1830. สาปแช่งให้ตาย
เพียงแค่เขาส่งเสียงคำราม สัมผัสวิญญาณได้เข้าไปห่อหุ้มทั่วบริเวณดุจพายุคลั่ง ปะทะเข้ากับระลอกคลื่นที่หวังหลินสร้างขึ้นมาด้วยวิชาบัญชาโบราณไร้เหล่าเทพ ระลอกคลื่นทั้งเก้าชั้นพังทลายทันทีและแตกสลายเป็นละอองแสงสีทอง
ร่างหยานหลวนกระเด็นกลับไปถึงพันฟุตก่อนจะหยุดลง
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักมหาวิญญาณต่างก็ขบคิดเงียบๆ คำพูดอันรุนแรงนี้ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นสงบลงอย่างช้าๆ
ท่ามกลางหวังหลินและหยานหลวนมีสัมผัสวิญญาณเคลื่อนลงมาและปรากฏเป็นชายชรา เขาสวมชุดคลุมสีเขียว เรือนผมสีขาวและนั่นคือร่างดั้งเดิมของกระทิงเขียว!
เมื่อร่างของเขาก่อตัวขึ้นมา ร่างแก่นแท้จึงเข้ามารวมกับร่างดั้งเดิม กลายเป็น ร่างเงาเลือนลางด้านหลัง
กลิ่นอายน่ากลัวแผ่กระจายออกมาจากชายชรา หวังหลินรู้สึกว่ากลิ่นอายนี้ เหนือล้ำกว่าราชันย์เทพสีรุ้งในจุดสูงสุดไปอีกขั้น
‘วิบากแก่นแท้ระดับปลาย!!’ หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่งแต่รูม่านตาหดลง
“ขอคารวะ ท่านบรรพชน!” หลังจากชายชราปรากฏตัว ผู้อาวุโสรอบด้านต่าง โค้งคำนับ
แม้แต่หยานหลวนซึ่งมีท่าทีมืดมนยังต้องเปลี่ยนไปคำนับ มีเพียงหวังหลินที่ยืนตรงนั้นและไม่เคารพ เขามองกระทิงเขียวอย่างสงบนิ่ง
“หยานหลวน ผู้อาวุโสหวังเป็นคนที่ข้าชวนเข้ามา ตั้งแต่นี้ไปเขาจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักมหาวิญญาณ ส่วนเรื่องภูเขาเพลิงของเจ้า…ข้าจะสร้างภูเขาอีกแห่งให้และอนุญาตให้เจ้าเข้าตำหนักสลักวิญญาณได้สามวัน!” กระทิงเขียวพูดขึ้นพลางมองดู หยานหลวน
นางขบคิดเงียบๆ เดิมทีไม่ยินยอมแต่พอคิดถึงวิชาอันน่ากลัวของหวังหลินจึงได้แต่พยักหน้า
“เรื่องในตอนนี้ถือว่าจบแล้ว ทุกอย่างเกี่ยวกับผู้อาวุโสหวังถือเป็นความลับของสำนักมหาวิญญาณ ใครที่ละเมิดกฎจะถูกลงโทษตามกฎของสำนัก!” กระทิงเขียวมองดูผู้คนรอบด้านก่อนจะส่งสายตาไปที่หวังหลิน
“ผู้อาวุโสหวัง ยินดีต้อนรับสู่สำนักมหาวิญญาณ!” กระทิงเขียวยิ้มออกมา ทุกคนหันไปมอง ส่วนทางหวังหลินก็ยิ้มตาม “ข้าสร้างความวุ่นวายที่นี่มากไปหน่อยและ ทำอะไรไม่ยั้งคิด ข้าหวังว่าทุกคนจะไม่นำมาใส่ใจ”
คำพูดเขาไม่ได้ทำตัวโอหังและดูสภาพเป็นอย่างมาก หลังจากเห็นวิชาที่แสดงออกมาพร้อมกับความอ่อนน้อมถ่อมตนแล้ว ผู้อาวุโสคนอื่นของสำนักมหาวิญญาณ รีบตอบรับอย่างสุภาพ
“ผู้อาวุโสหวังก็สุภาพเกินไป เราทั้งหมดเป็นสำนักเดียวกันแล้ว การช่วยเหลือกันเป็นเรื่องธรรมดา”
