170. แยกออกจากกลุ่ม
กระบี่ทั้งหมดแทงลงไปบนเส้นใหญ่ทำให้มันสั่นสะเทือน เส้นใยสว่างสดใสพร้อมกับต้านทานพลังจากกระบี่ไปด้วยทว่าในไม่ช้าได้เกิดรอยแหว่งขึ้น
ดวงตาหวังหลินเปล่งประกายพร้อมกับกระบี่ผลึกปรากฎขึ้นพลันแทงจุดรอยแหว่งซ้ำๆ ในไม่ช้าเส้นใยเริ่มเป็นโพรงมากขึ้น
ขณะเดียวกันเจ้างูยักษ์ดูเหมือนจะสังเกตบางอย่างผิดปกติได้ดังนั้นมันจึงบิดร่างไปมาอย่างหนักหน่วง หวังหลินเป็นกังวลมากพลันสะบัดแขนและกระบี่เหินหลายร้อยเล่มเริ่มโจมตีอีกครั้ง
ปัง! ในที่สุดเส้นใยพังทะลายและกลิ่นคาวเลือดอันรุนแรงไหลออกมา หวังหลินรีบเคลื่อนตัวไปด้านข้างและเกาะผนังไว้ เม็ดยาในปากแสดงประสิทธิภาพการป้องกันกลิ่นเหม็นคาวพวกนั้น
หลังจากกลิ่นเหม็นคาวผ่านไปหวังหลินรีบเข้าไปในรูที่เขาสร้างขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันร่างเจ้างูตัวเล็กที่อยู่ภายในร่างงูตัวใหญ่ได้เริ่มหดลง หวังหินรู้สึกได้ว่าสิ่งมีชีวิตนี้ไม่อาจสังหารได้โดยง่าย หากเจ้างูตัวใหญ่มีงูตัวเล็กอยู่ข้างใน แล้วเช่นไรเจ้างูตัวเล็กจะมีงูอีกตัวอยู่ข้างในมันอีกเล่า?
ที่สำคัญกว่าก็คือเมิ่งหลังค่อมพูดว่างูตัวนี้เป็นอสูรเดียวดายที่มีระดับเดียวกับเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลาย พูดได้ว่าจุดสูงสุดขั้นเซียนตัดวิญญาณระดับปลายก็คือคนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในแคว้นเซียนอันดับสี่
เว้นแต่ว่าจักรพรรดิโบราณและพวกมีระดับขั้นเซียนตัดวิญญาณระดับปลายเช่นกัน ไม่เช่นนั้นพวกเขาไม่อาจสังหารมันได้ จากคำพูดของเมิ่งหลังค่อมก่อนหน้านี้หวังหลินจึงเชื่อได้ว่าไม่มีใครอยู่ขั้นตัดวิญญาณระดับปลาย อย่างมากก็อยู่ระดับกลาง
ผลก็คือไม่มีโอกาสต่อสู้ซึ่งหน้าและแต่ละคนเพียงหลบหนีด้วยตนเองเท่านั้น แผนเดิมของหวังหลินคือหลบหนี หลังจากสังเกตการณ์มันจึงเข้าใจไ้ด้ว่านอกจากร่างกายที่แข็งแกร่งมากนี้แล้วมันยังสามารถคายควันสีดำออกมาได้ด้วย เจ้างูยักษ์ดูเหมือนไม่ได้มีความสามารถอื่นอีก เรื่องนี้ทำให้หวังหลินแปลกใจอย่างมาก
เขามองไปที่คนอื่น แม้ว่าเมิ่งหลังค่อมจะเอ่ยออกมาแล้วพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความสงสัย
หวังหลินเดาได้ว่าอสูรตัวนี้มีเพียงร่างที่เป็นอสูรเดียวดายแต่ไม่มีวิชาใดเลย เขามั่นใจมากขึ้นจากการคาดเดานี้หลังจากเห็นเจ้างูตัวเล็กอยู่ภายในปากมัน เป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงกล้าเข้าไปในปากของมันเพื่อหาไขกระดูก
ในความคิดเขา อสูรเดียวดายควรจะมีพลังกายข้างนอกแข็งแกร่ง ดังนั้นหากเขาเข้าไปข้างในก็ควรจะไม่มีอันตราย หวังหลินเริ่มมีความคิดแปลกประหลาด อาจเป็นไปได้ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีงูตัวหนึ่งอยู่ภายในงูตัวใหญ่ และงูตัวเล็กกว่าอยู่ภายในงูตัวนั้นอีกที และในที่สุดก็มีงูตัวเล็กที่สุดซึ่งก็คืออสูรเดียวดายของจริง
