Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1499

Cover Renegade Immortal 1

1499. อันตรายที่ซ่อนในดินแดนเจ็ดสี

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและเอ่ยกล่าว “เซียนขั้นที่สาม จางซิงเย่สิ้นชีพแล้ว…”

หลังกล่าวขึ้น ลี่หยุนจื่อร่างสั่นเทา ใบหน้าซีดเซียวและถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ไม่นานนักใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเศร้า แววตาหมองหม่น

“บรรพชน…สิ้นชีพ…” ภารกิจของตระกูลจางหลายรุ่นและความภูมิใจจากบรรพชน ทุกรุ่นหลายชั่วอายุคนต่างรอคอยการกลับมาของบรรพชน

จางซิงเย่คือความรุ่งโรจน์ของตระกูลจาง แต่ความรุ่งโรจน์พังทลายไปด้วยข่าวที่หวังหลินพากลับมา!

ปรมาจารย์จงเฉินสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน แม้จะไม่ใช่คนดั้งเดิมของทุกชั้นฟ้าแต่เขาก็อยู่ที่นี่มานานและเป็นส่วนหนึ่งของดาราจักรแห่งนี้ เขาเคยได้ยินความรุ่งโรจน์ของบรรพชนตระกูลจางเช่นกัน! กล่าวได้ว่าฐานะปัจจุบันของตระกูลจางในดินแดนทุกชั้นฟ้าก็มาจากบรรพชนผู้นี้!

จางซิงเย่!

ปรมาจารย์ลั่วฟู่วางจอกเหล้าในมือลง แววตาตกตะลึงเช่นกัน เขาเคยพบจางซิงเย่ เมื่อในอดีต ตอนนั้นอีกฝ่ายบรรลุระดับสวรรค์ดับสูญระดับปลายไปแล้วและเป็นเหมือนสรวงสวรรค์!

ปรมาจารย์ลั่วฟู่กระทั่งได้รับคำอวยพรจากจางซิงเย่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรับลี่หยุนจื่อมาเป็นหนึ่งในสี่คนที่เขาจะสอนวิชาเต๋า นอกจากการชดใช้คำอวยพรในอดีตแล้ว เขาเองก็ยังมีเจตนาจะสร้างสัมพันธ์อันดีกับจางซิงเย่ที่หายตัวไป

หลังจากได้ยินคำพูดของหวังหลินจึงสูดหายใจลึกและขบคิดเงียบๆ

ความคิดของลี่หยุนจื่อได้รับผลกระทบอย่างหนักเพราะข่าวนี้ โลหิตไหลย้อนออกมาจากมุมปาก เขาโค้งให้หวังหลินและมองขึ้นไป ดวงตาแดงฉาน

“ผู้อาวุโส โปรดบอกข้าเถิดว่าท่านบรรพชนเสียชีวิตได้อย่างไร!” แม้คำพูดเขาจะดูสงบนิ่งแต่กลับเต็มไปด้วยความเย็นเยียบมหึมา เขาเชื่อมั่นว่าท่านบรรพชนไม่ได้ตายตามปกติ แม้ตระกูลจางจะไม่สามารถแก้แค้นให้บรรพชนของตนเองได้ อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าศัตรูเป็นใคร!

ตราบใดที่รู้ว่าใครสังหารบรรพชน พวกเขาคงมุ่งมั่นเพื่อแก้แค้น!

ปรมาจารย์ลั่วฟู่มองหวังหลินที่กำลังขบคิด

“พวกเจ้าทั้งหมดอาจจะได้ยินว่าในดินแดนชั้นในมีสถานที่แห่งหนึ่งถูกเรียกกันว่าดินแดนเจ็ดสี…ในดินแดนเจ็ดสีมีผลไม้เต๋าอยู่…มันดูดซับเจตนาแห่งเต๋าของสิ่งมีชีวิตหลายพันล้านและจับเต๋าของเหล่าเซียนนับไม่ถ้วนมาผลิตเป็นผลไม้เต๋าเจ็ดลูก…ซากศพของเซียนขั้นที่สามจางซิงเย่ถูกข้าพบเจอในดินแดนเจ็ดสีแห่งดาราจักร ทะเลเมฆา…เขาถูกราชันย์ของดินแดนชั้นนอกสังหาร!” หวังหลินค่อยๆเอ่ยกล่าวพลางนึกย้อนอดีต

ขณะที่พูดเรื่องดินแดนเจ็ดสีและอ้างถึงสิ่งที่เขาคาดเดาเรื่องราชันย์ปลูกผลไม้เต๋าเอาไว้ ลี่หยุนจื่อสูดลมหายใจเย็น ทว่าจิตสังหารไม่ลดเลือนไป เจตนาต่อสู้กลับรุนแรงยิ่งขึ้น! เจตนาต่อสู้นี้เป็นสิ่งที่ตระกูลจางต้องยึดมั่น!

