1600. สิบปี
ซูซานรีบกล่าว “เขาชื่อ หวังหลิน”
“ส่งกระดาษข้อสอบของเขามาให้ข้า” แววตาซูต้าวมีประกายแห่งความสุข
ซูซานยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนี้ จากนั้นจึงนำกระดาษข้อสอบออกมา เขามาที่นี่เพียงเพื่อให้ซูต้าวได้เห็นกระดาษข้อสอบอันพิเศษ
อย่างไรก็ตามหลังจากมาที่นี่ ซูต้าวไม่ได้อ่านจนกระทั่งถึงวันนี้
พอถือกระดาษของหวังหลิน ซูต้าวมองใกล้ๆ และพยักหน้า
“ชายหนุ่มคนนี้จะเป็นศิษย์คนสุดท้ายที่ข้าจะรับไว้” ซูต้าวมองกลับไปที่เรือ ด้วยรอยยิ้ม ใบไม้แห้งลอยล่องระหว่างเขาและเรือที่อยู่ใต้แสงจันทร์ มิอาจรู้ได้ว่าซูต้าวกำลังมองใบไม้หรือเรืออยู่
กาลเวลาไหลผ่านไป เมื่อใดที่ต้องการไล่ตามมัน ก็มิอาจเห็นแม้แต่ร่องรอย
เจ็ดวันต่อมา หวังหลินลงเรือพร้อมกับต้าฝู เขายืนอยู่ริมฝั่ง มองดูเรือที่ใช้ชีวิตมามากกว่าหนึ่งเดือนและมองสายน้ำที่เขารอคอยมามากว่าหนึ่งเดือน เขาขบคิดเงียบๆ อยู่พักใหญ่
จนกระทั่งครึ่งชั่วโมงต่อมาหวังหลินส่ายศีรษะและถอนหายใจ เขากำลังจะหันตัวจากไปทว่าได้ยินเสียงร้องออกมาจากท้องฟ้า ร่างกายหวังหลินสั่นเทาและสายตามองขึ้นไป
เขาเห็นเจ้าวิหคสีขาวที่คุ้นเคยกำลังบินเป็นวงกลมในท้องฟ้า วิหคค่อยๆ ร่อนลงมาบนสะพานที่ห่างออกไปช่วงหนึ่ง มันมองหวังหลินก่อนจะบินกลับเข้าไปในก้อนเมฆ ร่างสีขาวของมันดุจดอกไม้
หวังหลินพึมพำ “เจ้าใช่หรือไม่…”
หวังหลินไม่ได้เข้าร่วมในการสอบของเมืองซู วันที่เขาออกมาจากเรือ เขาได้ถูกเชิญไปที่บ้านของมหาบัณฑิตซูต้าว คนที่เชิญชวนเขาคือ ชายชราผู้คุมสอบ
บ้านของซูต้าวไม่ได้ใหญ่นักแต่สง่างามดูภูมิฐาน มันเงียบสงัดและมอบความสงบแก่จิตใจ ในลานกว้างหวังหลินได้เห็นชายชราที่ถามคำถามเขาบนสะพาน
ต้าฝูต้องรอข้างนอกลานขณะที่หวังหลินและซูต้าวดื่มสุราดอกบัวพลางเริ่มพูดคุยกันข้างใน
เมื่อพระจันทร์ลอยตระหง่านในท้องฟ้า หวังหลินจึงโค้งให้กับซูต้าว
“ในชีวิตข้ามีศิษย์หลายคน แต่ข้ามีศิษย์ที่แท้จริงเพียงแค่สามคนเท่านั้น ตั้งแต่บัดนี้ไป เจ้าจะกลายเป็นศิษย์คนสุดท้ายของข้า ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเข้าสอบราชการ นิสัยของเจ้าก็ไม่เหมาะหรอก…ข้าอยากให้เจ้ากลายเป็นมหาปราชญ์ของแคว้นจ้าวเมื่อข้าตายไป!”
“ไม่เพียงแต่แคว้นจ้าวเท่านั้น มีอีกหลายแคว้นบนดาวซูซาคุ ข้าอยากให้เจ้ากลายเป็นมหาปราชญ์ของทั้งดาวเคราะห์! นี่คือชีวิตที่ไม่ได้ร่ำรวย มีเกียรติหรือมีพลังมหาศาล แต่เจ้าจะกลายเป็นคนที่เข้าใจโลกและมีความคิดของตัวเอง!”