ขณะที่ร่างกายภายนอกมีไว้สำหรับแสดงเท่านั้นซึ่งเป็นเหตุผลเพียงพอว่าทำไมมีร่างกายของอสูรเดียวดายแต่ไม่มีวิชาการต่อสู้ใดๆ
เมื่อกำลังคิดเช่นนี้ทำให้หัวใจหวังหลินบีบรัดขึ้นพลันเรียกสมาธิกลับมาอย่างรวดเร็ว เขามาถึงตำแหน่งที่หัวกับคอเชื่อมกันอยู่ทันที เส้นใยหายไปแล้วและเผยให้เห็นกระดูกขาวข้างใต้ หวังหลินสัมผัสกระดูกและดึงด้วยพลังแรงโน้มถ่วงของตัวเองทำให้เจ้างูม้วนตัวอย่างรุนแรง
ในเวลาเดียวกันหัวเจ้างูตัวเล็กได้ปล่อยแสงสีดำออกมาขณะที่ผิวหนังและร่างกายละลายอย่างรวดเร็ว เมิ่งหลังค่อมมองดูด้วยความหวาดกลัวขณะที่เขากระโดดหนีไปไกลด้วยความเสียใจและเหาะเหินไปทางศีรษะงูตัวยักษ์
เมื่อเขาผ่านไปตำแหน่งที่ศีรษะและคอของมันเชื่อมกันพลันเห็นหวังหลิน หลังจากลังเลเล็กน้อยเขารีบตะโกนขึ้น “ออกไปเร็ว! นี่มันงูมังกรกาฝาก มีงูทั้งหมดเก้าตัวข้างในและตัวข้างในสุดคืออสูรเดียวดายของจริงที่มีวิชาของอสูรเดียวดาย!”
สิ้นคำฝ่ามือขวาแตะเข้ากับผนังงู เนื้อหนังที่กระบี่เหินไม่สามารถสร้างความเสียหายได้กลายเป็นสีดำทั้งหมด ทำให้เจ้างูยักษ์เจ็บปวดมาก มันอ้าปากออกด้วยความเจ็บปวดและเมิ่งหลังค่อมกระโดดออกมา
ดวงตาหวังหลินเปล่งประกาย ไม่เพียงแต่เขาไม่จากมาแต่กลับกอดผนังเนื้อเพื่อหลบซ่อนตัวเอง
ขณะเดียวกันมีมังกรแดงตัวเล็กออกมาจากคราบงูเล็กตัวนั้น มันผ่านผนังที่หวังหลินซ่อนในตัวไว้และไล่ล่าตามหลังเมิ่งหลังค่อม
หวังหลินเงียบนิ่งไม่เคลื่อนไหวขณะที่เขากอดผนังไว้ หลังจากเมิ่งหลังค่อมและมังกรผ่านไป สายตาหวังหลินระยิบระยับ เมิ่งหลังค่อมไม่ได้มีเจตนาดีเมื่อบอกให้หวังหลินหนีไป เขาต้องการให้หวังหลินหนีไปกับเขาด้วยซ้ำเพื่อที่จะแบ่งความสนใจจากมังกรแดงออกไป
หวังหลินเยาะเย้ยในใจ เขาไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับคนพวกนี้ หากเขาสามารถเปิดบททดสอบที่สามได้เมื่อนั้นจะไม่มีปัญหาใด แต่เขาไม่ได้รู้วิชามนต์แห่งความตายจริงๆ หากเขาเปิดบททดสอบที่สามไม่ได้เจ้าพวกเซียนมารพวกนั้นจะสังหารเขาด้วยความเกรี้ยวกราดแน่ๆ
และแม้เขาจะรู้วิธีเปิดบททดสอบที่สาม แม้ว่าจะไม่ได้ถูกสังหารตอนนั้นเขาคงถูกใช้เป็นเครื่องสังเวยวิชาของจ้าวปิศาจหกปรารถนาแน่นอน หวังหลินมีความทรงจำที่ชัดเจนกับดวงตาอันสับสนของเทียนจู
เดิมทีหวังหลินต้องการจะลองมองหาโอกาสหลบหนีในระหว่างสองบททดสอบแรก และหากเขาไม่สามารถหาโอกาสได้เมื่อนั้นเขาจะสร้างปัญหาบางอย่างในบททดสอบที่สาม เมื่อทุกคนวิ่งหนีเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง พวกเขาคงไม่มีเวลาพอจะใส่ใจหวังหลิน
