1560. สุราแรง
โชคดีที่ทั้งสองคนเป็นคนประเภทนี้
หนามที่เก้าอยู่ในกระดูกสันหลัง มันฝังเข้ากับกระดูกสันหลังอย่างสิ้นเชิงและไม่โผล่ออกมาเลยสักนิ้ว ไม่มีแม้กระทั่งรอยแผล ราวกับหายไปในความว่างเปล่าภายในร่างกาย
ฉิงชุ่ยที่ไร้สติยังคงมีใบหน้าบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวด ทว่าใบหน้าปะปนทั้งความโล่งอกและความสุข เขาโล่งอกเพราะหวังหลินและมีความสุขเพราะหวังหลินเช่นกัน
หลังจากพักฟื้นอยู่ชั่วขณะ ความอ่อนเพลียของหวังหลินหายไปเล็กน้อย เขาสูดหายใจลึกและประคองฉิงชุ่ยที่ไร้สติขึ้นมาให้แผ่นหลังประจัญหน้ากับเขา หวังหลินดวงตาส่องสว่างจ้องมองแผ่นหลังบางๆ นั้น
กระดูกสันหลังของฉิงชุ่ยนูนป่อง เป็นภาพที่น่าตกตะลึงยิ่ง
หลังผ่านไปสักพักหวังหลินเริ่มเคร่งเครียด เขายกแขนขึ้นมาใช้นิ้วชี้เลื่อนลงไปตามกระดูกสันหลังอย่างช้าๆ ราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง หวังหลินคิ้วขมวดจับจ้องไปราวกับกำลังคิดบางอย่าง
‘โชคดีที่มันไม่ได้ผสานเข้ากับกระดูกสันหลังของเขาอย่างสมบูรณ์ หากเวลาผ่านไปมากกว่านี้ หนามคงผสานกับกระดูกสันหลังไปอย่างสิ้นเชิงและคงไม่สามารถถอนออกมาได้…มันกำลังผนึกร่างและวิญญาณของเขา แม้ร่างกายจะเปลี่ยนไปมันก็ยังอยู่…’ นิ้วชี้หวังหลินแทงเข้าใส่กระดูกสันหลังท่อนแรกในทันที
ร่างฉิงชุ่ยสั่นกระตุกและลืมตา กัดฟันแน่นไม่ให้ความเจ็บปวดเล็ดลอดออกมา
หวังหลินเอ่ยเบาๆ “ศิษย์พี่ ความเจ็บปวดของหนามที่เก้าจะรุนแรงยิ่งกว่า แปดชิ้นรวมกันอีก…”
“ข้าทนทุกข์ทรมานมาทั้งชีวิต ข้าคุ้นชินกับมันแล้ว” ฉิงชุ่ยเอ่ยเสียงแหบพร่าแต่ก็สงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง
หวังหลินเผยแววตาเศร้า หลังจากถอนหายใจจึงไม่ลังเลอีก “อดทนเอาไว้”
สิ้นเสียงเอ่ย แขนขวาแทงผ่านเนื้อของฉิงชุ่ยเข้าหากระดูกสันหลัง นิ้วของ หวังหลินจับไปที่หนาม
หนามอ่อนกำลังถูกนิ้วของหวังหลินจับเอาไว้
ฉิงชุ่ยหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นผุดเต็มไปทั่ว ทว่าเขากัดฟันแน่นและเปลี่ยนความเจ็บปวดเป็นเพลิงเผาไหม้ในดวงตา
หวังหลินหนีบหนามอ่อนนี้เอาไว้และค่อยๆ ดึงมันออกมาอย่างช้าๆ ราวกับกำลังแยกไขกระดูกออกมา มีคนน้อยมากที่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดได้
หวังหลินมีสีหน้าเคร่งเครียดมากและไม่ยอมให้นิ้วมือสั่นเทาเลย เขาบีบหนามและดึงอย่างช้าๆ การขยับดึงออกมาทุกนิ้วได้ทำให้ฉิงชุ่ยคร่ำครวญในลำคอ ฉิงชุ่ยเอาแขนจับบนพื้นแน่นและดึงออกมาจนเป็นหลุมลึก