“ฮ่าฮ่า ระดับบ่มเพาะของผู้อาวุโสหวังช่างน่าอัศจรรย์ ทั้งวิชาก็เก่งกาจ เหล่าเซียนแบบเราเคารพความแข็งแกร่ง เรื่องวู่วามอะไรกัน? ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาเลย”
“หากผู้อาวุโสหวังพอมีเวลา มาที่ภูเขาเมฆาสงบของข้าสิ ข้ามีชาเทพและเราจะได้ดื่มมันไปพลางสนทนาเต๋าไปด้วย”
คำพูดจาสุภาพโผล่ออกมาจากผู้คนรอบด้าน หวังหลินยิ้มและตอบแต่ละคน จากนั้นผู้อาวุโสทั้งหมดก็กลับยอดเขาของตัวเอง
ไม่นานนักจึงเหลือเพียงหยานหลวน หวังหลินและกระทิงเขียวที่อยู่นอกสำนักมหาวิญญาณ เหล่าศิษย์ของหยานหลวนยืนอยู่ไกลๆ ฟ่านชานเมิ่งเป็นหนึ่งในนั้นและมองมาที่หวังหลินด้วยสายตาซับซ้อน
“ผู้อาวุโสหวัง เลือกภูเขาที่จะเป็นถ้ำของท่านได้เลย ข้าจะช่วยท่านจัดแจงเรื่องเอง เมื่อท่านทำความคุ้นเคยกับสำนักมหาวิญญาณแล้วก็ค่อยออกมาเจอข้า ผู้อาวุโสแต่ละคนของสำนักมหาวิญญาณมีโอกาสได้เข้าตำหนักสลักวิญญาณ ซึ่งมีวิชาหลายอย่างให้เลือกข้างใน”
“นอกจากนี้ยังมีของขวัญสามชิ้นที่เตรียมไว้ให้ท่านมานานมากแล้ว ในเมื่อ ท่านเองก็อยู่นี่แล้ว ข้าจะมอบมันให้ท่านในฐานะตัวแทนของบรรพชน…พวกมันจะเป็นประโยชน์สำหรับท่าน!” คำพูดของกระทิงเขียวได้เผยให้เห็นว่าเขาวางหวังหลินไว้สำคัญแค่ไหน พอหยานหลวนได้ยินเช่นนี้นางจึงขบคิดเงียบๆ พ่นลมหายใจเย็นในใจแต่ไม่พูดอะไร
หวังหลินพยักหน้าและมองมาที่สำนักมหาวิญญาณ จากจุดนี้เขาสามารถมองเห็นตำแหน่งภูเขาเดิมที่กลายเป็นกลุ่มก้อนเศษซาก
หวังหลินขบคิด เขาไม่มีความบาดหมางอะไรกับหยานหลวน ทั้งยังเป็นหวังหลินเองที่ไปล่วงเกินนางก่อนและทำให้เกิดความวุ่นวาย หากเป็นคนอื่นคงยอมรับเรื่องนี้ได้ยาก
“ผู้อาวุโสกระทิงเขียว ไม่จำเป็นต้องหาภูเขาอื่นให้ข้าหรอก ภูเขาสายเพลิงนั่น ก็พอแล้ว!” หวังหลินชี้ไปที่ภูเขาไร้ค่าแห่งนั้น
“ส่วนเรื่องถ้ำใหม่ ยกมันให้หยานหลวนเถอะ” หวังหลินยิ้มให้กับนาง
หญิงสาวตกตะลึงไปชั่วขณะ ท่าที่อ่อนลงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ยอมปล่อยความโกรธในใจให้ระเบิดออกมา พอเห็นหวังหลินยิ้มมาให้จึงส่งเสียงพึมพำและจ้องหวังหลิน อย่างโกรธๆ
บรรพชนกระทิงเขียวเห็นเช่นนี้จึงหัวเราะ เขาพยักหน้าและเอ่ยตอบ “ได้เช่นนั้นก็ดี จงมาเจอข้าที่ยอดเขาสวรรค์เขียวภายในสามวัน!” หลังกล่าวเช่นนั้น เขาคว้าไปข้างหน้า หินหยกก้อนหนึ่งลอยเข้าหาหวังหลิน
“หินหยกก้อนนี้จะอนุญาตให้เจ้าเข้าออกเขตอาคมส่วนใหญ่ในสำนัก มหาวิญญาณได้!”