“ในโลกนี้ มีคนธรรมดาแบบเราและก็ยังมีเหล่าเซียนอยู่ด้วย เซียนหลายคนได้มาหาข้า ถามข้าถึงทางเดินแห่งเต๋า แต่ทั้งหมดก็ถูกข้าปฏิเสธไป”
“ข้ายิ้มให้และมองบนท้องฟ้า ข้ามีความคิดของตัวเอง ข้าไม่ได้แสวงหาเต๋า แต่ข้าเข้าใจความจริงแท้ของโลกนี้ แม้ร่างกายข้าจะบอบบาง ความคิดข้าสามารถคงอยู่ได้ตลอดไปและทะลวงเปิดกรงขังออกไปได้ แม้เหล่าเซียนจะสามารถสังหารเราเพียงแค่นิ้วเดียว พวกเขายังต้องก้มหัวเบื้องหน้าโลกของมหาปราชญ์!”
“เหล่าเซียนบ่มเพาะในหนทางฝืนลิขิตสวรรค์ แต่บัณฑิตเรารู้แจ้งสวรรค์ นั่นก็ถือว่าฝืนลิขิตสวรรค์เช่นกัน!”
“หากสวรรค์มีจิตวิญญาณ เมื่อนั้นในสายตาของมัน เหล่าเซียนก็เป็นเพียง คนธรรมดาเหมือนเรา! พวกเขาคือคนธรรมดาและเราก็คือคนธรรมดา ความแตกต่างเดียวก็คือพวกเขามีพลังที่สามารถป่นขุนเขาขยี้พสุธา ส่วนเรามีความเข้าใจแห่งสวรรค์ ท้ายที่สุดทั้งหมดก็ตัดผ่านกัน”
“อาจารย์รับศิษย์หลายคนที่เป็นเซียน พวกเขามาหาอาจารย์เพื่อหวังจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณ บางคนก็แสวงหาความหมายอันลึกซึ้งของเต๋า!”
“ชีวิตรูปแบบนี้คือความธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา หวังหลิน เจ้าจะเลือกเส้นทางนี้ใช่หรือไม่?” นาทีนี้แม้ซูต้าวจะเป็นเพียงชายชราธรรมดาที่อยู่ใต้แสงจันทร์ หวังหลินกลับสัมผัสกลิ่นอายแห่งอำนาจมาจากเขาได้
กลิ่นอายนี้มาจากการรู้แจ้งความจริงแท้ของโลกและมีปัญญาหยั่งรู้ของตัวเอง นี่จึงทำให้ซูต้าวยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้
ปณิธานนั้นเสมือนเปลวเพลิงที่เผาไหม้อยู่ในซูต้าวและมันสั่นสะเทือนสวรรค์
“บัณฑิต มหาบัณฑิตและท้ายที่สุดก็มหาปราชญ์!” ซูต้าวไพล่มือสองข้างไปด้านหลังพร้อมกับมองมาที่หวังหลิน
หวังหลินขบคิดเงียบๆ ผ่านไปสักพักจึงคุกเข่าและโค้งคำนับให้กับซูต้าว
ตอนนี้หวังหลินเพิ่งจะมีอายุสิบเก้าปีและซูต้าวในตอนนี้อายุแปดสิบสามปี
ซูต้าวยิ้มพลางจับแขนหวังหลินและพยุงขึ้นมาจากพื้น คำพูดของเขาดังกึกก้องอยู่ในลาน
“ข้าเข้าสู่โลกตั้งแต่เป็นเด็กและกลับบ้านในช่วงวัยกลางคน ข้าท่องเที่ยวไปทั่วแคว้นจ้าวและยังไปอีกหลายแคว้น ข้าเห็นภูเขา เห็นแม่น้ำ เห็นชีวิต ในตอนที่อายุ ห้าสิบ ภรรยาของข้าตายทำให้ข้าเศร้าโศกอยู่หน้าหลุมศพนาง นั่นเป็นตอนที่ข้าเกิดความเข้าใจในโลก ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงชีวิต ข้าจะจดจำช่วงเวลาที่ข้ารู้จักนาง”
“หลังจากนั้น ความคิดของข้าจึงเปลี่ยนเป็นเวรกรม”
“เวรกรรมคืออะไร? ทำไมวัฏจักรแห่งเวรกรรมถึงมีอยู่ในโลกนี้ด้วย…”