แต่ทว่าหวังหลินเปลี่ยนความคิดเพราะมังกรยักษ์ข้างนอกนั่น ข้างในนร่างเจ้างูยักษ์ตัวนี้อาจจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ดวงตาเขาสว่างขึ้นขณะที่วางฝ่ามือลงบนกระดูกสันหลังของเจ้างูและดูดด้วยวิชาแรงโน้มถ่วง ทันใดนั้นร่างเจ้างูเริ่มสั่นไปมา หวังหลินรู้สึกโลหิตของตัวเองแล่นเข้าศีรษะขณะที่ร่างกายลอยขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้
ด้วยใบหน้าอันมืดมนเขาใช้พลังปราณเพื่อให้ร่างกายเสถียรลงทว่ายังคงรู้สึกโลหิตยังพุ่งขึ้นไป ดังนั้นเขาจึงกระจายสัมผัสวิญญาณของตัวเองออกมา สัมผัสวิญญาณติดตามไปถึงลำคอของมันและมองผ่านช่องว่างระหว่างซอกฟัน หวังหลินตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น
เจ้างูยักษ์กำลังตกลงไปในพื้นที่ว่างเปล่าสีดำอันไร้ขอบเขต
เวลาหนึ่งชั่วยามที่เจ้างูยักษ์ตกลงไปข้างล่างและกระแทกกับหินพร้อมกับปะทะกับคลื่นกระแทกเป็นเวลานานก่อนที่ในที่สุดทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
หวังหลินสูดหายใจลึกและดูดซับไขกระดูกต่อเนื่องทันที ขณะนี้เจ้างูยักษ์ไม่ได้ขยับร่างอีกแล้วและไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น หลังจากผ่านไปชั่วครู่หยดของเหลวสีทองหนึ่งหยดออกมาจากกระดูกสันหลังพร้อมกับกลิ่นหอมหวาน หวังหลินกลายเป็นเคร่งขรึมพลันนำขวดหยกออกมาอย่างระมัดระวัง
เขานำหยดสีทองเข้าไปในขวดหยกและในที่สุดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากเก็บมันเข้าไปในกระเป๋า หวังหลินเคลื่อนร่างออกมาที่หัวงูและเดินผ่านช่องว่างระหว่างช่องฟันอออกมา
ด้านหน้าเขามีแต่ความมืดมิดไม่มีแสงสว่างใด หวังหลินสร้างผนึกขึ้นบนฝ่ามือและตะโกน “ไป!” ทันใดนั้นบอลอัคคีขนาดเท่าศีรษะปรากฎขึ้นและลอยไปด้านหน้า
เมื่อใช้แสงจากไฟ หวังหลินจึงสังเกตรอบด้าน ท่าทางของเขาค่อยๆประหลาดใจ
สถานที่แห่งนี้มีเสาอื่นที่กำลังลอยอยู่บนพื้นที่ว่างเช่นกัน ทว่าเสานี้มีขนาดใหญ่กว่านับร้อยเท่าจากครั้งก่อน
เจ้างูยักษ์วางหัวของมันพักผ่อนบนเสาหินแห่งนี้ขณะที่ร่างกายมันห้อยลงเข้าไปในพื้นที่ว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด ดวงตาของมันปิดสนิทและไม่มีสัญญาณของชีวิต
หวังหลินสันนิษฐานว่าเมื่อมังกรแดงจากไปก็เหมือนกับเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดถอดวิญญาณเซียนออกจากร่าง อสูรตนนี้ก็เหมือนกับภาชนะชิ้นหนึ่งที่สูญเสียตัวตนและหล่นลงมาที่นี่
เรื่องนี้จึงอธิบายได้ว่าทำไมเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ไม่ขยับเขยื้อนอีกเลยตอนที่เขาดึงไขกระดูกออกมา
