1589. ฝันของเทพหรือเทพความฝัน
ดาวซูซาคุเปล่งแสงอ่อนโยน มองไกลๆ ช่างดูน่าสงบ มีเพียงละอองฝุ่นที่มองไม่เห็นกำลังพังทลายและปล่อยเสียงบางเบา
ละอองฝุ่นนั้นคือตำแหน่งการเกิดหายนะของหวังหลิน…
หลังจากผีเฒ่าจางหายตัวไป รอบดาวซูซาคุเกิดระลอกคลื่นเสียงดังกึกก้อง ไม่นานมันก็ปกคลุมทั่วฟ้าและมีหลายร่างก้าวเดินออกมา ปรมาจารย์หงซาน จ้าวเมฆาใต้ ฉิงหลิน ฉิงชุ่ย…และคนอื่นๆ
พวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวพร้อมกันแต่กลับปรากฏขึ้นมาติดๆ กัน สัมผัสวิญญาณทรงพลังกวาดไปทั่วบริเวณจนจับจ้องไปที่ละอองฝุ่นที่แตกสลาย ทุกคนขบคิดอย่างเงียบๆ
พวกเขาไม่อาจสัมผัสถึงกลิ่นอายของหวังหลินได้เลย เหมือนกับว่าหวังหลินเพิ่งจะหายไป ราวกับเขาตายไปแล้ว
ปรมาจารย์หงซานมีแววตาเศร้าสร้อย ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยขึ้น “เขาไม่ได้ตาย”
“การต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มต้น ดินแดนชั้นนอกจะแผ่ขยาย” ฉิงหลินถอนหายใจพลางมองไปยังละอองฝุ่นแตกสลาย ภาพหวังหลินในอดีตแล่นผ่านเบื้องหน้าสายตาของเขา
ฉิงชุ่ยมองขึ้นไปบนดวงดาวไกลๆ สายตาเย็นเยียบเป็นอย่างยิ่ง กลิ่นอายแก่นแท้สังหารแผ่กระจายออกมาจากร่างและห่อหุ้มทั่วบริเวณ
“ข้าจะไปแทนเขา…และวางกำลังที่จุดรบของทะเลเมฆา” ฉิงชุ่ยหลับตา ใบหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไปจนในที่สุดเขามีรูปร่างเป็นหวังหลิน กระทั่งอารมณ์เย็นเยียบยังคล้ายหวังหลินด้วย
เขาล้มเลิกการค้นหาลูกสาว เลือกจะใช้รูปลักษณ์และสัญลักษณ์ของหวังหลินที่ฐานการสู้รบในทะเลเมฆา
“ศิษย์น้อง ข้าจะแก้แค้นให้เจ้า…ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แม้ข้าจะมีโอกาส อันริบหรี่ ข้าก็จะทุ่มสุดตัวเพื่อแก้แค้นให้เจ้า!!” ฉิงชุ่ยหลับตาเพื่อซ่อนความโศกเศร้าในใจ
หลายคนที่มาถึงที่นี่ต่างก็รู้ดีว่าหวังหลินไม่สามารถหลีกเลี่ยงหายนะในครั้งนี้ได้ พวกเขารู้ว่าดินแดนชั้นนอกวางแผนมานานเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของพวกเขาและจู่โจมในครั้งนี้
คงเป็นเรื่องยากที่หวังหลินจะหลีกเลี่ยงและเสมือนกับตายไปแล้ว…