หวังหลินรับหินหยกไว้และไม่เอ่ยต่อ เขาทะยานเข้าหายอดเขาและผ่านศิษย์ของหยานหลวนหลายคน หวังหลินหยุดชะงักลงและชำเลืองไปที่ฟ่านชานเมิ่ง
จิตใจฟ่านชานเมิ่งสั่นเทาและก้มศีรษะลง ระดับบ่มเพาะของนางด้อยกว่า นางเพียงผ่านด่านวิบากแก่นแท้ถึงเจ็ดด่านเท่านั้นเหมือตู้ฉิง การที่นางและพี่สาวกลายเป็นนางสนมของราชันย์เทพสีรุ้งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับระดับบ่มเพาะ ความจริงนางก็ยังเป็นศิษย์ของสำนักมหาวิญญาณ!
กระทั่งเกิดเหตุผลอันลึกซึ้งและเกิดโชคดีขึ้นมา ไม่เช่นนั้นด้วยระดับขั้นวิบากดับสูญระดับต้นของราชันย์เทพสีรุ้งเมื่อตอนนั้นเขาคงไม่สามารถนำทั้งสองนางไปเป็น นางสนมได้
ราชันย์เทพสีรุ้งผ่านอะไรมาหลายอย่างในชีวิต เขามีความหลงใหลหลายอย่างที่คนภายนอกไม่เห็น อย่างไรก็ตามหลังจากบรรลุขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง เขาก็ยังคงอยู่กับฟ่านชานเมิ่ง นี่แสดงให้เห็นว่าเขาห่วงใยนางแค่ไหน
บางทีคงเป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงโกรธเกรี้ยวตอนที่รู้ว่าฟ่านชานเมิ่งและเหลียนต้าวเฟยมีความสัมพันธ์กัน!
“ถ้ำของข้าขาดแคลนหญิงรับใช้ สตรีคนนี้งดงามใช้ได้ หยานหลวน โปรดมอบนางให้ข้า” ขณะที่หวังหลินก้าวเดินออกไป เขามองฟ่านชานเมิ่งและชี้ไปที่นาง
จิตใจของฟ่านชานเมิ่งสั่นเทาเมื่อได้ยินคำพูดของหวังหลิน สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล
“อย่ามากล้าดีนัก!!” ในที่สุดหยานหลวนก็สงบตัวเองลงได้ แต่คำพูดของหวังหลินทำให้นางระเบิดจิตสังหารขึ้นทันที ซึ่งตรงข้ามกับความงดงามของนางอย่างสิ้นเชิง
หวังหลินหัวเราะและทะยานเข้าไปในสำนักมหาวิญญาณ ตรงจุดนี้เขามีอีกความหมายหนึ่ง
หลังจากหวังหลินจากไป หยานหลวนพลันมองมาที่ฟ่านชานเมิ่งด้วยแววตาที่มีแสงแปลกประหลาด ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
ฟ่านชานเมิ่งหลังถูกอาจารย์จ้องมองจึงกัดริมฝีปาก นางเคร่งเครียดและก้มหน้า ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา
ภายในสำนักมหาวิญญาณ หวังหลินยืนอยู่บนยอดของสายเพลิงสีดำ ส่งสัมผัสวิญญาณกระจายออกมา ภูเขาแห่งนี้กลายเป็นขยะหลังจากสายเพลิงปฐพีเหี่ยวแห้งไป แม้แต่ภูเขายังให้ความรู้สึกว่าสามารถพังทลายได้เพียงแค่ผลักดันเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหวังหลิน เพียงแค่เขาเหยียบเท้าเบาๆ ร่างแก่นแท้เพลิงปรากฏขึ้นด้านหลังและทะยานเข้าไปในภูเขา