หนึ่งคืนผ่านไป ชีวิตของหวังหลินเปลี่ยนไปในคืนนี้ เขาไม่ไล่ตามการสอบราชการอีกต่อไปแล้วแต่ขบคิดถึงความปรารถนาในชีวิตตัวเอง นอกจากการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่แล้ว เขาต้องการเข้าใจโลกและไล่ตามเสียงที่อยู่ในใจเขา
‘เวรกรรมคืออะไร…ชีวิตและความตายคืออะไร…จริงและเท็จคืออะไร…’
เขาและต้าฝูอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของซูต้าวและฟังการสอนของซูต้าวทุกวัน กลิ่นอายของมหาบัณฑิตจึงแข็งแกร่งขึ้นในร่างกาย
มีคนหลายสิบคนได้รับตำแหน่งผู้ถูกเลือกของอาจารย์ซูและเข้าไปสอบใน เมืองหลวง บางคนก็ได้ตำแหน่งสูงส่งและบางคนก็ร่วงหล่นลงมา แต่ไม่มีสิ่งใดทำให้หวังหลินคล้อยตามได้อีก
เขาไม่ได้เข้าสอบ แต่ชื่อเสียงของหวังหลินกลับโด่งดังในแคว้นจ้าว เหนือเหล่าคนที่ได้รับตำแหน่งในเมืองหลวงเสียอีก แม้เขาจะไม่ได้ออกไปจากคฤหาสน์ แต่ขณะที่เวลาดำเนินผ่านไป มีผู้คนมาเข้าพบซูต้าวและหวังหลินก็เป็นคนที่ออกมาทักทายพวกเขา
หวังหลินพบเจอคนเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิต ราชวงศ์ที่ร่ำรวยและกระทั่งเหล่าเซียน เขากลายเป็นคนสงบนิ่งมากขึ้น เริ่มหลงใหลในรสสุราและกลายเป็น คนสบายๆ
หลายปีผ่านไปในพริบตา ยามที่ใบไม้แห้งร่วงหล่น หวังหลินกำลังจะเข้าสู่ วัยกลางคน เขายืนอยู่ในลานกว้างที่ซูต้าวรับเขาเป็นศิษย์เมื่อสิบปีก่อน หวังหลินกำลังเฝ้ามองใบไม้แห้งปกคลุมพื้นดิน
ร่างกายของซูต้าวแก่ชรายิ่งขึ้น กาลเวลาได้เอาหลายสิ่งหลายอย่างไปจากร่างเขาและทิ้งหลายอย่างไว้เช่นกัน เขาไม่สามารถดื่มและพูดคุยตลอดคืนกับหวังหลินเหมือนสิบปีก่อนได้อีกแล้ว เขานั่งอยู่ในเก้าอี้โดยมีคนรับใช้สองคนช่วยเหลือ เฝ้าดูใบไม้แห้งปลิวไปโดยมีหวังหลินยืนข้างๆ
หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่ง หลังจากส่งคนรับใช้สองคนออกไป เขาจึงดันเก้าอี้ของซูต้าว
“หลินเอ๋อร์ ดูใบไม้แห้งพวกนี้สิ พวกมันอยู่ที่นี่ปีแล้วปีเล่า แม้อาจารย์จะจากไปแล้ว พวกมันก็จะมาทุกฤดูราวกับพวกมันได้ทำสัญญากับสวรรค์เอาไว้” น้ำเสียงของ ซูต้าวแหบพร่า แต่จิตวิญญาณเต็มเปี่ยม เขายกแขนขวาขึ้นมา ใบไม้แห้งหนึ่งใบร่วงลงในฝ่ามือ
หวังหลินกล่าวเบาๆ “ใบไม้แห้งนี่คือชีวิต”
ซูต้าวมองใบไม้แห้งและเอ่ยกล่าว “ชีวิตไม่ใช่เพียงแค่ก้อนแห่งเวรกรรม มันลอยอยู่เบื้องหน้าเจ้า แต่หากเจ้าพยายามจับมัน เจ้าก็จับไม่ได้ มีเพียงตอนที่มัน เหน็ดเหนื่อยเท่านั้นถึงจะตกลงในมือเจ้า”
ขณะที่เอ่ยขึ้น สายลมอ่อนๆ พัดมาทำให้ใบไม้แห้งในมือเขาลอยออกไป
“เวรกรรม เวรกรรม หวังหลิน หากเจ้าสามารถค้นหาเส้นทางของตัวเองท่ามกลางใบไม้แห้งนับไม่ถ้วนเหล่านี้ได้ เมื่อนั้นเจ้าก็จะรู้ว่าเวรกรรมคืออะไร” ซูต้าวยิ้มและชี้ไปที่ท้องฟ้า
“ใบไม้แห้งกลุ่มนั้นคือ อาจารย์!”
