Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1593

Cover Renegade Immortal 1

1593. ยามคืนฝนตก วิญญาณกลับคืนสู่อารามโบราณ

หวังหลินจ้องมองท้องฟ้า สองลำแสงเลือนหายออกไปไกล

“นางเป็นใคร…ช่างคุ้น คุ้นเหลือเกิน…” หวังหลินพึมพำพร้อมรู้สึกเหมือนเกิดความเจ็บปวดในใจ ผสมผสานเข้ากับความเศร้ามิอาจอธิบาย จึงเปลี่ยนเป็นพลังประหลาดที่ทำให้ลมหายใจหวังหลินปั่นป่วนและหน้าซีดเผือด

ร่างกายโอนเอน ถอยไปสองสามก้าวพลางหันสายตาไปทางเส้นขอบฟ้าที่พังทลาย แขนขวากดลงบนหน้าอกตรงจุดที่เกิดความเจ็บปวด ความเจ็บปวดท่วมท้นเข้าหาเขาดุจคลื่นสมุทร เป็นความเจ็บปวดที่มิอาจพูดออกมาได้ ราวกับหัวใจกำลังถูกฉีกกระชากและความเศร้าโผล่ขึ้นออกมา

ทั้งหมดนี้ออกมาจากหญิงสาวที่ล่องทะยานผ่านท้องฟ้า นางดูเหมือนจะอยู่ในความคิดหวังหลินมาหลายปี แต่ความคิดเหล่านั้นมาพร้อมกับร่างที่ทำให้รู้สึกซับซ้อนจนอธิบายไม่ถูก

หลังจากผ่านไปสักพัก ใบหน้าหวังหลินจึงกลับมามีสีแดงอีกครั้ง เขาหอบหายใจหนักและหลับตาลง

‘เช่นนั้นพวกเซียนมีตัวตนอยู่จริงๆ… เช่นนั้นความฝันของข้า…คือความฝันจริงๆใช่หรือไม่…’ หวังหลินขบคิดเงียบๆ พลางยืนอยู่บนพื้นสกปรกหลังสายฝน จนกระทั่งท้องฟ้าส่องสว่างขึ้นชัดเจน เขาจึงลืมตาขึ้นมาด้วยความงุนงงและเดินต่อไปอย่างเงียบๆ

‘ข้าฝันว่าเป็นเซียน หรือ…เป็นเซียนแล้วฝันถึงตัวข้า…’ หวังหลินไม่เข้าใจ ราวกับเป็นฝันอันเลือนลางก่อนจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขา

หวังหลินก้าวไปบนถนนสายหลักและเดินเข้าหาเมืองหลวงอีกครั้ง เขาไม่ทำการสังเกตสิ่งรอบข้างอีกต่อไปแล้วแต่เดินไปเงียบๆ พร้อมกระเป๋าไม้ไผ่แบกอยู่ด้านหลัง เดินด้วยฝีเท้าเหยียบย่ำดังลั่น

พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก

หวังหลินเดินอยู่บนถนนหลวงตลอดทั้งวัน เมื่อไรที่เหน็ดเหนื่อยเขาจะนั่งลงข้างทางและนำอาหารแห้งออกมากิน หลังจากพักผ่อนได้เล็กน้อยก็จะเดินต่อไป

เมื่อเสียงม้าและรถม้าดังอยู่ไกลๆ หวังหลินจะหลบไปข้างทาง พอรถม้าหรือพวกม้าผ่านไปเขาจึงจะกลับไปบนถนน

พริบตาเดียวผ่านไปเจ็ดวัน ตลอดเจ็ดวันนี้ร่างกายอ่อนแอของหวังหลินค่อยๆ แข็งแรงขึ้น ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงตกดิน หวังหลินเดินอยู่บนถนน หากมีโรงเตี๊ยมสักแห่งอยู่บนถนน เขาก็จะไปพักผ่อน

หรือหากมองเห็นควันจากหมู่บ้านในยามพระอาทิตย์ตกก็คงดีไม่น้อย หวังหลินพบว่ามันสะดวกสะบายยิ่งกว่าการพักในโรงเตี๊ยมเสียอีก

