Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1599

Cover Renegade Immortal 1

1599. ซูต้าว

‘โลกคือสถานที่พักพิงสำหรับทุกชีวิต…กาลเวลาคือแขกผู้เยี่ยมเยียนตามช่วงอายุ…ความแตกต่างระหว่างชีวิตและความตายเสมือนการตื่นจากความฝัน!’

เมืองซูผัดเปลี่ยนฤดูในเดือนหกและเข้าสู่ฤดูใหม่เมื่อดอกไม้เบ่งบาน ใบไม้แห้งล่องลอยไปในท้องฟ้าดุจนำกาลเวลาไปกับมันได้

ใบไม้แห้งเต็มไปทั่วท้องฟ้าราวกับหิมะ เป็นฉากสวยงามที่น่าจดจำยิ่ง พวกมันเสมือนเป็นหิมะในฤดูร้อนที่ล่องลอยผ่านบนท้องฟ้า หากสายลมรุนแรงมากขึ้น พวกมันก็จะพัดปลิวมากขึ้นและดูเหมือนพวกมันไม่มีราก ในขณะที่สวยงาม พวกมันเปล่งสัมผัสความเศร้าออกมาด้วย

ราวกับคนเร่ร่อนที่ไร้บ้าน พวกมันเพียงแค่เคลื่อนไหวไปกับสายลมโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน บางทีคงร่อนลงแม่น้ำและเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำ หรือไม่ก็ตกบนพื้นและผสมเข้ากับฝุ่นดิน พวกมันคงจะพัดปลิวอีกครั้งยามที่สายลมรุนแรง

โชคชะตาของแต่ละใบคือสายลม สายลมที่แตกต่างจะมอบชีวิตที่แตกต่างกันให้

ใบไม้แห้งสีขาวหนึ่งกำมือและปกคลุมไปด้วยดอกไม้ค่อยๆ พัดปลิวในอากาศ มันร่อนใส่ฝ่ามือของชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่บนเรือลำเล็กๆ

ชายหนุ่มถือขวดสุราในมือ ดื่มสุราหนึ่งอึกพลางท่องบทกวีอย่างถือตัว เขาไม่ได้เปล่งเสียงดังแต่ให้ความรู้สึกสบายๆ ราวกับกำลังมุ่งหน้าไปสุดขอบของโลก

ด้านข้างชายหนุ่มเป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าของผู้ติดตาม เขามีท่าทีขมขื่นเล็กน้อย ทุกครั้งที่ชายหนุ่มจิบสุรา จิตใจของชายวัยกลางคนก็จะเจ็บปวดมากขึ้น

‘สุราดอกบัวหนึ่งขวดราคาเจ็ดเหรียญเงิน แพง แพงมากเกินไป!! ดื่มไปหนึ่งอึกแทบจะกินไปแล้วครึ่งเหรียญ…’

ใบไม้แห้งที่ร่อนลงในมือชายหนุ่มพลันหยุดไปชั่วขณะแต่ดูเหมือนยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง มันราวกับถอนหายใจเบาๆพลางลอยออกไปจากมือชายหนุ่ม มันพัดออกไปไกลราวกับรู้ว่าปลายทางที่ต้องไปคือที่ไหนและพุ่งไปหาเป้าหมายนั้นโดยไม่เหน็ดเหนื่อย

ริมฝั่งแม่น้ำมีป่าดอกท้อบานสะพรั่ง ขณะที่ใบไม้แห้งพัดออกไป ดอกท้อตกลงไปในแม่น้ำจนทำให้เกิดระลอกคลื่นดังขึ้นมา

“ใบไม้เต้นระบำไปกับสายลม แสงดอกท้อไหลไปกับสายน้ำ” หวังหลินดื่มสุราในมือและหัวเราะดังลั่น