หวังหลินมองขึ้นไปตรงจุดที่ซูต้าวกำลังชี้ ทว่ามีใบไม้แห้งหลายใบในท้องฟ้า เขาจึงไม่รู้ว่าซูต้าวชี้ไปที่ใบไหน
“เจ้ามองไม่เห็นหรอกเพราะใบไม้แห้งใบนั้นคือทั้งชีวิตของข้า…” ซูต้าวหลับตา หยาดน้ำตาสองสายไหลลงมา
“มันคือใบไม้สองใบที่พัวพันเพราะสายลม นั่นคือชีวิตข้ากับนาง…” ในสายตาของซูต้าว ใบไม้แห้งทั้งหมดหายไป ทั้งหมดนั้นมีสองใบที่อยู่ติดกัน มันลอยล่องออกไปไกลแสนไกล
“ปีนั้น ตอนที่ใบไม้แห้งลอยผ่านท้องฟ้า ข้าเห็นเจ้าบนสะพาน ข้าเห็นความสับสนในแววตาเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าเหมือนใบไม้แห้งที่ไร้ราก เจ้าทำอะไรไม่ถูกและสับสน ราวกับมีปัญหาบางอย่างที่เจ้าไม่อาจเข้าใจ”
“ข้าเห็นเจ้าและเห็นใบไม้แห้งที่ลอยผ่าน นั่นคือชีวิตเจ้า มันหมุนวนเบื้องหน้าเจ้า แต่เจ้าไม่อาจมองเห็นมันได้ มันจึงปรากฏเบื้องหน้าข้า”
“ข้าเห็นใบไม้แห้ง แต่เจ้าต้องคิดว่าข้ากำลังมองเจ้าอยู่แน่…ข้าถามใบไม้แห้งแต่เจ้าต้องคิดว่าข้ากำลังถามเจ้าอยู่แน่…”
“ตอนนั้นข้าคิดว่าข้าควรจะช่วยเจ้าดีหรือไม่” ซูต้าวหันศีรษะมา ใบหน้าแก่ชรามองหวังหลินด้วยความเมตตา
หวังหลินร่างสั่นเทา
“เจ้าคือเวรกรรมสุดท้ายในชีวิตข้า ข้ารู้สึกเช่นนี้เสมอเหมือนข้าเห็นเจ้าที่ไหนสักแห่งมาก่อน” ซูต้าวหันกลับมามองท้องฟ้า
“ขณะที่แต่ละปีผ่านไป ผู้คนจะเห็นใบไม้แห้งปกคลุมทั่วเมือง พวกเขาไม่เข้าใจว่าใบไม้แห้งเหล่านั้นออกมาตามหาคนที่พวกมันเชื่อมต่อกัน แต่ละใบไม้คือตัวแทนของคนทั้งชีวิต…”
“แต่ท้ายที่สุดพวกมันก็ร่อนลงในน้ำ ร่อนลงในฝุ่นและสูญสลายเบื้องหน้าสายตาของเรา…ไม่ใช่เพราะพวกมันหาเราไม่ได้ แต่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นของเราหรือไม่”
หวังหลินเงยหน้าขึ้นอย่างเงียบๆ และมองใบไม้แห้งที่กำลังลอยอยู่ในท้องฟ้า ฉากเหตุการณ์นั้นราวกับเมื่อสิบปีก่อน
ในที่สุดเขาก็เห็นใบไม้แห้งกลุ่มหนึ่ง มีสองใบที่ดูเหมือนจะติดแน่นเข้าด้วยกัน ใบไม้แห้งพัดปลิวไปอย่างไม่รู้จบและไม่ว่าลมจะแรงแค่ไหน มันก็ไม่สามารถแยกทั้งสองใบออกจากกันได้
ดูเหมือนเสียงพิณดังออกมาจากไหนสักแห่ง ล่องลอยเข้าไปในหู ราวกับหญิงสาวที่กำลังรอคอยและสิ่งเดียวที่อยู่กับนางคือเสียงพิณ