ปรมาจารย์จงเฉินรู้สึกจิตใจสั่นเทา สิ่งที่หวังหลินกล่าวเรื่องดินแดนเจ็ดสีทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่น่าหวาดกลัวในอดีต

ปรมาจารย์ลั่วฟู่คล้อยตามและลุกขึ้นทันที เขาคำนับฝ่ามือให้หวังหลินและเอ่ยกล่าว “สหายเซียนหวัง เรื่องนี้สำคัญเกินไป การคงอยู่ของดินแดนเจ็ดสีเป็นเหมือนอันตรายที่ซ่อนตัวต่อดินแดนชั้นใน เมื่อดินแดนชั้นนอกรุกราน ข้ากังวลว่าดินแดนเจ็ดสีจะนำพาหายนะอันเกินจิตนาการมาสู่โลกของเรา!”

“การดูดซับเจตจำนงแห่งเต๋าทั้งหมดของเหล่าเซียนดินแดนชั้นในนั้น เป็นวิธีที่ทรงพลังอะไรกัน! ข้าต้องเข้าไปสำนักมารแห่งทะเลเมฆาในทันทีและรวมกำลังกันเพื่อขจัดดินแดนเจ็ดสีที่เหลือหกแห่ง!” ปรมาจารย์ลั่วฟู่มีสีหน้าเคร่งเครียด เขาเห็นอันตรายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้ชัดเจน หากหวังหลินไม่กล่าวถึงคงทำให้เกิดหายนะใหญ่หลวงตอนที่ดินแดนชั้นนอกรุกราน!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาคิดถึงโอกาสที่เหล่าเซียนจำนวนมากจะตายไปทันทีเพราะเต๋าพังทลาย ภาพเหตุการณ์นั้นคงทำให้ปรมาจารย์ลั่วฟู่ตกตะลึงมหาศาล

มันจะเกิดขึ้นไม่ได้!

หวังหลินพยักหน้า เขาต้องกลับมารายงานดินแดนชั้นในถึงเรื่องที่เขาได้เรียนรู้มา เขาจะสนับสนุนว่าสามารถทำอะไรได้บ้างกับสงครามที่กำลังมาถึง

หลังจากปรมาจารย์จงเฉินได้ยินเรื่องดินแดนเจ็ดสี เขาเงียบนิ่ง ใบหน้ามืดมน เรื่องในอดีตกลับมาแจ่มชัดขึ้นในใจ

หวังหลินสังเกตบางอย่างได้ เขามองปรมาจารย์จงเฉินและเอ่ยถาม “สหายเซียนจงเฉินรู้ว่าดินแดนเจ็ดสีที่เหลืออยู่ไหนใช่หรือไม่?”

หลังเอ่ยขึ้น ปรมาจารย์ลั่วฟู่มองเข้ามาทันที เขาเองก็สังเกตการเปลี่ยนแปลงของปรมาจารย์จงเฉินได้ เขามองเข้ามาเพื่อรอคอยให้ปรมาจารย์จงเฉินตอบกลับ

ปรมาจารย์จงเฉินคำนับฝ่ามือให้ปรมาจารย์ลั่วฟู่และหวังหลิน พลางกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าถูกพันธมิตรเซียนไล่ล่าและหนีมาที่ดินแดนทุกชั้นฟ้า…” หลังเอ่ยขึ้นเขาจึงมองหวังหลิน

“มีหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของข้า ดังนั้นจะไม่พูดอ้อมค้อม ตอนนั้นข้ายังเป็นผู้อาวุโสของพันธมิตรเซียนและบังเอิญเห็นโลกประหลาดในสาขาหลักของพันธมิตรเซียน…ผู้อาวุโสหวังหลิน ข้าสงสัยว่าดินแดนเจ็ดสีที่ท่านพูดถึงมีผู้รู้แจ้ง… ผู้หลงทาง…”

หวังหลินมีสีหน้าเคร่งเครียดและพยักหน้า

ปรมาจารย์จงเฉินกล่าวต่อ “เช่นนั้นที่นั่นก็ควรจะเป็นดินแดนเจ็ดสีในสาขาหลักของพันธมิตรเซียน!”