นอกจากคนขับเรือและสองคนนี้แล้ว มีหญิงสาวสวยงามอีกสามคนบนเรือด้วย คนหนึ่งเล่นพิณ อีกสองคนร้องรำและเต้นระบำ เรือล่องไปตามแม่น้ำ ผ่านสะพานหินและไหลออกไปอย่างเนิบๆ

“ต้าฝู นำสุราออกมา!” หวังหลินหันตัวกลับไปมองชายวัยกลางคนและหัวเราะคิกคัก

ต้าฝูมีสีหน้าขมขื่นและถอนหายใจต่อไป เขาหยิบสุราออกมาและไม่ยอมยื่นมันให้หวังหลิน เขาเริ่มพูดราวกับจะร้องไห้

“นายน้อย มีเงินเหลือไม่มากจริงๆ…เราเช่าเรือลำนี้แต่ก็ซื้อสุราไปด้วย สาวน้อยสามคนที่มากับเราก็ราคาแพงเกินไป ค่าใช้จ่ายต่อวันก็แพงยิ่ง…เรา…เราไปบนฝั่งและหาโรงเตี๊ยมถูกๆ เพื่อลดค่าใช้จ่ายดีหรือไม่?”

“รีบไปไหน? คนที่ข้ารอยังไม่มาถึง” หวังหลินส่ายศีรษะและยิ้มออกมา เขาหยิบสุราขึ้นมาดื่มพร้อมกับนั่งลง ฟังเสียงหญิงสาวเล่นพิณ เสียงพิณนุ่มนวลและเริงร่าแต่มันไม่เข้าสู่จิตใจหวังหลิน

“นายน้อย ข้านำเงินที่ข้าซ่อนออกมาหมดแล้ว ท่าน…บัดซบ ข้านับดูแล้ว หากเราใช้จ่ายแบบนี้ เราจะกลายเป็นขอทานในอีกเจ็ดวัน!!”

“นี่มันก็มากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว หนึ่งเดือน ท่านกำลังรอใครกันและทำไมถึงยังไม่มา?” หัวใจของต้าฝูเจ็บปวดพลางดุด่าหวังหลินอย่างขมขื่น

ราวกับเขามองดูสนุกสนาน หญิงสาวที่กำลังพักจากการเต้นพลันหัวเราะ

ต้าฝูเบิกตากว้างและจ้องมองนาง หลังจากบ่นพึมพำเล็กน้อยจึงหยิบสุราขึ้นมาเองและดื่มไปอีกใหญ่

‘ข้าต้องดื่มอีก นี่เป็นสุราดี หนึ่งอึกเท่ากับครึ่งเหรียญเงิน…’

‘เสียงพิณยังไม่เข้ากัน’ หวังหลินเอนตัวข้างๆ เรือและส่ายศีรษะเล็กน้อย ผ่านไปสักพักดูเหมือนเขาจะเมามากเกินไป เขาลุกขึ้นและเดินไปข้างๆ หญิงสาวเล่นพิณ วางมือตัวเองไปบนพิณ ใบหน้าหญิงสาวขึ้นสีแดงพลางถอนฝ่ามือของนางออก

“ข้าจำเพลงหนึ่งได้ ข้าไม่รู้ชื่อเพลงแต่ข้าได้ยินมันในความฝัน มันน่าจะเล่นแบบนี้…” หวังหลินกล่าวขึ้นมาพลางหลับตา ฝ่ามือเริ่มเล่นพิณไปด้วย

ตอนแรกมันยังไม่คุ้นมาก เสียงที่เปล่งออกมาไม่ใช่เสียงเพลง แต่ทว่ายามที่ หวังหลินเพ่งสมาธิไปในการเล่น เสียงเพลงค่อยๆ เชื่อมโยงกัน