หวังหลินไม่เห็นสีหน้าท่าทางของฉิงชุ่ย สมาธิทั้งหมดเพ่งไปที่นิ้ว ค่อยๆ ดึงออกมาและประคองความเร็ว เขาไม่กล้ารุนแรงเกินไป แม้หนามอ่อนนี้ไม่ได้ผสานเข้ากับกระดูกสันหลังฉิงชุ่ยอย่างเต็มที่ แต่ส่วนใหญ่มันแทงเข้าไปเยอะมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวัง
หนามที่เก้านี้ยาวมาก เวลาผ่านไปสิบห้านาที หวังหลินดึงมันออกมาได้เกือบสุด หยาดเหงื่อเต็มใบหน้าแต่เขาไม่สนและเพ่งไปที่หนามอย่างเต็มที่
หนามที่ถูกดึงออกมาเป็นสีดำสนิท หยดโลหิตสีดำหล่นลงบนพื้นจนส่งเสียงซี่ๆ
“ดึงที่เหลือออกมาทีเดียวเลย!” ฉิงชุ่ยเอ่ยเสียงสงบนิ่งลอดผ่านไรฟันและเข้าสู่หูของหวังหลิน
หวังหลินขบคิดเงียบๆ วินาทีต่อมา แขนขวาดึงหนามออกมาอย่างรุนแรง โลหิตสีดำสาดกระจายและฉิงชุ่ยกระอักโลหิตสีดำ แผ่นหลังของเขาปูดออกมาและค่อยๆกลับเป็นปกติอย่างช้าๆ
ฉิงชุ่ยหายใจรุนแรงและใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะสงบนิ่งลง สองฝ่ามือสร้างผนึกและเริ่มบ่มเพาะ
หวังหลินหน้าซีด หลังจากโยนหนามออกไปเขาก็หลับตาบ่มเพาะเช่นกัน ตอนที่ดึงหนามที่เก้าออกมา ตนเองก็เจ็บปวดเหมือนกันราวกับกระดูกสันหลังถูกแยกออกมาด้วยแม้จะไม่เท่ากับความเจ็บปวดเหมือนฉิงชุ่ย มันก็ยังรุนแรงอยู่ดี
หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง หวังหลินลืมตา
หวังหลินเอ่ยขึ้นเบาๆ “ศิษย์พี่ ชิ้นสุดท้าย…”
ฉิงชุ่ยค่อยๆ ผ่อนลมหายใจและหันมาเผชิญหน้าหวังหลิน เขามองศิษย์น้องอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นสีหน้าเหน็ดเหนื่อยและโลหิตสีแดงแห้งกรัง แววตาจึงผุดความอ่อนโยน
“เจ้าเติบโตขึ้น…” ฉิงชุ่ยเผยรอยยิ้ม ศิษย์น้องเบื้องหน้าเขาไม่ใช่เซียนน้อยที่ต้องให้เขาปกป้องอีกแล้วแต่เป็นเซียนทรงอำนาจยิ่งยวดที่สามารถสั่นคลอนได้ทั้งดาราจักร
หวังหลินมองฉิงชุ่ยและยิ้มออกมา แม้รอยยิ้มจะเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย มันยังเผยสัมผัสแห่งความสุขที่แท้จริง
“เจ้ามีสุราหรือไม่?” ฉิงชุ่ยโบกมือ ร่างกายถูกขังมาหลายปี ดังนั้นตอนนี้จึงรู้สึกติดขัด
หวังหลินพยักหน้า ยื่นแขนขวาออกไปเปิดมิติเก็บของและนำสุราออกมาหนึ่งขวด
ฉิงชุ่ยหัวเราะและคว้าขวดสุราเอาไว้ ดื่มไปอีกใหญ่ รสเผ็ดร้อนแผ่กระจายไปทั่วร่าง เขาปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นยื่นสุราให้หวังหลิน