ขณะที่ความเงียบดำเนินต่อไป ทุกคนค่อยๆ แยกย้าย อย่างไรก็ตามความโกรธเกรี้ยวในใจแต่ละคนกลับเผาไหม้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…
ดาวซูซาคุยังคงเปล่งแสงอ่อนโยนอยู่ไกลๆ ราวกับอยู่แบบนี้ไปตลอดกาล ทุกคนที่หวังหลินคุ้นเคยยังจมอยู่ในโลกของตัวเอง พวกเขายังไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่
โจวหวู่ไท่ยังคงนั่งอยู่บนรูปปั้นซูซาคุ ดื่มสุราอย่างเงียบงัน
ณ เมืองหลวงในแคว้นจ้าว บ้านเก่าๆและสนามหญ้ายังคงอยู่ดี สุสานยังคงอยู่อย่างโดดเดี่ยว มีเพียงร่างที่เสียใจและร้องไห้ผู้นั้นที่หายไป
บนพื้นมีขวดสุราว่างเปล่าอยู่ไม่กี่ขวด ข้างในไม่มีสุราจากตระกูลเซิ่งอีกแล้ว
รูปปั้นยักษ์ถือขวานแยกสวรรค์ยังคงมองท้องฟ้า ราวกับคงอยู่ไปชั่วกาลนาน…
หลายวันต่อมา ชายหนุ่มท่าทีเย็นชาได้ยืนอยู่ใต้รูปปั้นอย่างเงียบๆ เขาคุกเข่าลงช้าๆ และโขกคำนับพร้อมน้ำตาที่หลั่งไหลออกมา
‘อาจารย์ เมื่อข้าเจิดจรัสและทุกคนมองมา ฉือซานจะประกาศว่าข้าคือศิษย์ ของท่าน!!’
หลายวันต่อมา สตรีงดงามผู้หนึ่งมาพร้อมสายตาสะอึกสะอื้นและพยัคฆ์แก่ตัวหนึ่ง นางค่อยๆ ลูบรูปปั้น หยาดน้ำตาไหลจากแก้มลงไปบนพื้น
“ท่านลุง…ข้าโจวลี่…ข้าลี่เอ๋อร์น้อย…”
หลายวันต่อมา ชายร่างกำยำมาหัวเราะเบื้องหน้ารูปปั้น เขาหัวเราะจนกระทั่งน้ำตาไหลออกมา เขาถือสุราสองขวดราวกับต้องการดื่มไปพร้อมกับรูปปั้น
หลังจากเมาได้ที่ ชายร่างกำยำก็เริ่มร้องไห้
“หากข้าไม่ได้นำทางเจ้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกเซียน…หากตอนนั้นเราไม่ได้เจอกัน…หากข้าเอาลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าไปจากเจ้าเมื่อตอนนั้น…หากเจ้ายังเป็นคนไร้เดียงสา…”
หลายวันต่อมา สตรีงดงามผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้ารูปปั้น นางยืนมองอยู่นานตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก…ผ่านวงโคจรนี้ไปหลายวันนางก็จากไปอย่างเงียบๆ นางหันไปพร้อมกับหยาดน้ำตาไหลรินสองสาย เมื่อตกลงบนพื้นจึงสูญสลาย
นางคือ มู่ปิงเหมย
หลายวันต่อมาเป็นสตรีสวมชุมสีชมพู กระโปรงลวดลายคลื่นน้ำ นางมาถึงดาว ซูซาคุด้วยความเหน็ดเหนื่อย มองดูรูปปั้นและนึกย้อนไปถึงอดีต
“ท่านไม่รู้จักข้า แต่ข้ารู้จักท่าน!”