อย่างไรก็ตามหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของหวังหลินเป็นการเจอภาพลวงตาที่เขาอยู่คนเดียวในโลก เขาพบเจอร่มเงาข้างๆ ถนนและปกคลุมตัวเองด้วยเสื้อผ้าหนาๆ จากนั้นนับดวงดาวในท้องฟ้าพลางคิดถึงความอบอุ่นของบ้านและครอบครัวไปพร้อมกับการหลับใหล

เปลวเพลิงที่เขาจุดเบื้องหน้าค่อยๆมอดดับ ควันพวยพุ่งขึ้นสู่อากาศคล้ายผสานเข้ากับท้องฟ้า

สายลมยามค่ำคืนช่างหนาวเหน็บและมักจะทำให้หวังหลินตื่นขึ้นมาเสมอ ทุกครั้งที่เขาตื่นมักจะมองความเงียบรอบๆ เขารู้สึกคุ้นเคยกับความมืดและไม่กลัว กระนั้นพอจิตใจสงบนิ่ง สายตามองรอบๆ ก่อนจะหลับใหลไปอีกครั้ง

เวลานี้แคว้นจ้าวเป็นฤดูฝน แม้ฝนจะหยุดไปแล้วแต่ท้องฟ้ายังคงปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆหนาแน่นและเสียงสายฟ้าดังกึกก้อง สายฝนมักจะหยุดไปครึ่งวันก่อนจะตกลงอีกครั้ง

ยามพลบค่ำของวันที่แปด หวังหลินกางร่มและวิ่งไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม สายฝนตกใส่บนร่ม สายฟ้าส่งเสียงดังลั่น แม้จะพลบค่ำแต่ท้องฟ้าก็มืดแล้ว

‘เดินทางอีกวันเดียวข้าก็จะถึงเมืองหลวง แต่ฝนกลับตกหนักขึ้นกว่าเดิม’ พื้นดินเจิ่งนองจนเม็ดฝนกระเด็นจากพื้นไปบนเสื้อเขา เสื้อคลุมสีเขียวเปียกชุ่มและดูดความร้อนออกไปจากร่างกาย ค่อยๆ ทำให้หวังหลินรู้สึกเย็นเยียบ

เมื่อสายลมชื้นแฉะพัดเข้ามา ความหนาวเย็นพัดจนเสียดกระดูก หวังหลินตัวสั่นและวางร่มไปปกคลุมกระเป๋าไม้ไผ่ซึ่งมีหนังสือและอาหารแห้งอยู่ข้างใน รวมไปถึง ชุดเปลี่ยน สิ่งเหล่านั้นไม่ควรให้มันเปียกโชก

หวังหลินรีบเดินผ่านสายฝนและมองหาสถานที่พักพิง ห่างออกไปไกลเขามองเห็นบ้านหลังหนึ่งอยู่เลือนลาง

เขาไม่มีเวลามองใกล้ๆ แต่ก็บังร่มและเดินไปใกล้ๆ พอเข้าไปได้ใกล้ขึ้นจึงเห็นว่าเป็นอารามร้าง

เสียงดังลั่นเอี๊ยดในคืนฝนตก ส่งสัมผัสความน่ากลัวเข้าไปในหู

อารามไม่ได้ใหญ่มากและทรุดโทรม มีประตูสองบานเข้าสู่อาราม บานหนึ่งปิดตาย มีรอยสีแดงบนประตูที่ดูเลือนลาง วงแหวนบนประตูขึ้นสนิม สายฝนรวมกันบน วงแหวนขึ้นสนิมและไหลย้อยลงมา

ประตูอีกบานของอารามพังเสียหายอย่างรุนแรง แม้จะยังเชื่อมกับขอบประตูเล็กน้อยแต่มันปิดไม่ได้อีกแล้ว มันโยกเยกไปตามสายลมและสายฝน ส่งเสียงดังเอี๊ยดๆให้ได้ยิน