ความเศร้าที่มิอาจเอ่ยออกมาได้พลันออกมาจากเสียงพิณและลอยออกไปทุกทิศทาง

สตรีสองคนที่กำลังพักอยู่บนเรือถึงกับตกอยู่ในอาการงุนงงและมองมาที่หวังหลิน ความเศร้าในเสียงเพลงนั้นเบาบางมากแต่สามารถเข้าถึงวิญญาณได้ เมื่อไหร่ที่ได้ยินมันจึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วก่อนที่หวังหลินจะนั่งลงเบื้องหน้าและเริ่มเล่นพิณ สตรีที่เคยเล่นพิณถึงกับนั่งอยู่ข้างๆ เขา ในแววตาคู่สวยของนางเปล่งประกายความงดงามที่ไม่อาจเอ่ยได้ ราวกับนางหลงใหลไปกับเสียงพิณ

แม้กระทั่งต้าฝูก็ยังตกตะลึงขณะที่นั่งอยู่ที่นี่ เขาดื่มสุราไปอึกต่ออึก ลืมความเจ็บปวดและเริ่มจ้องแขนขวาของตัวเอง

ลี่มู่หวานเคยเล่นเพลงนี้ และอีกเพลงที่มีเสน่ห์เหมือนกันก็มาจากสตรีตาบอดในดินแดนวิญญาณปีศาจ

วินาทีนี้น้ำตาค่อยๆ หลั่งไหลออกมาจากดวงตาของหวังหลิน หยาดน้ำตาไหลรินไปบนพิณ ดูเหมือนผสานเข้ากับเสียงเพลงและกระจายไปพร้อมกัน

เขายังคงฝันอยู่ทุกคืน เขาเห็นหลายอย่างแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นได้ชัดเจน มีอยู่จำนวนหนึ่งที่ยังคงพร่ามัว แม้จะเป็นร่างเลือนลางแต่ความเศร้ารุนแรงยิ่งนัก

ภายใต้เสียงพิณนี้ เรือล่องไปบนแม่น้ำ ผ่านสะพานหลายแห่งจนกระทั่งพลบค่ำมาเยือน

หวังหลินรอมามากกว่าหนึ่งเดือน แต่คนจากความฝันที่ควรจะปรากฏตัวก็ยังไม่ปรากฏขึ้น

ขณะที่เรือลองอยู่ใต้สะพานหินแห่งหนึ่ง ร่างสองคนปรากฏตัวขึ้นมาบนสะพานหินและฟังเสียงเพลงเศร้าที่เล่นผ่านพิณ

สองคนนี้เป็นชายชราผมขาว หนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมสีเขียว แม้เขาจะเพิ่งมายืนอยู่ที่นี่ แต่กลับยืนตรงเหมือนต้นสน

ท่าทีของเขาเปล่งสัมผัสของคนมีอายุ แววตาเผยประกายแห่งปัญญา แม้จะเพิ่งยืนอยู่ที่นี่ เขากลับเปล่งกลิ่นอายของมหาบัณฑิต

เขาคือ ซูต้าว

ซูต้าวเผยสายตาที่มีอารมณ์ความรู้สึกมองไปยังเรือที่กำลังล่องลอยห่างออกไป เขาเห็นหวังหลินกำลังเล่นพิณและเอ่ยขึ้น “เพลงเศร้าอะไรขนาดนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่ คนธรรมดาจะเล่นได้…ความเศร้าโศกเผยความเสียใจที่สามารถปรากฏขึ้นมาได้หลังจากผ่านประสบการณ์มาหลายปีเท่านั้น ภาพของร่างแห่งความเศร้ายังคงค้างคาอยู่ในใจ ซูซาน ข้าไม่ได้ทำให้การเดินทางครั้งนี้เสียเปล่าแล้ว”

ชายชราด้านหลังซูต้าวได้ถอนหายใจออกมาเช่นกัน หากหวังหลินเห็นคนผู้นี้คงจำได้ว่า เขาคือชายชราที่เฝ้าดูหวังหลินเขียนข้อสอบจนกระทั่งจบการสอบ

