Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1668

Cover Renegade Immortal 1

1668. หนึ่งปีของซื่อจื่อ

แผ่นดินเก้าแห่งลอยกันเป็นวงกลม เคลื่อนไหวเป็นวงโคจรประหลาด ส่งเสียงดังสนั่นทั่วดาราจักร เป็นเพราะค่ายกลแห่งนี้ คนที่ไม่มีสายโลหิตเทพจะไม่สามารถมองเห็นได้

ถึงแม้จะผ่านไปก็คงละเลยสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากไม่มีสายโลหิตเทพ จึงไม่สามารถสัมผัสค่ายกลล่องหนได้

ราชันย์โค้งตัวอย่างเคารพบนแผ่นดินหนึ่งในนั้น แผ่นดินเจ็ดในเก้าแผ่นปลดปล่อยแสงเจ็ดสีแตกต่างกันและก่อเกิดเป็นสายรุ้ง

แผ่นดินสองแห่งที่เหลืออยู่ซีดขาวไร้สีสัน ถูกแสงสีรุ้งทอดเงาทับจนหมด

ขณะที่แสงสีรุ้งกระพริบวาบอย่างต่อเนื่อง เงาร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงสีรุ้ง หลังจากนั้นไม่นานร่างนั้นก็ชัดเจนและเดินออกมาจากลำแสง

หากหวังหลินอยู่ที่นี่และเห็นเขา คงจดจำได้ทันทีว่าคือเซียนสีรุ้งที่ปรากฏขึ้นในดินแดนเจ็ดสีตอนที่เขาไปช่วยฉิงชุ่ย!

“ศิษย์ขอคารวะอาจารย์” ราชันย์ขบคิดเงียบๆ พลางมองไปที่ร่างสีรุ้งเบื้องหน้า แววตาซับซ้อนเกินอธิบาย

“ดินแดนชั้นนอกพ่ายแพ้การต่อสู้กับดินแดนชั้นใน…ก่อนหน้านี้ อาจารย์ขอให้ศิษย์ส่งคันศรลี่กวงไปในดินแดนชั้นใน ตอนนี้มันอยู่ในมือของหวังหลิน ข้าไม่สามารถต้านทานได้ อาจารย์โปรดให้คำแนะนำ!”

แสงสีรุ้งรวมกันบนร่างเซียนสีรุ้ง สีหน้าท่าทางสงบนิ่ง สายตากวาดผ่านร่างของราชันย์ไป

“เขาบ้าไปจริงๆ ใช่หรือไม่…” เซียนเต๋าสีรุ้งพลันเอ่ยปาก

ราชันย์สั่นเทาและหลับตา หลังจากนั้นสักพักจึงลืมตาและพยักหน้า

“ข้าไม่คิดเช่นนั้น…” เซียนเต๋าสีรุ้งยิ้มและมองออกไป ดวงตาเผยแสงประหลาด

“ข้าจะช่วยเจ้าเปิดสุสานโบราณและให้คนพวกนั้นออกมา ส่วนที่ว่าจะทำอะไรต่อไปนั้น เจ้าไปจัดการด้วยตัวเอง…หมากเกมนี้ใกล้จบแล้ว…คนที่สามที่ซ่อนตัวมานานหลายปีและผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมาหลายครั้ง คราวนี้เขาควรจะออกมา…” เซียนเต๋าสีรุ้งยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

ราชันย์ลังเลชั่วครู่และเอ่ยถาม “หวังหลินคือคนที่สามใช่หรือไม่?”