ขณะที่สายลมและสายฝนรุนแรงขึ้น เสียงประตูดังเอี๊ยดราวกับกำลังจะหลุดออกจากกรอบ

หวังหลินเดินเข้าไปใกล้ขึ้น สายตามองอารามก่อนจะเดินเข้าไป สนามในอารามปกคลุมไปด้วยก้อนหินและใบหญ้า สายลมและสายฝนทำให้ใบหญ้าเอนเอียง ผสมผสานเข้ากับเสียงประตูดังเอี๊ยด

แสงกะพริบตามมาด้วยเสียงสายฟ้าดังลั่นขึ้น ทำให้หวังหลินเห็นทุกสิ่งทุกอย่างข้างในอาราม หวังหลินอุทานและก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เขาเห็นโครงกระดูกสีขาวหลายร่างอยู่ตรงขอบอาราม

หัวใจหวังหลินเต้นระรัว ใบหน้าซีดเผือด แต่สายฝนกำลังหนักขึ้นเรื่อยๆ เขากัดฟันแน่นและไม่สนโครงกระดูกที่ตายที่นี่ซึ่งไม่รู้ว่ากี่ปีมาแล้ว หวังหลินพลางเดินเข้าไปในอาราม

รูปปั้นขนาดยักษ์สูงหลายสิบฟุตตั้งอยู่ในอาราม รูปปั้นแทบมองไม่ออกว่ารูปร่างหน้าตาแบบไหนและสีสันของมันก็จางไปนานแล้ว มันแตกหักไปทุกที่ทั่วอาราม

ในอารามมีน้ำเป็นแอ่ง กระเบื้องหลังคาหลายชิ้นแตกหักจนสายฝนตกเข้ามาข้างในได้และทำให้น้ำรวมกันที่พื้นจำนวนมาก

กลิ่นอายเย็นเยียบล้อมรอบอาราม หวังหลินสูดหายใจลึก ใบหน้าซีดเผือด โค้งตัวเข้าหารูปปั้นก่อนจะหาที่ที่ไม่มีน้ำเพื่อวางกระเป๋าไม้ไผ่ จากนั้นวางกิ่งไม้แห้งข้างหน้าและพยายามจุดไฟ

กิ่งไม้พวกนี้ไม่ได้แห้งสนิท ดังนั้นหวังหลินจึงจุดไฟล้มเหลวไปหลายครั้ง ร่างกายเขาหนาวเย็นและตัวสั่นเทาเพื่อจุดไฟอีกครั้ง

ทว่าในขณะนั้น ประกายฟ้าผ่าระเบิดขึ้นในอาราม ส่งผลให้มือหวังหลินสั่นเทา เงาร่างขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาล้อมรอบพื้นที่

“ใครน่ะ!?” หวังหลินหันหน้าขึ้นทันที ระงับอาการตื่นตะลึงในใจและมองไปที่ประตู

เสียงของเขาดังมากจนแทบเป็นเสียงคำราม ขณะที่สายฟ้ากระจายตัว ได้ทำให้คนที่กำลังจะเข้ามาในอารามต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

“ใคร!?” น้ำเสียงหวาดกลัวดังออกมาจากข้างนอก ชายวัยกลางคนสวมชุดเก่าๆ ซึ่งดูเหมือนเพิ่งปีนออกมาจากเขา พลันก้าวถอยหลังก่อนจะล้มไถลเข้ามา

หลังจากเข้ามาใกล้หวังหลินที่อยู่ในอาราม ชายวัยกลางคนผ่อนคลายเล็กน้อย เขารีบเข้ามาในอารามและจ้องหวังหลิน จากนั้นตบหน้าอกแรงๆและคำรามใส่หวังหลิน

“เจ้าทำให้ข้ากลัว!!”

