าคนผู้นี้หน้าตาเช่นไร

“ค่อนข้างประหลาด ทุกคนจงระวัง!” จางกงเล่ยมาถึงข้างหน้าและแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมา

ทั้งสองฝั่งเข้าไปใกล้กันมากขึ้น แต่ชายชุดขาวไม่ได้ทำสิ่งใด เขาเพียงแค่เฝ้าดูพวกเขาผ่านไป

ไม่มีใครมองเห็นรูปร่างหน้าตาเขาได้ชัดเจน ราวกับสายตาทุกคนถูกบิดเบือนยามที่มองเข้ามา ราวกับอีกฝ่ายยืนอยู่บนวังวนสีดำที่สามารถกลืนกินได้ทุกอย่าง

จนกระทั่งเซียนร้อยคนที่ดึงดาวเคราะห์ได้ผ่านชายชุดขาวไปแล้ว ทุกคนจึงผ่อนคลาย

“ระดับบ่มเพาะคนผู้นั้นไม่ธรรมดา จากการที่เขามองดู ไม่น่าจะเป็นคนจาก ทุกชั้นฟ้า…”

“ตอนนี้ม่านพลังระหว่างสี่ดาราจักรเปิดออกแล้ว ตราบใดที่พวกเขารู้เส้นทางก็สามารถเดินทางได้ตามต้องการ คนผู้นั้นน่าจะมาจากดาราจักรอื่น”

ขณะที่พวกเขาค่อยๆจากไป จางกงเล่ยหันตัวกลับและมองมาที่ชายชุดขาวที่ยังมองเขาอยู่ จางกงเล่ยขมวดคิ้ว

‘เขาคนนี้…รู้สึกคุ้นๆ…’

หวังหลินมองกลุ่มเซียนเบื้องหน้าและมองจางกงเล่ย เขานึกย้อนไปถึงอดีต จางกงเล่ยดูแก่กว่าเดิมเล็กน้อย ตอนนั้นในทะเลสาบสายฟ้า จางกงเล่ยมีระดับ บ่มเพาะสูงกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามหลังจากได้รับความเข้าใจจาก เศษเสี้ยวแห่งสายฟ้าดั้งเดิมจนเกิดความตกตะลึง จางกงเล่ยจึงต้องการเป็นข้ารับใช้เขา หวังหลินยิ้มพลางคิดถึงเรื่องนี้ไปด้วย

‘การสามารถเจอสหายเก่าถือเป็นพรที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต…’ หวังหลินยิ้มพลางเดินออกไปไกล

เขามีความสุขมาก

หวังหลินท่องทะยานออกไปไกลลิบ ระยะทางระหว่างพวกเขาแทบมิอาจวัดได้ จางกงเล่ยขมวดคิ้วและไม่ได้ยินคำพูดเซียนรอบตัว เขามองชายชุดขาวที่หายไป เบื้องหน้า สัมผัสความคุ้นเคยยังล่องลอยอยู่ในใจ

‘คุ้นมาก…’ จางกงเล่ยหันกลับมาและทะยานไปกับเซียนคนอื่นๆ อย่างไรก็ตามเขาทำการค้นหาในใจว่าความคุ้นเคยนี้มาจากไหน?

ชายชุดขาวผุดขึ้นในใจเขาอย่างต่อเนื่อง เส้นผมสีขาวปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในใจ

‘ข้าต้องเคยเจอเขามาก่อนแน่!’ จางกงเล่ยลูบคิ้วแต่ทันใดนั้นฝ่ามือก็หยุดลง ตอนนี้ร่างสีขาวค่อยๆกลายเป็นคนผู้หนึ่งในความทรงจำของเขา สองร่างค่อยๆซ้อนทับกันและจังหวะนั้นเอง ราวกับสายฟ้านับแสนเส้นระเบิดขึ้นในใจ ร่างกายสั่นระริก!

สายตาเกิดความไม่เชื่อและหันกลับมาโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าแดงขึ้นและดวงตาเบิกกว้าง หลังจากพบร่องรอย เขาจึงได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังหลายชุด!

‘เป็น…เขา!!’

