Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1594

Cover Renegade Immortal 1

1594. มองกลับมาและนั่นคือวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่

หวังหลินมองเปลวไฟและตกอยู่ในภวังค์ แต่เขาถูกเสียงกลืนน้ำลายเข้าขัดขวาง มองไปเห็นชายวัยกลางคนมองอาหารแห้งในมือเขาห่างออกไปไม่ไกล ชายวัยกลางคนเลียริมฝีปากและเผยท่าทีน่าสงสาร

หวังหลินมองอีกฝ่ายและยิ้มออกมา นาทีนั้นเขาไม่รู้สึกว่าชายวัยกลางคนเป็นคนแปลกหน้า เขาแค่รู้สึกสงสาร

“เอ้านี่” หวังหลินนำอาหารแห้งออกมาจากกระเป๋าไม้ไผ่และส่งให้ชายวัยกลางคน

อีกฝ่ายเบิกตากว้าง หลังจากกลืนน้ำลายจึงพุ่งปรี่เข้ามา คว้าอาหารแห้งและกลืนเข้าไปเพียงแค่กัดสองคำ

“อร่อย อร่อยมาก ราชาผู้นี้ไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน…เอ๋? ทำไมข้าถึงเรียกตัวเองว่า ‘ราชา?’ ” ชายวัยกลางคนแข็งค้างไปชั่วขณะและส่ายศีรษะ เขาไม่คิดถึงอีกและมองหวังหลินด้วยความขอบคุณ

หวังหลินนำเศษอาหารแห้งออกมาอีกหลายชิ้นและยื่นส่งให้ เขาเอ่ยถามเบาๆ “เจ้าชื่ออะไร? ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่? ตระกูลเจ้าอยู่ที่ไหน?”

ชายวัยกลางคนมอบเหตุผลที่อธิบายไม่ได้มาให้เขา ยิ่งเขาติดต่อพูดคุยกับชาย วัยกลางคน ยิ่งเกิดความรู้สึกรุนแรง ราวกับทั้งสองรู้จักกันมาก่อนและตอนนี้กลับมีความรู้สึกผิดในใจ

ชายวัยกลางคนหยิบอาหารแห้งและกำลังกิน เขาตกตะลึงกับคำพูดของหวังหลินและจากนั้นก็เริ่มร้องไห้พลางมองอาหารแห้งในมือไปด้วย

“ข้าไม่รู้ว่าข้าชื่ออะไร…ตอนที่ข้าตื่นขึ้นมา ข้าอยู่ในภูเขา ข้าคิดอะไรไม่ออก… แสงสีทอง ข้าจำได้ว่าตื่นขึ้นมามีแสงสีทองล้อมรอบและมีคนจำนวนมากพยายามไล่จับข้า ฮึ่มฮึ่ม แต่พวกเขาหาข้าไม่เจอหรอก” ชายวัยกลางคนร้องไห้และเสียงเริ่มฟัง ไม่รู้เรื่อง

หวังหลินมีสายตาอ่อนโยนขึ้น พอเห็นอีกฝ่ายกินอาหารแห้งของเขาซึ่งเหลืออยู่ไม่มาก เขาส่ายศีรษะและยิ้มออกมา จากนั้นนำกระเป๋าใส่น้ำยื่นส่งให้

ชายวัยกลางคนดื่มน้ำไปอีกใหญ่จนสะอึก เขายิ้มให้หวังหลินและส่งขาไก่ในมือมาให้

“เอ้านี่ ขาไก่นี่ไม่มีรสชาติแล้ว”

หวังหลินยิ้มและรับขาไก่มา เขาไม่ได้กินแต่ห่อมันและวางไว้ในกระเป๋าเป้

สายฝนนอกอารามยิ่งจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ไปพร้อมกับสายฟ้าดังลั่นและแสง แปลบปลาบ ประตูของอารามแกว่งไปกับสายลมไปมาและตีเข้ากับผนังเป็นบางครั้ง นอกจากเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดแล้ว ตอนนี้มีเสียงประตูชนเข้ากับกำแพงอีก