“ข้า ผีเฒ่าจางและอีกสองสามคนสามารถเป็นคนที่สามได้หมด…เขามีความลับมากมายเกินไป…หรือบางทีเขายังไม่รู้ตัวตนของตัวเองด้วยซ้ำ…”

“ส่วนหวังหลิน ดูเหมือนจะไม่ใช่…แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” เซียนเต๋าสีรุ้งเอ่ยขึ้นช้าๆ

ราชันย์ถอนหายใจ คำนับฝ่ามือให้เซียนเต๋าสีรุ้งและหันตัวกลับ ทว่าเขาก้าว สองสามคราก่อนจะหยุดลง เอ่ยเสียงขึ้นมาอย่างเคร่งเครียด

“ตอนที่ท่านขอให้ข้าเคารพท่านเป็นอาจารย์ ข้ายอมรับ เรื่องที่ท่านสัญญากับข้า…”

“เจ้านายของเจ้าจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้! เมื่อข้ากลืนกินคนที่สาม ผีเฒ่าจางจะไม่ใช่คู่ต่อกรของข้า ถึงตอนนั้นอดีตเจ้านายของเจ้าจะเป็นเพียงยาชูกำลังของข้า…” เซียนเต๋าสีรุ้งยิ้มออกมา ร่างกายเปลี่ยนกลายเป็นแสงสีรุ้งและเลือนหายไป

ราชันย์เผยสีหน้าซับซ้อน ผ่านไปสักพักจึงถอนหายใจและก้าวเดินออกไป

วันเวลาเคลื่อนผ่านไป หวังหลินนั่งอยู่ในค่ายกลกงล้อสามแก่นแท้ ด้านล่างคือ เตาหลอมจักรพรรดิ มีเซียนขั้นแก่นแท้ดับสูญสองคนอยู่ข้างใน หนึ่งในนั้นคือชายชราชุดดำและอีกคนคือนางสนมอันดับห้า!

วิชาของทั้งสองคนช่างน่าตกตะลึงและทำได้เพียงแค่ถูกจองจำในเตาหลอมจักรพรรดิเท่านั้น หวังหลินไม่สามารถหลอมทั้งสองได้ในชั่วเวลาสั้นๆ ยามนี้หวังหลินหลับตานั่งอยู่บนเตาหลอม บังคับและผนึกพวกเขาเอาไว้

การเฝ้าระวังเป็นเวลาสามปี เป็นช่วงเวลาสามปีที่ยากที่สุด

หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ลำแสงสามเส้นค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นในทะเลเมฆาซึ่งได้ถูกขยายออกไปอย่างกว้างไกล ลำแสงได้เปลี่ยนกลายเป็นร่างของสตรีสามคน

สตรีทั้งสามอยู่ห่างจากหวังหลินไม่เกินหมื่นฟุต พวกนางลอยตัวมองแผ่นหลังของหวังหลิน

แผ่นหลังนี้ช่างโดดเดี่ยวและอ้างว้าง ทว่าร่างนี้กลับเปล่งความรู้สึกแห่งขุนเขา เสมือนขุนเขาที่นั่งอยู่ตรงนั้นและปกป้องดินแดนชั้นใน

คนแรกที่เข้าไปคือ ซื่อจื่อเฟิง นางค่อยๆ ก้าวเดินเข้าหาระยะหมื่นฟุตอย่างช้าๆ นางมองหวังหลินที่กำลังหลับตาและเผยแววตาที่อ่อนโยน รอยยิ้มสวยงามประดับบนใบหน้าของนาง

“ข้าคิดมาแล้ว ข้าไม่ต้องการเป็นศิษย์ของท่าน…ข้าไม่เคยต้องการ!”

“เซียนแบบเรามีชีวิตนานมาก ไม่รู้ว่าชีวิตของเราจะจบสิ้นลงเมื่อใด ข้าเพียงต้องการอยู่กับท่านหนึ่งปี!”

“หนึ่งปีเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว…ท่านกำลังจะคุ้มกันดินแดนชั้นในสามปี ให้ข้าได้อยู่กับท่านหนึ่งปี” ซื่อจื่อเฟิงเอ่ยเสียงเบา

หวังหลินขบคิดเงียบๆ ดวงตายังคงหลับใหลและไม่เอ่ยคำใดออกมา

“หลังจากหนึ่งปีข้าจะไป หากข้าตาย ข้าก็แค่หายไป หากข้ารอด ข้าจะบ่มเพาะอย่างสงบสุข!”