จางกงเล่ยพุ่งเข้าหาดุจสายฟ้าไปสู่ตำแหน่งที่หวังหลินไปโดยไม่ลังเล

การเปลี่ยนท่าทีฉับพลันนั้นทำให้เซียนเกือบร้อยคนรอบตัวเขาถึงกับตกตะลึง

จางกงเล่ยใช้ความเร็วเต็มที่ข้ามผ่านดาราจักร อย่างไรก็ตามดวงดาวช่างกว้างใหญ่และร่างหวังหลินก็หายไปแล้ว

จางกงเล่ยหยุดอยู่สักพัก เผยท่าทีขมขื่น

‘ทำไมท่านไม่เรียกข้า…’ เขายืนอยู่นาน…จางกงเล่ยโค้งตัวเล็กน้อยและจึงจากไป

ดาราจักรทุกชั้นฟ้า ในส่วนลึกมีพื้นที่ดวงดาวที่แทบจะว่างเปล่าจนดูรกร้างเป็นอย่างยิ่ง ดาวเคราะห์เซียนที่นี่ไม่ได้มีพลังปราณมากนัก มีดาวเคราะห์เซียนดวงน้อยแห่งหนึ่งที่เปล่งแสงเบาบาง

มหาสมุทรปกคลุมไปถึงเจ็ดในสิบส่วนของดวงดาว พื้นดินกระจัดกระจาย มองไกลๆราวกับเป็นก้อนทรงกลมสีฟ้า

ดาวฉิงหลิง!

บนดาวเคราะห์แห่งนี้มีเหล่าเซียนอยู่แต่ระดับบ่มเพาะไม่สูงนัก ที่นี่มีระดับบ่มเพาะ ขั้นแปลงวิญญาณอยู่แค่สามคนเท่านั้น ตอนนี้บนยอดเขาที่สูงที่สุด เซียนขั้นแปลงวิญญาณกำลังยืนอย่างเคารพอยู่เบื้องหน้าชายชราคนหนึ่ง

ชายชราสวมผ้าคลุมขุนนาง เขาดูไม่เหมือนเซียนแต่เหมือนขุนนางในเหล่าคนธรรมดามากกว่า เขากำลังนั่งอยู่บนยอดเขาอย่างสงบนิ่ง

ทั้งยังนั่งอยู่ที่นี่มามากกว่าแปดร้อยปีแล้ว

ทั้งหมดเป็นเพราะคำพูดของอาจารย์

“ในชีวิตข้า ข้าไม่เคยมีศิษย์คนใด ในเมื่อการรู้แจ้งของเจ้าเป็นผลแห่งกรรมที่ข้าสร้างขึ้นมา ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์พิเศษ! ข้าจะมอบภูเขาลูกนี้ให้เพื่อบ่มเพาะ ข้าจะไม่สอนวิชาใดให้เจ้าและจะมอบเพียงโอกาสในการรู้แจ้งเท่านั้น!”

ชายชราค่อยๆลืมตา เขาไม่ได้มองไปที่เซียนขั้นแปลงวิญญาณทั้งสามคนเบื้องหน้า แต่กลับมองไปยังหมู่มวลก้อนเมฆในเส้นขอบฟ้า

“พวกเจ้าสามคนไปได้แล้ว…ที่แห่งนี้เป็นของอาจารย์…จนกว่าอาจารย์จะกลับมา จะไม่มีใครเอาไปได้แม้แต่หญ้าสักใบ ไม้สักท่อน หรือน้ำสักหยดบนดาวเคราะห์นี้”

“แต่ว่า สืบเนื่องจากการเตรียมตัวสงคราม อารามเทพอัสนีได้ส่งคำสั่งลงมาแล้ว พวกเขาจะมารับดาวเคราะห์นี้ในอีกสามวัน เรา…” หนึ่งในเซียนขั้นแปลงวิญญาณกำลังเคร่งเครียด ชายชรามองกลับไปที่เขา

เพียงแค่สายตาเดียวก็ทำให้เซียนคนนั้นสั่นเทาได้แล้ว เขาไม่กล้าเอ่ยต่ออีก ทั้งสามคนเพียงแค่จากไปอย่างเคารพ

ชายชราขบคิดเงียบๆและมองไปยังชั้นหมอกในท้องฟ้าอยู่สักพัก จากนั้น เสียงสายฟ้าดังกึกก้องตลอดน่านฟ้า สายลมพัดปลิวก้อนเมฆขึ้นไปปกคลุมดวงอาทิตย์

เสียงสายฟ้าดังสนั่นพร้อมกับเข้ามาใกล้และห่อหุ้มพื้นดิน

สายฝนตกลงมาบนยอดเขา ทั้งเม็ดใหญ่และไหลอย่างต่อเนื่อง ดาวเคราะห์แห่งนี้จึงเริ่มพร่ามัวและสายลมก็ทรงพลัง เสื้อผ้าของชายชราเปียกชุ่มแต่สายฝนไม่สามารถขัดขวางสายตาที่เขามองท้องฟ้าได้

เสียงถอนหายใจดูจะดังกึกก้องไปในโลกและร่อนเข้าไปในหูชายชรา ชายชราตัวสั่นและแววตาตื่นเต้น

“ข้าจำได้แล้ว…เจ้าชื่อเซี่ยฉิง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version