ทั้งโลกมืดมิดจนเหลือเพียงเสียงไฟในอารามที่เล็ดลอดออกมา เป็นแสงเลือนลางในความมืด

หวังหลินและชายวัยกลางคนนั่งถัดกับกองไฟ ความอบอุ่นค่อยๆ ผุดขึ้นในเสื้อผ้าเปียกๆ ของทั้งสอง

หวังหลินมองเปลวไฟและเอ่ยขึ้นเบาๆ “บางทีมันก็ดีแล้วที่ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร บางครั้งหากรู้ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าคงอดคิดไม่ได้ว่าอยู่ในฝันของคนอื่นอยู่หรือไม่… ไม่นานมานี้ข้าฝันไปเยอะมากและฝันนั้นก็สมจริงอย่างยิ่งจนแยกความจริงไม่ออก”

ชายวัยกลางคนดื่มน้ำไปหนึ่งอึก ส่ายศีรษะพร้อมกับพึมพำไปด้วย

“พูดถึงใคร? ลองคิดสิว่ามันน่าเจ็บปวดแค่ไหนที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ฮึ่มฮึ่ม ถ้าเป็นข้านะ มันคงไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นความฝัน ตราบใดที่ข้ามีความสุข ตราบใดที่ข้ามีความสุข นั่นมันก็ดีแล้ว”

หวังหลินหรี่สายตาลง คำพูดของอีกฝ่ายเข้าจี้จุดเขา

‘ตราบใดที่ข้ามีความสุข นั่นมันก็ดีแล้ว…ความฝันของข้าคือการผ่านการสอบราชการเพื่อครอบครัวของข้าจะได้มีชีวิตที่ดีและไม่โดนดูถูก…’ หวังหลินขบคิดอยู่นานและพยักหน้า

หวังหลินมองขึ้นด้านบน หยิบกิ่งไม้แห้งเข้าใส่กองไฟมากขึ้นและเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร? เจ้ามีความฝันอะไร?”

ชายวัยกลางคนหาววอดและดูเหมือนง่วงนอน พอได้ยินหวังหลินขึ้นมาพลันตื่นและเริ่มพูดอย่างตื่นเต้น

“ข้า ข้ามีความฝันหลายอย่าง ข้าอยากได้หินวิญญาณเยอะๆ ข้าอยากได้เงินเยอะๆ ข้าอยากได้ของกินอร่อยๆ…” ขณะพูดพลางกลืนน้ำลายไปด้วย

“หินวิญญาณคืออะไร?” หวังหลินตกตะลึง

“หินวิญญาณ? เอ๋ ข้าพูดว่า ‘หินวิญญาณ’ แต่หินวิญญาณคืออะไร?” ชายวัยกลางคนเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาเกาศีรษะและมองหวังหลิน

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและยิ้มออกมา เขาไม่ถามต่อและเริ่มพูดคุยกับอีกฝ่าย

ทั้งสองคนดูเหมือนสนทนาต่อไปกันไม่หยุด เดิมทีชายเสียสติก็ง่วงนอน แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น เขาไม่รู้ว่าทำไมแต่หวังหลินทำให้เขารู้สึกอบอุ่นเหมือนเหมือนญาติสนิท

สายลมหวีดหวิวข้างนอก พัดเข้ามาในอารามให้เปลวเพลิงสั่นไหวเป็นครั้งคราว มันนำพาความหนาวเย็นมาด้วยแต่ไม่ได้ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกเย็นอีกแล้ว

แม้กระทั่งรอยยิ้มยากจะเข้าใจจากรูปปั้นด้านหลังของทั้งสองก็ดูจะอ่อนลง สัมผัสแห่งความอบอุ่นเข้าห่อหุ้มอารามและสลายความหนาวเย็นที่นี่

พอถึงกลางดึกไม่เพียงแต่ฝนจะไม่หยุดเท่านั้น มันยิ่งตกหนักกว่าเดิม เปลวเพลิงเบื้องหน้าหวังหลินค่อยๆ อ่อนลงเพราะไม่มีกิ่งไม้แห้งมาเติมเต็ม มันจึงดูเหมือนจะหมดไฟได้ทุกเมื่อ