หวังหลินตกตะลึงไปชั่วขณะและเผยรอยยิ้มแห้งๆ เขาผ่อนคลายและจากนั้นคำนับฝ่ามือให้ชายวัยกลางคนและขอโทษ “กลางคืนมันมืดและข้ามองเห็นไม่ค่อยชัด ฟ้าผ่ามากะทันหันเกินไป ข้าหวังว่าพี่ชายจะไม่ถือสา”

ชายวัยกลางคนพ่นลมหายใจและพึมพำอยู่เล็กน้อย เขาไม่ให้ความสนใจหวังหลินอีกพลางนั่งลงข้างๆและยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อนำขาไก่เปียกชื้นออกมาครึ่งน่อง พอมองมันเล็กน้อยจึงระเบิดน้ำตาออกมา

เสียงร้องไห้ของเขาเศร้ามากในค่ำคืนสายฝนเช่นนี้และยังทำให้หวังหลินรู้สึกเย็นเยียบ หวังหลินเคลื่อนตัวออกห่างและในที่สุดก็จุดกิ่งไม้ก่อกองไฟได้

ภายใต้เปลวเพลิงกะพริบวูบวาบนี้ ทุกอย่างในอารามจึงชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

ชายวัยกลางคนร้องห่มร้องไห้พลางกัดน่องไก่เปียกแฉะก่อนจะเริ่มยิ้มกว้าง จากนั้นเขาก็หัวเราะเสียงดังจนหวังหลินตกตะลึง

‘คนเสียสติ…’ หวังหลินเคลื่อนตัวออกห่างขึ้นอีก ถ้าไม่ใช่เพราะฝนตกข้างนอก เขาคงเลือกจะจากไปแล้ว แม้ที่นี่จะใกล้กับถนนหลวง หากคนเสียสติปรากฏคืนกลางค่ำคืนเช่นนี้มันก็ยังหนาวอยู่ดี

ชายวัยกลางคนหัวเราะก่อนจะร้องไห้อีกครั้ง

“พวกเขาไม่สนใจข้า พวกเขาไม่สนใจข้า…ข้าจำไม่ได้…ข้าเป็นใคร…”

เสียงร้องไห้ดังไปทั่วอารามและทำให้หวังหลินรู้สึกสงสาร เขาหันไปมองชายเสียสติและถอนหายใจ

“ฝันเหมือนจริงก่อนตื่นขึ้นมา ชีวิตเหมือนเป็นของเล่นแต่ข้าเป็นใครกันเล่า…ความฝันคือชีวิตจริงและตื่นมาคือกำลังตาย หรือฝันว่ากำลังตายและตื่นมาคือชีวิตจริง…ชั่วขณะที่หลับตาและลืมตาคือชั่วขณะความเป็นความตาย หรือบางทีมันเป็นตอนที่แยกไม่ออกระหว่างชีวิตจริงและชีวิตปลอม…”

“ชีวิตนี้คือวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ หรือบางทีมันก็เป็นวัฏจักรแห่งเวรกรรมด้วย…แต่เมื่อไหร่ข้าจะตื่นขึ้นกันนะ….” หวังหลินพึมพำ จากนั้นแววตามีแต่ความงุนงง ตลอดหลายวันมานี้ความฝันของเขาได้ทำให้เขาเกิดความงุนงงสับสน ขณะที่คิดถึง เจ็ดวันที่ผ่านมา เขารู้สึกถึงบางอย่างได้เลือนลาง

หวังหลินถอนหายใจ นำอาหารแห้งออกมาจากกระเป๋าและมองดูกองไฟเบื้องหน้า เขาฟังเสียงสายลมด้านนอกอารามและเริ่มกินอาหารแห้งเงียบๆ

สายฝนตกเรื่อยๆ จากท้องฟ้า ห่อหุ้มภูเขา พื้นดินและอารามเอาไว้ ณ อารามแห่งนี้ข้างๆ กับเปลวไฟ วิญญาณแห่งความฝันสองดวงซึ่งดูเหมือนไม่ได้เป็นของโลกใบนี้ได้เข้ามา

ดวงหนึ่งมองกองไฟและอีกดวงแทะขาไก่ รูปปั้นในอารามมองทั้งสองคนและเผยรอยยิ้มยากจะเข้าใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version