“ท่านไม่จำเป็นต้องพูด ไม่จำเป็นต้องมองมาที่ข้า แต่ข้าอยู่ตรงนี้ ท่านจะขับไล่ข้าไปไหนไม่ได้!” ซื่อจื่อเฟิงไม่คิดอะไรเรื่องท่าทีของหวังหลิน นางนั่งลงข้างเขาและมองเขาอย่างเงียบงัน

นางเป็นสตรีรูปลักษณ์งดงามอยู่แล้ว ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านเลยไปแต่ในทันทีที่อยู่ข้างหวังหลิน นางรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปเมื่อพันปีก่อน หวังหลินเป็นคนแรกที่นางแอบรักและเป็นคนสุดท้ายเช่นกัน แม้ระหว่างนั้นจะมีระยะเวลาคั่นไว้นานแค่ไหนก็ตาม

นางไม่ได้เยาว์วัยอีกแล้ว นางสัมผัสได้ว่าหวังหลินไม่ได้มีใจให้นาง อีกทั้งพวกเขาสองคนก็อยู่ด้วยกันเพียงชั่วเวลาสั้นๆเท่านั้น บางทีนางแค่ผ่านมาในชีวิตเขาเพียงชั่วคราว

นางเข้าใจทั้งหมดนี้เป็นอย่างดี ซื่อจื่อเฟิงไม่ต้องการอยู่ไปตลอดกาล นางต้องการเพียงแค่ปีเดียว หนึ่งปีที่อยู่กับเขาเพื่อหมดความรักในชีวิตนี้

นางเป็นสตรีที่ไม่มีความกล้าหาญอะไร แต่ตอนนี้นางจำเป็นต้องกล้าและพูดทุกอย่างออกมาให้หวังหลิน แม้นางจะดูสงบนิ่งแต่จิตใจหวาดกลัว หวาดกลัวว่าหวังหลินจะไม่ยอมให้นางอยู่หนึ่งปี

นางมองหวังหลินและกัดริมฝีปาก

หวังหลินไม่ได้ลืมตาและไม่ได้มองนาง เขาเอ่ยขึ้น “เจ้าไปได้แล้ว”

ประโยคนี้ดูราวกับพัดความแข็งแกร่งของซื่อจื่อเฟิงให้หมดไป ใบหน้านางซีดเผือดทันที

“ข้าขอเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น…หวังหลิน เพียงให้ข้าหนึ่งปี ได้ไหม…” มีแต่เพียงความเงียบจากหวังหลิน น้ำเสียงของซื่อจื่อเฟิงสั่นเทา หยดน้ำเต็มไปทั่วดวงตา แม้นางจะเป็นผู้หญิงอ่อนแอ นางก็ไม่เคยร้องไห้มากขนาดนี้

หยาดน้ำตาเพียงชั่วเวลาสั้นๆ นี้เป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดที่นางไม่มีวันลืม

“อาภัพรัก…” อาจารย์ของนางเคยพูดคำนี้เอาไว้ มันดังกึกก้องในสองหู

“หนึ่งปี เพียงหนึ่งปีไม่ได้หรือ!! หวังหลิน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอมรับข้า แต่ข้าต้องการเพียงหนึ่งปี หนึ่งปีมันนานเกินไปหรือ…” หวังหลินเงียบสงบและไม่ลืมตา ซื่อจื่อเฟิงรู้สึกเหมือนผึ้งต่อย นางลุกขึ้นยิ้มอย่างเวทนาและพยายามถอยกลับมา

นางรู้สึกเหมือนเป็นคนบ้าที่กำลังพูดกับตัวเอง จนในที่สุดคำพูดทั้งหมดได้เปลี่ยนกลายเป็นหนามแทงใส่หัวใจนางเอง ความรู้สึกนี้ช่างเจ็บปวดยิ่ง

หวังหลินถอนหายใจยาวและลืมตา มองซื่อจื่อเฟิงผู้เป็นสตรีที่อยู่ในความทรงจำ สายตาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและเอ่ยขึ้นบางเบา

“ข้าจะให้เจ้าหนึ่งปี!” หวังหลินไม่รู้ว่าเขาสามารถฟื้นคืนชีพลี่มู่หวานได้หรือไม่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามารถออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่ บางทีเขาอาจจะตาย

หลังจากรู้ความลับทั้งหมด เขาต้องแข็งแกร่งแค่ไหนถึงปฏิเสธคำของของสตรีคนนี้สำหรับเวลาหนึ่งปี?