หวังหลินมองเจ้างูยักษ์ด้วยด้วยตาเปล่งประกายด้านหน้าก่อนที่จะถอนหายใจออกมาและยกเลิกความคิดที่พึ่งนึกออกแทน งูยักษ์ตัวนี้ราวกับภูเขาสมบัติเพียงแค่รอให้เก็บเกี่ยวเท่านั้น แค่แกนพลังและผิวหนังก็ถือว่าโชคลาภที่คุ้มค่าแล้ว แต่หวังหลินไม่ได้ตาบอดกับสิ่งเหล่านี้ เขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถผ่านเนื้อหนังของมันเพื่อไปตรงสมองของงูได้หรือไม่ หรือเขาอาจจะไม่สามารถแยกผิวหนังออกจากร่างของมันได้ ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือเจ้ามังกรแดงที่จะกลับเข้ามาในไม่ช้านี้ และหากหวังหลินเจอมันถึงเขาจะมีชีวิตอีกร้อยปีก็คงสูญสิ้นหมดในพริบตา
หวังหลินนำเม็ดยาที่เมิ่งหลังค่อมให้มาออกมาตรวจสอบ เม็ดยาหดเล็กลงเหลือเพียงครึ่งเดียวจากขนาดเดิม แต่หวังหลินยังเก็บมันไว้ในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง เขาดับไฟและกระโดดไปข้างหน้าทันที ในพื้นที่ว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้แสงไฟจะเป็นดึงดูดความสนใจเกินไป เพื่อความปลอดภัยแล้วหวังหลินจึงไม่มีทางเลือกที่จะเหาะเหินในความมืดมิด
สายตาเขาค่อยๆชินกับความมิด แม้ว่าจะเห็นรอบด้านไม่ได้ชัดมากแต่เขายังสามารถระบุเค้าโครงโดยทั่วไปได้
ส่วนเรื่องเสาหินที่มีขนาดใหญ่หลายร้อยเท่า ทว่าความเร็วของเสาหินพวกนี้เคลื่อนไหวเร็วกว่าเล็กน้อย นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้ถึงอันตรายที่มาจากทุกด้านได้
หวังหลินก้าวย่างทุกก้าวอย่างระมัดระวังมาก เวลาส่วนใหญ่เขาเพียงก้าวผ่านไปไม่กี่จ้างก่อนจะหยุดเพื่อตรวจสอบรอบด้าน เมื่อเขามั่นใจว่าปลอดภัยถึงจะกล้าเคลื่อนไหว ในตอนนี้เขาได้ร่อนมาถึงเสาหินต้นหนึ่งพลันร่างกายแข็งทื่อ ร่างสีดำขลับกระพริบอยู่ข้างหน้าเขา
หวังหลินเกาะกุมลมหายใจตัวเองไว้และไม่ขยับนิ่ง ทั้งหมดที่เขาทำคือจ้องตรงไปเบื้องหน้า หลังจากผ่านไปชั่วขณะหวังหลินถึงสามารถขยับร่างกายได้ ที่จุดกึ่งกลางเสาหินมีหนวดจำนวนนับไม่ถ้วนแยกออกมาจากร่างของมันและเคลื่อนไหวไร้ทิศทาง
ร่างสีดำที่กระพริบอยู่เป็นหนึ่งในหนวดพวกนั้น
หลังจากหวังหลินเห็นเช่นนี้เขาจึงเริ่มถอยหลัง หากสิ่งมีชีวิตนี้สามารถเอาตัวรอดที่นี่ได้เมื่อนั้นมันต้องแข็งแกร่งอย่างมาก ดังนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่เขาตอแยด้วยได้ หวังหลินก้าวถอยหลังไปหลายสิบจ้างและมาถึงขอบเสาหิน เขาจับตาดูร่างที่อยู่ตรงกลางขณะที่กระโดดออกจากขอบและลอยห่างไปอย่างบางเบา
จนเมื่อหวังหลินห่างไปมากกว่าสามสิบจ้างเขาถึงกล้าหายใจ เขามองดูความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุดเหนือเขาและช่วยไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นออกมา มีเพียงการกลับไปที่เสาหินที่เขาอยู่ก่อนหน้าเท่านั้นถึงจะสามารถหาวงแหวนแสงเพื่อออกไปสถานที่แห่งนี้ได้