หวังหลินรับไว้พลางดื่มไปอึกใหญ่ด้วยเช่นกัน รสเผ็ดร้อนแผ่กระจายไปทั่วร่าง สองคนมองหน้ากันเองและเริ่มหัวเราะ
เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความสุข หายากนักที่พวกเขาสองคนจะหัวเราะได้เต็มที่ขนาดนี้
“หลังจากหนามนี้ถูกถอนไป ระดับบ่มเพาะของข้าจะฟื้นคืนและเพิ่มขึ้นมหาศาล! แก่นแท้สังหาร แก่นแท้สังหาร…” ขณะที่ฉิงชุ่ยเอ่ยขึ้น แววตาแฝงความโศกเศร้าแต่ฝังมันภายในส่วนลึก เขารับสุรามาจากหวังหลินและดื่มไปอีกหนึ่งอึก
“มาเลย ดึงหนามชิ้นสุดท้าย!” ฉิงชุ่ยวางขวดสุราเอาไว้และดวงตาเปล่งประกาย สายตาของเขาทำให้หวังหลินรู้สึกเหมือนกำลังมองฉิงชุ่ยเมื่อครั้งอดีต!
หวังหลินมองเส้นโลหิตนูนป่องบนร่างฉิงชุ่ยและค่อยๆเอ่ยขึ้น “หนามชิ้นสุดท้ายได้แทงใส่เส้นชีพจรทั้งหมดในร่างท่าน! ข้ากลัวว่ามันจะเป็นชิ้นที่ยาวที่สุด!”
“ข้าจำได้ว่าหนามเข้ามาจากตรงนี้” ฉิงชุ่ยยกแขนขวาขึ้นมาชี้ใส่จุดตรงหน้าอกที่หัวใจอยู่ ขณะที่ชี้ไปรูสีแดงโลหิตเปิดขึ้นมาเผยเป็นเส้นโลหิตสีฟ้าข้างใน
หลังจากสูดหายใจลึก ฉิงชุ่ยหนีบมันอย่างไม่ลังเลและลากเส้นชีพจรออกมาจากรอยแผล แม้จะดูสงบนิ่งแต่ม่านตาที่หรี่ลงได้เผยให้เห็นว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน
หวังหลินดวงตาส่องสว่าง สะบัดแขนขวาตัดเส้นชีพจรที่ฉิงชุ่ยดึงออกมา ขณะที่โลหิตกำลังสาดกระจาย หวังหลินวางผนึกไว้ตรงส่วนโลหิตไหลและไล่นิ้วไปจนสุดอีกฝั่ง
ราวกับหวังหลินจับอะไรบางอย่างได้และดึงออกมา ร่างฉิงชุ่ยสั่นกระตุกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าที่ฟื้นคืนมาพลันซีดเผือดทันทีแต่ก็กัดฟันแน่น จ้องมองหน้าอกตัวเองจนเห็นหนามสีม่วงที่หวังหลินดึงออกมาจากเส้นชีพจร!
หนามนี้อ่อนนุ่มราวกับอสรพิษ ส่วนที่ดึงออกมากำลังปัดป่ายไปมา
ทุกครั้งที่มันส่ายไปมา หยาดเหงื่อเย็นเยียบผุดบนใบหน้าฉิงชุ่ย เขาคว้าขวดสุราและดื่มไปอีกใหญ่
เมื่อดื่มอึกนั้นเข้าไป หวังหลินดึงอย่างรุนแรงจนกระชากออกมาได้เจ็ดฟุต ฉิงชุ่ยหน้าซีดเป็นสีขาว ร่างกายสั่นเทา ร้องคำรามเบาๆ ออกมาจากลำคอ เขาจ้องมองท้องฟ้า แววตาโกรธเกรี้ยวยิ่งขึ้น ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้เขาถึงกับบีบขวดสุราให้แตกจนสุรากระจายไปทั่ว
“หวังหลิน เจ้ามีสุราหรือไม่…”
หวังหลินยื่นแขนซ้ายออกไปหยิบน้ำเต้าสีเขียวออกมา นี่มันไม่ใช่สุราแต่เห็น โลหิตมังกรที่วิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่สองมอบให้!