เขารู้ว่าหากเขาปฏิเสธอีกครั้ง นางคงจะร่วงโรยและท้ายที่สุดกลายเป็นเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำ บางทีเขาคงยังจดจำสตรีชื่อซื่อจื่อเฟิงอีกหลายปีนับจากนี้ได้

ซื่อจื่อเฟิงมีรอยน้ำตาไหลออกมา หยาดน้ำตาเหล่านี้มาจากอารมณ์ที่ซับซ้อน นางนั่งลงเงียบๆ ข้างหวังหลิน

ซื่อจื่อเฟิงพึมพำเบาๆ “หนึ่งปีก็พอแล้ว หวังหลิน ข้าจะไม่ขอเวลาท่านอีก…”

ห่างออกไปไกล มู่ปิงเหมยและสตรีชุดชมพูขบคิดเงียบงัน พวกนางนั่งลงห่างออกไปหมื่นฟุต ตอนที่พวกนางมาถึงที่นี่ต่างก็ทำข้อตกลงกันว่าคนละหนึ่งปี

หนึ่งปีเป็นเวลาที่ไม่นาน ไม่นานทั้งคนธรรมดาและยิ่งสำหรับเหล่าเซียนแล้ว การปิดด่านบ่มเพาะยังใช้เวลาหลายปีด้วยซ้ำ

ทว่าสำหรับซื่อจื่อเฟิง นางหวังว่าปีนี้จะผ่านไปอย่างช้าๆ

หวังหลินไม่ใช่คนที่เก่งด้านการพูดคุย โดยเฉพาะกับสตรีด้วยแล้ว บ่อยครั้งเขาก็อยู่เงียบๆ แม้แต่ตอนที่อยู่กับลี่มู่หวาน เขามักจะมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน

พริบตาเดียว ช่วงเวลาสามเดือนก็ผ่านไป

ในช่วงเวลาสามเดือนนี้หวังหลินไม่ค่อยพูดอะไรนัก แต่ซื่อจื่อเฟิงพึงพอใจมาก ทั้งสองคนนั่งอยู่ในค่ายกลนี้ผ่านช่วงเวลาสามเดือนไปด้วยกัน

นางรู้ว่าหวังหลินชอบดื่มสุรา เบื้องหน้านางมีหม้อเล็กๆ ต้มน้ำเดือดอยู่ข้างใน ข้างในน้ำเดือดมีขวดสุรา นางใช้น้ำเดือดเพื่อหล่อเลี้ยงสุราหยินนี้ขึ้นมา

น้ำกำลังเดือดแต่สุรายังไม่อุ่นเลย สายลมที่ไม่ควรมีอยู่กลับพัดมาและเกิดระลอกคลื่นบนผิวน้ำเดือด

หวังหลินผุดแววตาเย็นเยียบ เขาเงยหน้าขึ้นมองดาราจักรโบราณ เห็นลำแสงหลายเส้นรวมมาที่เขา เป็นกองทัพของดินแดนชั้นนอก!

ท่ามกลางเซียนเหล่านี้มีห้าคนระเบิดกลิ่นอายของเซียนขั้นที่สาม ทะยานเข้ามาดุจเกาทัณฑ์ห้าดอก นอกจากห้าคนนี้ยังมีเซียนอีกแสนคน มีราชรถสงครามขนาดหลายหมื่นฟุตกำลังถูกเหล่าเซียนผลักดันเข้ามา

เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วดาราจักรอันสงบนิ่ง เสียงนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ จนราวกับสายฟ้ากำลังอุบัติ

“พวกมันอยู่นี่!” แววตาหวังหลินกระพริบเย็นเยียบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version