หวังหลินครุ่นคิดชั่วครู่ เขาไม่กล้ากระจายสัมผัสวิญญาณของตัวเองออกไปไกลเพราะกลัวว่าจะไปล่อสิ่งมีชีวิตอันทรงพลังและนำอันตรายเข้ามา ร่างกายเหาะเหินขึ้นไปข้างบนอย่างช้าๆและหยุดกึกทันทีเมื่อเห็นร่างสีดำร่างหนึ่ง หลังจากมั่นใจได้ว่ามันเป็นเสาหินต้นหนึ่งหวังหลินจึงเข้าไปใกล้ๆอย่างช้าๆ
แต่ขณะเดียวกันนั้น ลำแสงสีดำเส้นหนึ่งปรากฎขึ้นเหนือเขาและพุ่งลงมาพร้อมกับเสียงหวีดประลาด ร่างหวังหลินเคลื่อนที่ไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว เขาเกาะส่วนล่างของเสาหินและสงบนิ่งไม่ไหวติง
มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือแสงสีแดงพุ่งตามเสาหินไป มันร่วงลงไปต่อเนื่องและหายไปโดยไร้ร่องรอย หวังหลินรู้สึกศีรษะด้านชา เขาตระหนักได้ว่าแสงสีแดงนั่นคือมังกรแดงที่ออกมาจากร่างงูยักษ์และไล่ล่าตามหลังเมิ่งหลังค่อม
มังกรตัวนั้นกลับมาแต่ไม่อาจรู้ได้ว่าเมิ่งหลังค่อมจะอยู่หรือตาย หวังหลินเยาะเย้ยขณะที่เขาเหาะเหินขึ้นไปบนยอดเสาหินอย่างช้าๆ เมื่อมาถึงยอดจึงได้สังเกตรอบด้านอย่างระมัดระวัง
ไม่มีสัญญาณสิ่งมีชีวิตบนเสาหินนี้ เช่นนั้นหลังจากผ่านไปนานหวังหลินจึงผ่อนคลาย นั่งลงและดื่มน้ำพลังปราณก่อนที่จะจ้องสิ่งที่อยู่ด้านล่างเขา
เมื่อเจ้ามังกรแดงกลับเข้าไปในร่างมัน มันสังเกตสิ่งผิดปกติได้ทันที หวังหลินจมร่างตัวเองเข้าไปในเสาหินและจากนั้นสัมผัสหน้าผากตัวเองเพื่อเข้าไปในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า ดวงตาเขาส่องประกายก่อนที่จะเข้าไปในมิติลูกปัดอย่างรวดเร็ว
ไม่นานหลังจากที่เขาเข้าไปในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากเบื้องล่าง มังกรแดงลอยขึ้นราวกับสายฟ้าและกระแทกเสาหินความกว้างหลายร้อยจ้างแตกเป็นเสี่ยงๆด้วยร่างของมัน สายตาอันเยือกเย็นขณะที่เริ่มค้นหารอบๆ
มังกรแดงตัวนี้มีสติปัญญาและรู้ว่าคนที่ขโมยไขกระดูกของมันไม่สามารถหนีไปได้ไกล ดังนั้นมันจึงค้นหาอย่างต่อเนื่องด้วยสายตาอันแหลมคม หลังจากค้นหาไม่เจออยู่นาน มันทุบเสาหินหลายต้นก่อนที่จะนอนบนยอดเสาหินต้นหนึ่งอย่างไม่เต็มใจและเริ่มสงบลง
แต่ในไม่ช้ามันก็เคลื่อนไหวอีกครั้งและพุ่งไปที่ร่างหนวดนับไม่ถ้วนที่หวังหลินเคยเห็นก่อนหน้านั้น
ขณะที่เจ้ามังกรพุ่งเข้าหามัน หนวดหลายเส้นสร้างเป็นแกนสิ่งมีชีวิตทรงกรวยและเผชิญหน้ากับมังกรโดยไร้ซึ่งความกลัว
เสียงกระหึ่มดังออกมาจากเบื้องล่างขณะเดียวกันมีแสงหลากสีกระพริบวาบในความมืดมิด ความผันผวนพลังปราณอันทรงพลังกระจายออกราวกับพายุเฮอริเคน เสาหินใกล้ๆถูกทำลายทีละต้น แม้กระทั่งเสาหินที่หวังหลินอยู่ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ครึ่งหนึ่งของมันถูกทำลายไปแล้ว