“ข้าจะบอกความลับอย่างหนึ่งให้เจ้าฟัง ข้าไม่เคยบอกความลับเรื่องนี้ให้ใครมาก่อน” ชายวัยกลางคนกล่าวกับหวังหลินอย่างลึกลับ

หวังหลินมองเขาและพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเผยความน่าสนใจ

ชายวัยกลางคนยืดมือขวาออกมาเบื้องหน้าหวังหลิน

“ดู ดูนี่สิ เจ้าเห็นอะไร?” ชายวัยกลางคนชี้ไปที่ข้อมือขวาและเขาดูพึงพอใจมากกว่าเดิม

ทว่านอกจากความสกปรกแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นตรงนั้น หวังหลินมองอยู่สักพักและส่ายศีรษะ

“เอ๋ เจ้าไม่เห็นอะไรเลยหรือ? เป็นไปไม่ได้ รอสักครู่ ให้ข้าไปล้างก่อน” ชายวัยกลางคนรีบวิ่งไปหาแอ่งน้ำในอารามและล้างแขนขวา จากนั้นกลับมาหา หวังหลิน ยกแขนขึ้นอีกครั้งและพูดกระซิบๆ “ตอนนี้เจ้าเห็นหรือไม่?”

หวังหลินทำสีหน้าประหลาดและส่ายศีรษะอีกรอบ เขาไม่เห็นอะไรจริงๆ

ชายวัยกลางคนมีอารมณ์ฉุนเฉียวและคำรามใส่หวังหลิน

“ดูใกล้ๆ เบิกตากว้างๆ เจ้า…เจ้า…เจ้าไม่เห็นได้อย่างไร? เจ้าโกหก เจ้าเห็นมันชัดเจน”

หวังหลินลูบหน้าผากและถือแขนขวาของชายวัยกลางคนไปข้างหน้าดวงตา หลังจากนั้นสักพักเขาก็ยิ้มและพยักหน้า “ข้าเห็น ข้าเห็นมันจริงๆ”

“ฮี่ฮี่ ข้าดีใช่ไหม? ฮึ่ม ข้ากำลังจะไปหาคนผู้นี้ เขาน่าจะรู้จักข้า” ชายวัยกลางคนนั่งข้างๆ และมองแขนตัวเอง ค่อยๆ ตกในความงุนงง

“ข้าจำเป็นต้องไปหาเขา ข้ามีความรู้สึกว่าเขาสัญญาว่าจะดูแลข้า เขาสัญญาว่าจะเล่นกับข้า แต่เขาก็หายไป… ไม่มีใครอยู่ดูแลข้า ข้าเหลือตัวคนเดียว…ข้าจะไป หาเขา ข้าต้องค้นหาเขา”

สีหน้าเขาหมองหม่นลงและกอดเข่าพลางมองแขนตัวเอง เสียงเบาลงจนกระทั่งหลับไป

หวังหลินถอนหายใจและลุกขึ้นนำเสื้อผ้าหนาๆ ออกมา ไม่สนว่าชายวัยกลางคนจะเนื้อตัวสกปรกแค่ไหน หวังหลินนำเสื้อผ้ามาห่มให้ซึ่งดูเหมือนจะไปทำให้อีกฝ่ายคว้าเสื้อและหันหน้ามาก่อนจะหลับไป แขนขวาจึงหันมาเจอหวังหลิน

หวังหลินนั่งอยู่ข้างกองไฟ มองดูเปลวเพลิงที่ค่อยๆ อ่อนลง เขาขบคิดเงียบๆ ในอารามพร้อมกับเสียงฝนที่ยังตกอยู่ข้างนอก

จิตใจเขาไม่สับสนอีกต่อไปแล้ว ความฝันเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นเพียงแค่ความฝัน เขาก็ยังมีความสุข เขายังเดินไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น

‘ความฝันนั่นคืออีกชีวิตข้า! แม้ชีวิตนั้นจะยอดเยี่ยมและงดงามแค่ไหน ความเศร้าและความโดดเดี่ยวจากความฝันนั้นได้ทำให้หัวใจเจ็บปวดอยู่เสมอ…’ หวังหลินดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