“ไม่คาดคิดว่าเขาจะเล่นพิณได้ ตอนที่ข้าเห็นกระดาษข้อสอบของเขา ข้ารู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา เมื่อข้ามาเจอท่าน ข้าเห็นเด็กผู้นี้บนเรือ ดังนั้นข้าจึงคิดว่า ข้าน่าจะพาท่านมาที่นี่เพื่อเจอเขา ขอรับ” ชายชราโค้งตัวอย่างเคารพ

เรือล่องห่างออกไปไกล เสียงพิณค่อยๆ หายไป นาทีนี้ซูต้าวยิ้มออกมา เขาก้าวเท้าลงบนสะพานและตะโกนใส่เรือด้านล่าง

“พ่อหนุ่ม บอกข้าหน่อย เจ้าคิดว่าเวรกรรมคืออะไร”

ฝ่ามือของหวังหลินหยุดกึก เสียงพิณหยุดลง หวังหลินลืมตาและมองกลับมาด้วยความงุนงง จากตำแหน่งของเขาเห็นแต่เพียงชายชราคนเดียวและไม่เห็นชายชราคนที่สองอีกฝั่งของสะพาน

นาทีนี้ความมืดมาเยือน แสงจันทราส่องสว่างในท้องฟ้า ในยามกลางคืนนี้ร่าง ของชายชราดูพร่ามัวเล็กน้อย แม้กระทั่งสะพานก็ดูเหมือนจะถูกซ่อนอยู่ใต้แสงจันทร์ไปด้วย

แม้กระทั่งสายตาของหวังหลินก็ดูเหมือนจะพร่ามัว เขามองชายชราบนสะพาน รอบด้านขุ่นมัวพลางเริ่มพึมพำ “เวรกรรม…”

‘มันไม่ควรเป็นแบบนี้…หากนี่คือการย้อนเวลา หากนี่คือการเกิดใหม่ หากนี่คือความฝัน เช่นนั้นข้าควรจะเจอตัวเองในความฝัน…แต่ทำไมข้าถึงเจอชายชราคนนี้…ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้…’

หวังหลินรอคอยมามากกว่าหนึ่งเดือน เขารอฉากเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตื่นจากความงุนงงและใช้เวลาทั้งวันดื่มสุรา ในความฝันนั้นเขาเจอตัวเขาอีกคนในความฝันที่ปรากฏขึ้นบนสะพานในเมืองซู

อย่างไรก็ตาม แทนที่จะเจอความฝันของตัวเอง เขาเจอชายชราผู้นี้

‘นี่มันไม่สามารถอธิบายได้…ข้ารู้เรื่องเกี่ยวกับสำนักหลอมวิญญาณ ข้ากระทั่งสามารถคาดเดาว่าคนที่จะปรากฏในสำนักหลอมวิญญาณอีกหลายร้อยปีต่อจากนี้คือตัวข้าในความฝัน…ข้าได้รู้แจ้งแต่ไม่เจอเขาที่นี่…’ หวังหลินเต็มไปด้วยสายตางุนงงสับสน เขาไม่เข้าใจ แม้แต่ตัวเองก็ยังพร่ามัว

ขณะที่หวังหลินตกอยู่ในสภาวะความงุนงง เรือจึงล่องห่างออกไปไกลเรื่อยๆ

พอชายชราเห็นว่าหวังหลินไม่ตอบ จึงยิ้มและตะโกนอีกครั้ง

“พ่อหนุ่ม บอกข้าได้หรือไม่ เจ้าคิดว่าเวรกรรมคืออะไร”

“เวรกรรม…ข้าคือเหตุแห่งกรรม ข้าคือผลแห่งกรรม…” เสียงของหวังหลินค่อยๆ มาถึงและเลือนหายไปพร้อมกับเรือ

ซูต้าวยิ้มพลางมองเรือที่หายไป เขาหันตัวกลับและมองบัณฑิตด้านหลัง

“เขาชื่ออะไร?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version