ปรมาจารย์ลั่วฟู่มีแววตากะพริบเย็นเยียบและคำนับฝ่ามือให้หวังหลิน “สหายเซียนหวัง วันนี้ข้าไม่อาจให้ความสนุกสนานท่านได้แล้ว ข้าต้องมุ่งหน้าไปที่สำนักมารให้เร็วที่สุด…”

หวังหลินลุกขึ้นและเอ่ยตอบ “ข้าจะไปดูดินแดนเจ็ดสีในสาขาหลักของพันธมิตรเซียน!”

“เยี่ยม ในเมื่อสหายเซียนหวังหลินลงมือ เช่นนั้นดินแดนเจ็ดสีในสาขาหลักพันธมิตรเซียนจะต้องพังทลายเป็นแน่!” ปรมาจารย์ลั่วฟู่พยักหน้า!

งานเลี้ยงนับว่าสั้นมากแต่สิ่งที่ปรมาจารย์ลั่วฟู่กับคนอื่นๆรู้สึกหลังจากการสนทนาครั้งนี้ไม่ได้ด้อยกว่าตอนที่พวกเขาสัมผัสระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้เลย หลังจากกล่าวอำลากัน ปรมาจารย์ลั่วฟู่สะบัดแขนเสื้อและหายวับไปในดวงดาว

โจวจินและหลินตงถูกหวังหลินเก็บเข้าไปในเตาหลอมจักรพรรดิ เขากำลังจะไปจัดการเรื่องสุดท้ายในดาราจักรทุกชั้นฟ้า ทว่าปรมาจารย์จงเฉินลังเลเล็กน้อยก่อนจะกัดฟันแน่นและคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลิน

“ผู้อาวุโส ข้าคุ้นเคยกับดาราจักรพันธมิตรเซียนและมีข้อบาดหมางใหญ่หลวงกับปรมาจารย์จงซวน หากผู้อาวุโสมุ่งหน้าไปที่พันธมิตรเซียน ข้าขอติดตามไปด้วยได้หรือไม่?”

หวังหลินขบคิดและเอ่ยต่อ “ฟังดูไม่เลว แต่การเดินทางของข้าไม่แน่นอน แม้ข้าจะไปแต่ก็ไม่รู้เวลาที่แน่ชัด…”

“ไม่มีปัญหา ข้าจะไปรอที่นั่น เมื่อผู้อาวุโสมุ่งหน้าไปที่พันธมิตรเซียน เพียงแค่แพร่กระจายสัมผัสวิญญาณค้นหาข้า ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตและไม่ปฏิเสธข้า” ปรมาจารย์จงเฉินมองหวังหลินด้วยความจริงใจ

หายากนักที่ปรมาจารย์จงเฉินจะอ้อนวอนใครในชีวิตและการพูดแบบนี้กับคนที่เป็นเด็กน้อยในอดีตได้ทำให้เขาสีหน้าท่าทางซับซ้อนเกินอธิบาย

หวังหลินมองปรมาจารย์จงเฉิน นึกถึงเรื่องในอารามเทพอัสนีซึ่งปรมาจารย์ จงเฉินต่อสู้กับฉิงชุ่ยที่บาดเจ็บ ปรมาจารย์จงเฉินยังได้ยืมอสูรสายฟ้าของหวังหลินและใช้วิธีอันทรงพลังเพื่อหลอมแดนสวรรค์อัสนี

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและเอ่ยต่อ “ตกลง!”

หลังกล่าวจบ เขาสะบัดแขนและหายตัวไปจากค่ายกลในพริบตา ปรมาจารย์จงเฉินและลี่หยุนจื่อมองทิศทางที่หวังหลินหายไป สีหน้าแต่ละคนซับซ้อนเกินอธิบาย

“เริ่มแก่แล้ว…เริ่มแก่แล้วจริงๆ…” ปรมาจารย์จงเฉินถอนหายใจ

“อนาคตของดินแดนชั้นในอยู่ในกำมือเขา…” ลี่หยุนจื่อส่ายศีรษะ ความทรงจำตอนที่พบเจอหวังหลินฉายย้อนในใจเขา

หวังหลินเดินทางผ่านดาราจักรทุกชั้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ทุกก้าวที่ย่างจะข้ามผ่านระยะทางที่มิอาจวัดได้ เรื่องที่เขาต้องทำในดาราจักรทุกชั้นฟ้ามีอยู่สี่เรื่อง เสร็จไปแล้วสามเรื่อง ดังนั้นจึงเหลืออยู่เรื่องเดียว!

เรื่องสุดท้ายไม่ใช่การล้างแค้นหรือเสร็จสิ้นเวรกรรม แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเพื่อเตรียมการต่อสู้ต่อดินแดนชั้นนอก! เขาต้องทำอะไรบางอย่างที่พิเศษในดาราจักรทุกชั้นฟ้า!