หลายวันต่อมา หลายเดือนต่อมา….ในห้วงเวลาที่คล้ายจะเป็นมิติว่าง ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุด มีเพียงร่างทั้งสองที่พังเสียหาย…
สถานที่แห่งนี้เป็นความมืดมิดที่ไร้สิ่งมีชีวิตหรือสิ่งของอันใด ความเงียบที่นี่ดูเหมือนจะคงอยู่ไปชั่วกาลนาน ในความว่างเปล่าแห่งนี้มีแสงสีโลหิตเบาบางก่อตัวเป็นวงกลม ข้างในวงกลมมีร่างหวังหลินที่กำลังพังทลายในวงกว้าง มีแต่รอยแผลเป็น เต็มไปหมด
ด้านข้างเขา เหลียนต้าวเฟยหลับตาแต่ใบหน้าซีดเผือด บนร่างกายไม่มีร่องรอยบาดแผลแต่ตรงกลางหน้าผากมีแสงสีรุ้ง หอกสีรุ้งไม่สามารถทำร้ายร่างอมตะของเหลียนต้าวเฟยได้เลย แต่มันสามารถทำร้ายวิญญาณของเขาได้ ซึ่งมันไม่ได้รับการป้องกันจากเหตุการณ์บาดเจ็บสาหัสในอดีต…
วงกลมแสงโลหิตนี้ถูกสร้างขึ้นจากหยดโลหิตสีทองที่หวังหลินถือไว้ในมือ ขณะที่แสงอ่อนโยนห่อหุ้มตัวเขา หวังหลินพยายามลืมตาขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานแค่ไหน แต่รู้ว่าคงตื่นได้แค่ชั่วเวลาสั้นๆ
พอรู้สึกเจ็บปวด หวังหลินจึงเห็นเหลียนต้าวเผยที่ไร้สติ สายตาหวังหลินจึงอ่อนโยน ถอนหายใจและพยายามยกแขนขึ้นมา หลังโบกมือไปหลายครั้งเขาจึงเปิดมิติเก็บของได้
ผลไม้เต๋าสามลูกลอยออกมาและสูดเข้าไป ผลไม้ทั้งสามเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงสามสายเข้าสู่ปากของหวังหลินพร้อมด้วยเจตนาแห่งเต๋าอันปั่นป่วนเกินบรรยาย
แสงอันแข็งแกร่งที่สุดผุดขึ้นมาในแววตาหวังหลิน ณ ปลายสุดของชีวิต แขนซ้ายคว้าจับเหลียนต้าวเฟย ส่วนนิ้วชี้ขวาชี้ตรงกลางหน้าผากตนเอง
“เต๋าความฝัน…” ใช้พลังที่เหลืออยู่เพื่อเรียกใช้งานวิชาที่เขาคิดค้นขึ้นมาเอง วิชาที่สามในชื่อ เต๋าความฝัน
ใช้เต๋าความฝันของตัวเองเพื่อฝันถึงหลายพันปีก่อน…ในความฝันนั้น เขาได้ทำให้แก่นแท้แห่งชีวิตและความตาย เวรกรรม และจริงเท็จสมบูรณ์แบบ!
แขนขวาคลายออกและหวังหลินหลับตา…
“น้องชาย น้องชาย ตื่นเถอะ…”
“อา เจ้าดื่มไปมากขนาดไหนกัน? ข้ากำลังจะทำความสะอาด ตื่นได้แล้ว…” ในเหลาอาหารที่อยู่ริมถนน เสี่ยวเอ้อร์ชุดเขียวกำลังดันชายหนุ่มบนโต๊ะอย่างช่วยไม่ได้
“เป็นบัณฑิตจริงๆ แค่สองแก้วก็เมาแล้ว” เสี่ยวเอ้อร์ปลุกแรงขึ้น
“สวรรค์คือที่พักพิงสำหรับทุกชีวิต…กาลเวลาคือนักเดินทางหลายร้อยที่ผ่านพ้น…และถือกำเนิดเป็นความฝัน ดังเช่นความสุข…หรือจะฝันอย่างเป็นสุข…บทกวีที่ดี บทกวีที่ดี!” ชายหนุ่มมองเสี่ยวเอ้อร์ด้วยสายตามึนเมาและหัวเราะคิกคัก
“ฮี่ฮี่ ข้าจะบอกเจ้าให้ฟัง ข้าฝัน…ข้าฝันว่าข้าเป็นเซียน…” จากนั้นชายหนุ่มก็ฟุบไปบนพื้นและเริ่มกรน