การต่อสู้อันตระการตานี้ดำเนินไปหนึ่งวันก่อนที่จะค่อยๆสงบลง เจ้าเงาต่อสู้กับมังกรเกรี้ยวกราดในที่สุดก็พ่ายแพ้และถูกบังคับให้ล่าถอย เจ้ามังกรแดงเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส มันร้องคำรามออกมาสองสามครั้งก่อนจะนอนลงบนเสาหินแห่งหนึ่ง
สิบวันผ่านไป หวังหลินออกมาจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าและขึ้นไปบนยอดเสาหิน เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกมาทันทีและสังเกตรอบด้านอย่างระมัดระวัง
ชัดเจนว่ามีเสาหินไม่กี่ต้นรอบตัวเขาและมีเศษหินจำนวนมากแตกกระจาย หลังจากผ่านไปชั่วครู่หวังหลินจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนจะเหาะเหินขึ้นไปด้านบน
หลังจากผ่านเสาหินสองสามต้นทันใดนั้นหวังหลินหยุดลง เขาเห็นเสาหินต้นหนึ่งข้างหน้าจู่ๆก็หายไป
ใบหน้าหวังหลินกลายเป็นเคร่งเครียดขณะที่ค่อยๆถอยกลับ เขาสะบัดแขนและหินแตกกระจายลอยเข้ามาพลันชี้ไปที่จุดหนึ่งและกระซิบ “ไป!”
หินแตกกระจายชิ้นนั้นลอยเข้าไปอย่างรวดเร็ว หวังหลินจ้องข้างหน้าและเห็นว่าหลังจากหินลอยเข้าไปเล็กน้อยมันหายไปทันที
หวังหลินสูดหายใจลึก เขาเห็นหินหายไปพร้อมกับหลุมดำเปิดขึ้นทันที เนื่องจากมันเร็วมากจึงยากที่จะเห็นได้ชัด มันดูเหมือนหินก้อนนั้นหายวับไปอย่างลึกลับ
หวังหลินวิเคราะห์ขณะที่เขาจ้องเบื้องหน้าและนำกระบี่เหินออกมาเล่มหนึ่ง เมื่อกระบี่ปรากฎตัวด้านหน้าเขาพลันชี้ตรงไปและมันพุ่งไปทันที
มันมาถึงจุดที่ก้อนหินหายไป หลุมดำปรากฎขึ้นอีกครั้งกลืนกระบี่เหินเข้าไปแต่ขณะเดียวกันหวังหลินตะโกนขึ้น “สลาย!”
กระบี่แตกกระจายเสียงดังบึ้มและเศษกระบี่พุ่งออกไปทุกทิศทางขณะที่หลุมดำปิดลง หวังหลินจ้องฉากด้านหน้านั้น เขาสะบัดแขนและออกคำสั่งให้หนึ่งในเศษกระบี่เปลี่ยนทิศทางเข้ามาในฝ่ามือ
มีหยดของเหลวสีดำบนตัวกระบี่และยิ่งมองใกล้ๆ เขาเห็นร่องรอยผุพังตำแหน่งที่ของเหลวสีดำสัมผัส
“มันไม่ใช่รอยแยกอวกาศ!” หวังหลินมั่นใจเรื่องนี้ เหตุผลที่เขาทดสอบมันหลายครั้งก็เพราะว่าเขากลัวว่าเป็นรอยแยกอวกาศที่นี่ หากเป็นรอยแยกอวกาศจริงเช่นนั้นที่แห่งนี้จะอันตรายเพิ่มขึ้นอีกระดับ
หวังหลินไม่ได้เป็นวิญญาณกลืนกินอีกต่อไป เขามีกายเนื้อ พลังของรอยแยกอวกาศจะทำลายเขาให้สูญสิ้น
หวังหลินผ่อนคลายเล็กน้อยและคลายมืออก ทันใดนั้นเขาสะบัดแขนให้ก้อนหินที่แตกกระจาายรอบด้านเข้ามาใกล้และโคจรรอบตัวราวกับวงแหวนก้อนหิน
หวังหลินเหาะเหินไปด้านข้างเป็นเวลานานก่อนจะเคลื่อนที่ข้างหน้าอีกครั้ง ทุกครั้งที่เขาเห็นก้อนหินหายไปเขาจะเปลี่ยนทิศทาง หลังจากเข้าใจสถานการณ์ด้วยการทดสอบหลายครั้งหวังหลินจึงเข้าใจว่ามันไม่ใช่รอยแยกอวกาศแต่เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ล่องหนอยู่
