Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1612

Cover Renegade Immortal 1

1612. พบตัวเอง

ปีที่สามสิบห้านับตั้งแต่ที่หวังหลินออกมาจากแคว้นจ้าว

ในแคว้นฮัวเฝิน สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดข้ามทะเลไปที่แคว้นจ้าวซึ่งเป็นฤดูหนาวไปแล้ว ทั้งแคว้นจ้าวปกคลุมไปด้วยหิมะดุจหินหยกสีขาววางทับเอาไว้

รถม้าวิ่งผ่านทางจนมองเห็นเป็นเส้นสองเส้นตามรอยลากเลื่อน เสียงรถม้าดังแกรกๆ ออกไปไกล

ระหว่างทางมองเห็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง โรงเตี๊ยมแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะหนาแน่น มันเย็นเยือกและไม่มีใครอยู่ข้างใน

กว่าครึ่งโรงเตี๊ยมพังทลายไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน คนจำนวนมากที่พักที่นี่ถูกทำร้าย เถ้าแก่มีปัญหากับทางการและเสียชีวิตในคุก ส่วนเสี่ยวเอ้อร์ก็ต้องจากไป ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร

โรงเตี๊ยมที่ครั้งหนึ่งได้ทำให้มหาบัณฑิตแห่งแคว้นจ้าวเมามายอย่างหนัก

รถม้าหยุดลงชั่วครู่เบื้องหน้าโรงเตี๊ยม ม่านรถม้าเลิกขึ้น ความร้อนแพร่กระจายออกมา ท่ามกลางอากาศหนาวข้างนอก ความร้อนมิอาจแผ่ไปได้ไกลนักก่อนจะสลายออกไป

ชายชราสวมชุดสีขาวมองออกไปที่โรงเตี๊ยมทรุดโทรมที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาว เขามองดูด้วยแววตาเต็มไปด้วยความรำลึก ผ่านไปสักพักจึงถอนหายใจและปิดม่านลง

“หวานเอ๋อร์ โรงเตี๊ยมตรงหน้าเป็นที่ที่ข้าตื่นขึ้นมา” น้ำเสียงแก่ชราดังออกมาจากรถม้าพลางเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ

ขณะที่รถม้าออกไปไกล เสียงจากรถม้าก็อ่อนลงจนกระทั่งหิมะปกคลุมทุกสิ่งอย่าง มีเพียงสายลมหนาวเย็นที่พัดไปเรื่อยๆ ราวกับไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย

ชายชรามีเวลาน้อยเสียจนบอกจุดจบของตัวเองได้เพียงแค่มองท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาวและหิมะที่กำลังตกลงมา ขณะเดียวกันเวลาของชายชราก็ไม่มีที่สิ้นสุดด้วย ที่ไม่มีสิ้นสุดนั้นคือ ความทรงจำ

รถม้าไม่ได้เร็วนัก และมันเคลื่อนไปตามถนนเข้าสู่หมู่บ้านเล็กๆ ใต้ภูเขาเหิงยั่ว เวลานี้พลบค่ำของวันที่สองแต่หิมะตกอย่างต่อเนื่องไม่มีท่าว่าจะหยุด

หิมะกลบพื้นดินไปพร้อมกับรถม้าเคลื่อนเข้าสู่หมู่บ้านใต้ภูเขา

จนกระทั่งกลางดึกจึงปรากฏหมู่บ้านขึ้นเบื้องหน้า หมู่บ้านกลางภูเขากำลังตกอยู่ในหิมะจึงค่อนข้างเงียบสงบ แม้กระทั่งสุนัขทั้งหมดก็ยังซ่อนตัวอยู่ในบ้าน ถึงแม้จะ ได้ยินเสียงล้อเลื่อนของรถม้า พวกมันก็ยังไม่ยอมเงยศีรษะขึ้นมาเห่า

ทุกครัวเรือนนั่งอยู่ข้างเตาผิง ในกลางคืนอันหนาวเหน็บเช่นนี้พวกเขามักจะนั่งล้อมกองไฟพร้อมกับญาติๆ ให้ร่างกายและวิญญาณอบอุ่น ความอบอุ่นนี้ทำให้คนธรรมดาสามารถเอาชีวิตรอดในฤดูหนาวอันเย็นเยียบได้ครั้งแล้วครั้งเล่า

มีบ้านหลังหนึ่งที่มีสุนัขตัวใหญ่สองตัวคดคู้อยู่ด้วยกันในลานเพื่อความอบอุ่น เพราะทุกๆ ที่ปกคลุมอยู่ในหิมะสีขาว

แสงอ่อนๆ โผล่ออกมาจากเปลวไฟที่อยู่ในบ้าน ผ่านหน้าต่างกระดาษสีเหลืองทรุดโทรมและแสงกระจายเข้าสู่ลาน ร่อนลงบนหิมะทำให้ดูเหมือนพระอาทิตย์ตกดินที่ค่อยๆ หายลับขอบฟ้า