สิ่งนี้ทำให้เขาตกตะลึงอย่างมาก แม้จะคิดถึงตอนนี้ก็ยังสั่นไหว ตอนนั้นเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอจะได้มันมา แต่ตอนนี้เขามีความแข็งแกร่งพอจะหาและจับมัน ได้แล้ว!

หวังหลินจะไปหลอมมันให้กลายเป็นอสูรเทพโบราณแก่นชีวิต!

ความจริงแล้วตอนที่เขายังเป็นเทพโบราณหกดาว หวังหลินสามารถหลอมอสูรให้กลายเป็นอสูรแก่นชีวิตได้ แต่เขาไม่พบเจอตัวใดที่เหมาะสม ตอนนี้เขาเหมือนจี่เซี่ยงเข้าจริงๆแต่ด้วยเพราะขาดความแข็งแกร่งจึงไม่ได้มาครอบครอง

กระนั้นแม้แต่จี่เซี่ยงเองยังด้อยกว่ากับสิ่งที่หวังหลินกำลังจะทำ เหล่าอสูรมากหน้าหลายตาในทะเลเมฆา ไม่มีแม้แต่อสูรระดับสิบสามสักตัวที่เข้าตาหวังหลิน!

‘แม้ข้าไม่ได้ต่อสู้ด้วย แต่จากที่ข้าเห็นตอนนั้นมันน่าจะเป็นขั้นที่สาม!! แม้กระทั่งอสรพิษพิฆาตจันทร์ก็มิอาจต้านทานมันได้! ข้าต้องได้อสูรตัวนี้มา!’

ขณะเดินทาง แววตาหวังหลินเกิดเจตนาต่อสู้ เขากำลังจะมุ่งหน้าไปหาพื้นที่ดวงดาวที่เขาเจอมัน แต่ตอนนี้พลันหยุดชะงัก

‘ข้าผ่านที่นี่ไปโดยไม่รู้ตัว…’ หวังหลินรู้สึกเศร้าเล็กน้อย มีสองดาวเคราะห์อยู่เบื้องหน้าเขา

ดาวพันมายา ดาวรานหยุน!

เมื่อพันปีก่อนตอนที่หวังหลินเข้ามายังดาราจักรทุกชั้นฟ้าผ่านรอยแยกในดินแดนวิญญาณปีศาจ เขามาถึงบนดาวรานหยุน…ที่นี่เขาใช้ชีวิตอยู่กับหวังผิง…เขาพา หวังหลินไปปีนภูเขา ข้ามแม่น้ำและล่องเรือ!

หวังหลินทำให้จิตใจของหวังผิงอดทนต่อโลกใบนี้ ให้หวังผิงร่ำรวยและรุ่งโรจน์ไปตลอดชีวิต มีพลังอำนาจในตำแหน่งสูงสุด…อย่างไรก็ตามสิ่งที่หวังหลินไม่สามารถให้เขาได้คือร่างกายอันสมบูรณ์…ความรู้สึกหลายอย่างในช่วงระยะเวลาร้อยปีระหว่างพ่อและลูกชายค่อยๆผสานอยู่ในจิตใจหวังหลินตอนที่เห็นดาวรานหยุน ความรู้สึกเจ็บปวดที่จางหายไปแล้วได้กลับมาอีกครั้ง

หวังหลินส่งสายตาไปบนดาวพันมายา…เรื่องราวในอดีตกับตระกูลฮวนปรากฏขึ้นในใจและหลิวเหมยทำให้หวังหลินเกิดความรู้สึกอันซับซ้อน…เสียงถอนหายใจดังออกมาท่ามกลางดวงดาว เขาไม่มองไปที่ดาวพันมายาอีกแต่มองที่ดาวรานหยุน… มันไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อนมากนัก ราวกับพันปีเพิ่งผ่านไปในพริบตา แม้ดาวจะยังอยู่เหมือนเดิมแต่ผู้คนไม่เหมือนเดิม…สหายเก่าเมื่อตอนนั้นอาจจะไม่เจอกันแล้ว

พื้นที่ส่วนหนึ่งของดาวรานหยุนตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง สายลมเย็นพัดผ่านภายในดาว ใบไม้แห้งลอยผ่านกลางคืนอันโดดเดี่ยวใต้แสงจันทรา…

บนดาวรานหยุนมีลานกว้างแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของคนธรรมดา ลานกว้างแห่งนี้ มืดครึ้ม ประตูของลานแขวนด้วยตะเกียงสองจุดที่กำลังส่ายไปมาในสายลม แสงกะพริบจากตะเกียงดูเหมือนป้องกันตัวเองจากสายลมฤดูใบไม้ร่วง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version