โครงสร้างทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตตัวนี้แปลกมาก แม้แต่สัมผัสวิญญาณของเขาก็ยากที่จะพบเบาะแสใด หวังหลินได้ข้อสรุปนี้เนื่องจากเขาเป็นวิญญาณกลืนกินมาหลายปีและเผชิญหน้ากับรอยแยกอวกาศหลายครั้ง
หวังหลินระมัดระวังอย่างมากระหว่างทาง ทุกก้าวในสถานที่แห่งนี้ล้วนอันตราย หากประมาทเพียงชั่วขณะเขาคงตายไปแล้ว โดยเฉพาะเซียนขั้นแกนลมปราณเช่นเขา ไม่ผิดที่จะบอกว่าเขาอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามอย่างสมบูรณ์ที่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สุดก็สังหารเขาได้ทันที
หลังจากใช้เวลาไปมาก หวังหลินคำนวณได้ว่าเขาเคลื่อนไหวมาได้สามพันจ้างแล้ว ในสามพันจ้างนี้หากเป็นเวลาปกติเขาจะใช้เวลาครู่เดียวแต่ตอนนี้กลับใช้เวลาหลายวัน
หวังหลินไม่ได้คำนวณอีกต่อไปว่าเขาใช้เวลาจริงทั้งหมดกี่วันกับการใช้พลังงานไปกับการตื่นตัวเช่นนี้
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หวังหลินสูญสิ้นการติดตามว่าเขาอยู่ที่มานานแค่ไหน เขาตื่นตัวตลอดเวลาเพื่อให้ผ่านสถานการณ์อันตรายไปได้
วันนี้หวังหลินกำลังนั่งบนเสาหินแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้พลังปราณมากแต่จิตใจเขาเหน็ดเหนื่อยมากกว่า เรื่องนี้ต้องขอบคุณเรื่องราวที่เกินขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้หวังหลินรอบคอบตลอดเวลา หากเป็นคนอื่นคงเหน็ดเหนื่อยจากการตื่นตัวเป็นเวลานานและตายไปแล้ว
เมื่อพักผ่อนได้ชั่วครู่เขาสูดหายใจลึกและยืนขึ้น พลันชี้ไปที่อากาศหลายครั้งพร้อมกับนำกระบี่ผลึกออกมา กระบี่หมุนเป็นวงกลมที่เสาหินและแกะเอาเศษหินขนาดเล็กออกมา
หวังหลินสะบัดแขนและเศษหินรวมตัวกันรอบๆเขา ผ่านไปหลายวันเขาใช้เศษหินพวกนี้ปูเส้นทางให้ ตอนนี้ทั้งหมดถูกใช้ไปแล้วจึงต้องหามันจากเสาหินใกล้ๆเพิ่ม
หลังจากเศษหินสร้างเป็นวงแหวนรอบร่าง เขากระโดดออกจากเสาหินและเหาะเหินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
เมื่อเหาะเหินไปได้เล็กน้อยเขาหยุดลงและตรวจสอบรอบๆอย่างระมัดระวัง ความมืดมิดที่นี่ไม่ได้แย่นัก ยิ่งขึ้นไปสูงก็ยิ่งสว่างขึ้น
ขณะที่แสงนี้โผล่ออกมา เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้น ตอนนี้เขาสังเกตรอบด้านอย่างระมัดระวังเพราะว่ารู้สึกได้ถึงเรื่องแย่ๆที่กำลังจะเกิดขึ้น
สายตาเขาเคยชิดกับความมิดแล้วดังนั้นเมื่อแสงนี้เกิดขึ้นเขาจึงเห็นทุกอย่างชัดเจน หวังหลินคำนวณเล็กน้อยและตระหนักได้ว่าในรัศมีรอบตัวสามหมื่นจ้างนี้มีเพียงเสาหินลอยอยู่ต้นเดียว