ในเปลวไฟนั้นมองเห็นร่างโค้งงอเบื้องหลังหน้าต่างกระดาษ ร่างห่อเหี่ยวถือไม้แห้งบางๆ จี้ใส่กองไฟเพื่อทำให้มันเผาไหม้สว่างมากกว่าเดิม

เขาคือชายชรา ชายชราที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นจนแววตาเปิดได้ไม่เต็มที่ เขานั่งจ้องกองเพลิง ผ่านไปสักพักจึงกระชับเสื้อคลุมของตัวเองแน่น และมองแขนขวา

เขาคือต้าฝู

‘ผ่านมาหลายปีแล้ว…เขาน่าจะกลับมาเร็วๆนี้…’ ต้าฝูมองแขนขวาที่มีรอยประทับสีทองเรืองแสงจางๆ จากนั้นเขย่าแขนและนึกถึงอดีต

เขารอคอยอยู่ที่นี่มาสามสิบห้าปี ยังคงจำวันที่หวังหลินบอกเขาให้รอจนกว่าจะกลับมา

‘เขาพูดว่าจะไม่มีสามสิบแปดปีรอบที่สอง ดังนั้นก็น่าจะกลับมาเร็วๆ นี้…’ ต้าฝู ดูเหน็ดเหนื่อยและยืนขึ้นด้วยการค้ำไม้เท้า ขณะที่กำลังจะไปพักผ่อน สุนัขตัวใหญ่สองตัวที่ค่อนข้างขี้เกียจถึงกับเริ่มร้องครวญคราง

เสียงรถม้าบดขยี้หิมะดังเบาๆ ออกมาไกลจนกระทั่งหยุดลงด้านนอกลานกว้าง ประตูรถม้าเปิดขึ้นและหวังหลินก้าวเดินออกมาเผชิญกับสายลมและหิมะ

ด้านหลังเขาคือลี่มู่หวานผู้กลายเป็นหญิงชรา นางเดินออกมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน นางยืนข้างหวังหลิน มองลานกว้างและแสงอ่อนๆ ที่โผล่ออกมาจากลาน

ประตูบ้านถูกผลักออกมาจากข้างใน ต้าฝูยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น มองไปนอกลานแล้วจึงเห็นหวังหลินผ่านเกล็ดหิมะ จากนั้นยิ้มกว้าง

“ข้ากลับมาแล้ว” หวังหลินมองต้าฝูผู้แก่ชราและยิ้มให้

พายุหิมะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ทว่าในบ้านกลางหิมะนี้ เปลวเพลิงกลับส่องสว่างกว่าเดิม เจ้านายและคนรับใช้ ผู้แยกห่างจากกันสามสิบห้าปีได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง

คืนนี้เสียงสายลมช่างหนาวเหน็บยิ่ง ทว่าสามคนในบ้านกลับไม่รู้สึกหนาวและอบอุ่นขึ้นมาแทน

ยามเช้าตรู่หิมะจึงเบาบางลงและตกเป็นระยะๆ แสงอาทิตย์สาดส่องไปบนหิมะ แม้จะไม่ได้ทำให้ละลายแต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกสดชื่น

ยามแสงอาทิตย์ส่องไปบนพื้น แสงสะท้อนหิมะออกมาจนแยงตา หวังหลินพา ลี่มู่หวานและต้าฝูไปที่หลุมศพของครอบครัวที่อยู่ข้างๆ หมู่บ้าน

เขาคุกเข่าเบื้องหน้าหลุมศพ ลี่มู่หวานคุกเข่าลงข้างๆ เขาเช่นกัน ทั้งสองสงบนิ่งอย่างเงียบๆ เป็นเวลาครู่ใหญ่

“ท่านพ่อ ท่านแม่ นางชื่อลี่มู่หวาน นางเป็นสะใภ้ของท่าน…ข้าพานางมาที่นี่เพื่อเจอท่าน” หวังหลินไม่ได้ร้องไห้ เขาดึงแขนลี่มู่หวานพลางโค้งคำนับต่อหลุมศพ

หลายวันต่อมาในขณะที่เกิดพายุหิมะ รถม้าแล่นจากหมู่บ้านกลางภูเขาและ มุ่งหน้าสู่เมืองซู

หวังหลินเลิกม่านและมองบ้านตัวเองที่ปกคลุมอยู่ในหิมะ ในสายตาเขาราวกับเห็นตัวเองเมื่อเจ็ดสิบสามปีก่อนตอนที่ออกมาจากบ้านพร้อมกับกระเป๋าไม้ไผ่และ มีสายตาอ่อนโยนของท่านพ่อท่านแม่ ทุกก้าวเขามักจะมองกลับไปจนมองไม่เห็น ร่างพวกท่าน ท้ายที่สุดเขาก็หยุดหันกลับไปและก้าวเข้าสู่อนาคต

ตอนนั้นเขายังคงไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เขารู้แต่เพียงต้องทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดี ทำให้เหล่าญาติต้องแหงนหน้ามองครอบครัวของเขา