โลหิตนี้รุนแรงนัก!
ฉิงชุ่ยรับขวดสุราไปดื่มหนึ่งอึก จากนั้นสูดอากาศเย็นเข้าไปและยิ้มขึ้น “คาวไปหน่อยแต่ก็ยังหวาน นี่มันสุราแบบไหนกัน? มันคือโลหิตชัดๆ แต่สุราโลหิตนี้รุนแรงเกินพอ! หวังหลิน ดึงหนามทั้งหมดออกมาเลย!”
หวังหลินสายตาเคร่งเครียดและดึงหนามออกมาอย่างรุนแรง! เส้นชีพจรทั่วร่าง ฉิงชุ่ยทั้งหมดปูดบวมและรวมกันมาหาหน้าอกเขา
ขณะที่หวังหลินดึงออกมา ระดับบ่มเพาะของฉิงชุ่ยจึงคลายออก กลิ่นอายสังหารแผ่กระจายในอากาศทำให้ก้อนเมฆสีดำปกคลุมท้องฟ้า กลิ่นอายสังหารหนาแน่นรุนแรงยิ่ง!
หิมะสีดำเริ่มตกลงมาจากก้อนเมฆ ปกคลุมพื้นแผ่นดิน
“พักก่อน ข้าจะทำเอง” ฉิงชุ่ยกะพริบแววตาเย็นเยียบและยืนขึ้น เขาดื่มสุราไปอีกหนึ่งอึกก่อนจะใช้แขนซ้ายจับหนามสีม่วงและดึงออกมาอย่างรุนแรง
เส้นชีพจรทั่วร่างขยับเคลื่อนไหวปั่นป่วนและเกิดเสียงปัง หนามสีม่วงจำนวนมากถูกดึงออกมา
“เจ้าผนึกขุนนางเทพมานาน ตอนนี้ข้าได้ออกมาจากขุมนรกแล้ว!” ฉิงชุ่ยเอ่ยเสียงเย็นเยียบราวกับไม่สนความเจ็บปวด คว้าหนามเส้นสุดท้ายและสะบัดขึ้น
ส่วนที่เชื่อมต่อกับเส้นชีพจรของเขาต้องการหดลงกลับไป แต่ฉิงชุ่ยไม่ได้มองมัน เขาโยนออกห่างได้ครึ่งตัว ดัชนีเคลื่อนไหวเหมือนกระบี่เข้าตัดเส้นชีพจร แก่นแท้สังหารจำนวนมากพรั่งพรูออกมาใส่เส้นชีพจร
“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออก ก็จงตายอยู่ในร่างข้าเสียเถอะ” ขณะที่นิ้วของฉิงชุ่ยบรรจงลงไป หิมะสีดำตกรุนแรงมากขึ้น แก่นแท้สังหารที่แม้แต่หวังหลินยังต้องตกตะลึงได้พลันโผล่ออกจากนิ้วฉิงชุ่ยเข้าใส่ร่างของเขา
เสียงปะทุดังกึกก้องอยู่ในร่าง เสียงคำรามโหยหวนดังออกมาจากเส้นโลหิตปูดโปนก่อนจะสงบลง ราวกับหนามที่มีชีวิตนั้นถูกแก่นแท้สังหารของฉิงชุ่ยฆ่าในทันที
ฉิงชุ่ยร่างสั่นเทา กระอักโลหิตสีดำออกมา ร่างผอมบางเริ่มขยายและฟื้นคืนเป็นรูปลักษณ์ดั้งเดิม
ในยามนี้แก่นแท้สังหารในร่างเขาปะทุขึ้น ท้องฟ้าเปลี่ยนไปเป็นสีดำ ขณะที่หิมะ สีดำตกลงมา เงาประตูปรากฏขึ้น!
ประตูดับสูญ!