ทุกสิ่งรอบบริเวณนี้แตกต่างมากเกินกว่าปกติ หวังหลินรู้ได้ว่าควรจะมีเสาหินหนึ่งต้นทุกๆสามสิบจ้าง ทว่าหากถูกทำลายไปมันน่าจะยังมีเศษหินรอบๆอยู่ ทว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ที่นี่เลย
มีเพียงสองเรื่องที่อธิบายสถานการณ์นี้ได้ เรื่องแรกคือมีการต่อสู้ขนาดใหญ่ที่นี่บางส่วนและคลื่นกระแทกอันทรงพลังได้ผลักทุกอย่างยกเว้นเสาหินนั้นห่างออกไปเป็นผลให้เกิดสิ่งที่เขาเห็นตอนนี้
เรื่องที่สองคือมีสิ่งมีชีวิตล่องหนจำนวนมากที่นี่และพวกมันกวาดล้างที่แห่งนี้หลังจากกลืนกินมาหลายปี
หวังหลินคิดเรื่องนี้ได้เพราะว่าเขาเห็นเสาหินขนาดใหญ่ต้นหนึ่งกำลังถูกปากขนาดใหญ่กลืนกิน เขาเห็นเสาหินกว้างสี่ร้อยจ้างหายไปอย่างไร้ร่องรอยในไม่เวลาไม่ถึงสองชั่วยาว
หวังหลินขมวดคิ้ว หากสถานที่แห่งนี้เป็นความจริงที่เขาคิดเมื่อนั้นคงไม่มีทางเลือกที่จะเดินทางไปรอบๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง
หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่หวังหลินชี้ไปที่เศษหินก้อนหนึ่งรอบตัวเขาและมันเริ่มลอยตรงไปอย่างช้าๆ มันเข้าไปในพื้นที่บริเวณนั้นและเดินทางเป็นเวลานานโดยไม่ถูกกลืนกิน หวังหลินวิเคราะห์ก่อนจะชี้รอบๆและก้อนหินทั้งหมดรอบตัวเขาเริ่มเคลื่อนไหวตรงไป
หวังหลินไม่ได้รีบเร่งดังนั้นจึงมองก้อนหินเคลื่อนไหวไปข้างหน้าช้าๆอย่างอดทน ก้อนหินทั้งหมดค่อยๆเข้าไปใกล้เสาหินต้นเดียวต้นนั้น
รอบเสาหินพลันหนึ่งในก้อนหินหายวับไป ดวงตาหวังหลินหรี่แคบขณะที่เขาสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ก้อนหินเริ่มหายไปอีกหนึ่งก้อนขณะที่เข้าไปใกล้เสาหิน
ดวงตาหวังหลินเปล่งประกายขณะที่เขาจดจำจุดที่ก้อนหินถูกกลืนกินไป ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายวันหวังหลินสันนิษฐานว่าสิ่งมีชีวิตพวกนั้นไม่สามารถเคลื่อนไหวได้และติดในสถานที่แห่งนั้น
แต่เขาไม่นับว่ามันอาจจะเคลื่อนไหวได้ก็ได้ หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานานหวังหลินจึงยกเลิกความคิดที่จะผ่านเข้าไปพื้นที่สงบเงียบนั้น สถานที่แห่งนี้ประหลาดเกินไปและหวังหลินไม่ต้องการเสี่ยง เขาตัดสินใจว่าจะใช้เวลาเพิ่มขึ้นเพื่อไปรอบบริเวณ นอกจากนั้นราคาของความล้มเหลวเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถจ่ายได้
หลังจากตัดสินใจหวังหลินถอยกลับและใช้กระบี่เหินตัดเศษหินเพิ่มรอบตัวมากขึ้นก่อนจะเหาะเหินไปด้านข้าง
ใบหน้าหวังหลินเริ่มมืดมน เขาเหาะเหินมาไกลมากแล้วแต่พื้นที่ว่างเปล่าแห่งนี้ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุด
หลังจากเหาะเหินมาหลายวันเขาก็ยกเลิกความคิดที่จะไปรอบพื้นที่สิ่งมีชีวิตตัวนี้