ขณะที่มองกลับไปจากรถม้า ทุกอย่างกลายเป็นภาพพร่ามัวในหิมะ เขาถอนหายใจและปิดม่านลง

รถม้าแล่นออกไปไกล

ในฤดูใบไม้ผลิปีที่เจ็ดสิบสี่ รถม้าได้มาถึงเมืองซู

หลังจากหิมะละลาย ทุกอย่างจึงฟื้นคืนมาในเมืองซู กลิ่นหอมของดอกไม้และใบหญ้าเข้าสู่จิตใจและมิอาจลืมเลือน

หวังหลินคุ้นเคยกับกลิ่นนี้ เขาทำเหมือนตอนที่เขามาเมืองซูในครั้งแรก เช่าเรือและดื่มสุราดอกบัว นั่งบนเรือกับลี่มู่หวานพลางดื่มสุรา เฝ้าดูพระอาทิตย์ขึ้นและ พระอาทิตย์ตกดิน รับรู้ประสบการณ์ของชีวิต

ต้าฝูเหมือนเดิมเหมือนเก่า เขานั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับมองหวังหลินยิ้มอย่างเป็นสุข

“ครั้งนี้เป็นการพบปะ เขาจะมาแน่นอน” หวังหลินถือขวดสุรา บนแขนมีจุดด่างดำขึ้นหลายจุด เขานำขวดสุรามาใกล้ปากและดื่มไปหนึ่งอึก

เสียงพิณดังกังวาล ลี่มู่หวานกำลังเล่นพิณ

วันคืนผ่านไปในแต่ละวัน จากนั้นหลายเดือนต่อมา ฤดูใบไม้ผลิของเมืองซูผ่านพ้นและตอนนี้เป็นเดือนมิถุนายนของอีกปี

ปีที่เจ็ดสิบห้า ใบไม้แห้งพัดมาอีกครั้งโดยมีหวังหลินนั่งอยู่หัวเรือและดื่มด่ำกับสุราดอกบัว

‘โลกคือสถานที่พักพิงสำหรับทุกชีวิต…กาลเวลาคือแขกผู้เยี่ยมเยียนตามช่วงอายุ…ความแตกต่างระหว่างชีวิตและความตายเสมือนการตื่น…จากความฝัน…’ หวังหลินหัวเราะขณะที่เรือลอยลงแม่น้ำ เบื้องหน้ามีสะพานหินแต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ทว่ามีวิหคสีขาวตัวหนึ่งบินอยู่เหนือสะพาน

วิหคสีขาวตัวนี้ไม่ได้ปรากฏขึ้นมานานแล้ว ตอนนี้มันบินวนเหนือสะพานหิน หนถนนทางรอบสะพานกลายเป็นภาพพร่ามัว ราวกับทุกอย่างในโลกนี้พร่ามัวขึ้นเพียงชั่วขณะ

มีเพียงสะพานหินและเรือที่ชัดเจน

ขณะที่เรือเข้าไปใกล้ ดวงตาหวังหลินเผยแสงสว่างที่สุดในรอบเจ็ดสิบกว่าปี เขายืนขึ้นมองสะพานหิน

“เขามาแล้ว…” หวังหลินพึมพำ

นาทีนั้นวิหคสีขาวเข้ามาใกล้และร่อนลงบนสะพานหิน แสงสีขาวแผ่กระจายออกมาจากวิหค มองไกลดูเหมือนวังวนสีขาว

ข้างในวังวน มีคนผู้หนึ่งค่อยๆ ก้าวเดินออกมา

เขาคือชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีขาว ดวงตาเย็นเยียบแฝงความสับสนงุนงงพร้อมกับมองรอบด้านไปด้วย เมื่อเรือเข้ามาใกล้ ดวงตาของชายหนุ่มพลันมองมาที่เรือและ หวังหลินที่อยู่บนเรือ

เมื่อสายตาของทั้งสองพบเจอกัน โลกจึงกลายเป็นพร่ามัว วินาทีนั้นกาลเวลา ดูเหมือนจะหยุดลง กล่าวให้ถูกก็คือเวลาในโลกนี้ถูกหยุดลง

แขนของลี่มู่หวานแข็งค้างอยู่เหนือพิณ เสียงเพลงหยุดชะงัก ต้าฝูยังคงนั่งอยู่ด้านข้างมองแขนขวาของตัวเอง แม่น้ำหยุดเคลื่อนไหว ใบไม้แห้งแข็งค้างในอากาศ

ทุกอย่างในโลกนี้หยุดลงอย่างสิ้นเชิงในชั่วจังหวะนี้

มีเพียงชายหนุ่มบนสะพานหินและหวังหลินบนเรือที่อยู่สงบนิ่งเหมือนเดิม

“ทำไมเจ้าไม่เข้ามาดื่มกับตัวเองเล่า?” หวังหลินยิ้มและนั่งอยู่ข้างๆ

ชายหนุ่มผมขาวบนสะพานขบคิดเงียบๆ ชั่วขณะก่อนจะกระโดดไปบนเรือ เขานั่งลงและหยิบขวดสุราขึ้นมา หลังจากดื่มไปเขากลับไม่ได้มองตัวเองในวัยแก่ แต่กลับมองลี่มู่หวานผู้กลายเป็นหญิงชราไปนาน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version