วินาทีนั้นเปลวไฟก็มอดลงและดับไปในที่สุด ควันพวยพุ่ง ความมืดมิดห่อหุ้มอารามอีกครั้ง หวังหลินเอาตัวพิงผนังและกำลังจะหลับไปพร้อมเสียงกรนของ คนข้างๆ ขณะที่กำลังจะหลับตา ดวงตาพลันเบิกกว้างและหันไปมองชายวัยกลางคน

ตอนนี้อารามมืดสนิท แต่มีแสงสีทองจางๆ ออกมาจากชายวัยกลางคน แสงนี้ออกมาจากข้อมือของเขาที่มีประทับฝ่ามือจางๆ!

ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นคว้าข้อมือของชายเสียสติเอาไว้และทิ้งประทับฝ่ามือนี้

พอมองประทับฝ่ามือ หวังหลินเกิดความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งขึ้นในใจ เขาตกตะลึงอยู่พักใหญ่และจึงมองมือของตัวเอง แต่ประทับฝ่ามือพร่ามัวจนแทบมองไม่ออก หวังหลินตกตะลึงอยู่นานและจึงส่ายศีรษะ

สายฝนตกตลอดทั้งคืนและไม่หยุดแม้แต่ตอนรุ่งสาง กลิ่นพื้นดินแทรกซึมขึ้นมาและพัดเข้าไปในอาราม

หนึ่งคืนที่ไม่ได้ฝัน

หวังหลินลืมตาขึ้นมาและเหยียดร่างกาย สายตามองท้องฟ้าด้านนอกอาราม เขาเหยียดแข้งเหยียดขา มองดูชายวัยกลางคนที่กำลังกรน แขนขวาของเขากลับคืน สู่ปกติ รอยประทับสีทองมิอาจมองเห็นอีกแล้ว

หวังหลินเก็บความสงสัยไว้ในใจ เขาเก็บเสื้อผ้าและเปลี่ยนเป็นชุดสะอาดสะอ้าน จากนั้นปลุกชายวัยกลางคนสองสามครั้ง พอเห็นว่าตื่นขึ้นแล้วจึงคำนับฝ่ามือและ ยิ้มกว้าง

“การพบเจอกันของเราเมื่อคืนถือว่าเป็นโชคชะตา ข้าชื่อว่าหวังหลิน ข้ายังต้องไปสอบราชการ หากเราสามารถ…” ขณะที่หวังหลินเอ่ยขึ้น เขาก็หยุดลง ชายเสียสติ ก้มศีรษะและดูหดหู่

หวังจากขบคิดเล็กน้อย หวังหลินนำอาหารแห้งสำหรับหนึ่งวันและที่เหลือออกมา เขาวางไว้ข้างหน้าชายเสียสติและกระซิบ “ข้าต้องไปแล้ว เจ้าจะหาคนผู้นั้นได้แน่นอน”

อย่างไรก็ตามเขารู้สึกสงสาร สายตามองชายวัยกลางคนก่อนจะถอนหายใจและมุ่งหน้าออกไปนอกอาราม ทว่าก่อนที่จะเดินออกไปนอกประตู เขาได้ยินเสียงร้องไห้

“ทั้งหมดทิ้งข้า เขาทิ้งข้าและเจ้าก็ทิ้งข้า ไม่มีใครสนใจข้า…”

ฝ่าเท้าของหวังหลินหยุดลงและมองดูท้องฟ้าข้างนอก หลังจากนั้นจึงหันกลับมามองชายวัยกลางคนที่กำลังร้องไห้ในอาราม จึงเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ข้า…ข้าขาดคนติดตาม เจ้ามีอายุไปหน่อย แต่ไม่น่าจะเป็นปัญหา…”

นาทีนั้นหวังหลินไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเสมือนวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ กลับไปตอนที่เขาเจอชายเสียสติครั้งแรก เขารู้สึกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ในบททดสอบมนุษย์ตอนที่อยู่ในดินแดนตกสวรรค์ เป็นที่ที่เขาเห็นตัวเองอีกรูปแบบหนึ่งและมีคนติดตาม

คนผู้นั้นถือสุราและกังวลเรื่องเงินซื้อสุราอยู่บ่อยๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version