พอร่างแก่นแท้เข้าไป ทะเลเพลิงระเบิดออกมาจากภูเขาและเชื่อมต่อกับท้องฟ้า ราวกับทั่วทั้งภูเขากำลังเผาไหม้
“ในเมื่อเจ้าสูญเสียพลังแห่งเปลวเพลิง ข้าจะมอบเปลวเพลิงให้ ในเมื่อเจ้าสูญเสียเจตจำนงแห่งเปลวเพลิง เจตจำนงของข้าจะกลายเป็นภูเขา!” หวังหลินพึมพำ ทะเลเพลิงส่งเสียงดังสนั่น เขตอาคมในภูเขาทั้งหมดถูกเผาไหม้และก่อเกิดเขตอาคมใหม่ขึ้นมา สีสันของภูเขาเปลี่ยนจากสีแดงหม่นกลายเป็นสีแดงสว่างดุจดวงอาทิตย์!
มันยังรุนแรงยิ่งกว่าก่อน เปลวเพลิงบนภูเขาดูราวกับสามารถเผาไหม้ได้ ตลอดกาลและไม่มีวันมอดดับ!
พอหยานหลวนเห็นแบบนี้ นางกัดฟันแน่นทันที ความรู้สึกพึงพอใจที่หวังหลินยอมรับภูเขาไร้ค่าแห่งนี้พลันหายไปอย่างสิ้นเชิง
‘เราสองคนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้!’
นางระงับความโกรธเกรี้ยวในใจจนกระทั่งบรรพชนกระทิงเขียวจัดแจงภูเขา แห่งใหม่ให้นาง หลังจากเขาจากไปนางก็เรียกฟ่านชานเมิ่งเข้ามาหาทันที
“ฟ่านชานเมิ่ง จงไปที่ภูเขาสายเพลิง คนแซ่หวังนั่นต้องการให้เจ้าไปเป็นคนรับใช้ ไปซะ!”
“อาจารย์!!” ฟ่านชานเมิ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไป นางคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น ดูน่าสงสารและมีรอยน้ำตาเปรอะเปื้อน
พอหยานหลวนเห็นท่าทีของนาง จึงพ่นลมหายใจเย็นเยียบ
“คนแซ่หวังนั่นเป็นคนที่เจ้าบอกข้าก่อนหน้านี้ เขามาจากโลกถ้ำ…ฮึ่ม เก็บมารยาของเจ้าไปซะ มันใช้กับข้าไม่ได้หรอก! เจ้าช่างมักมากและถึงกับสาปแช่งคนรักของเจ้าให้ตาย เจ้ายังทำให้เหลียนต้าวเฟยหายเข้าไปในถ้ำของสำนักเจ็ดเต๋าอีก อาจารย์ไม่ได้มีความสามารถแบบเจ้า แต่หากเจ้าใช้มันได้ดีกับคนแซ่หวังและสาปแช่งให้เขาตาย อาจารย์จะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี!”
ฟ่านชานเมิ่งร่างสั่นเทา นางเงยหน้าขึ้นและกำลังจะเอ่ยปาก
“อย่าพูดอะไรอีกเลย เจ้าต้องไปไม่ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ชอบ จงไปสาปแช่งมัน ให้ตาย!! นี่คือสิ่งที่เจ้าทำได้ดี ด้วยเสน่ห์ของเจ้านั้น ทำได้แน่นอน!” หยานหลวนสะบัดแขนเสื้อ สายลมรุนแรงพัดพาฟ่านชานเมิ่งออกไปนอกภูเขา
ฟ่านชานเมิ่งขบคิดเงียบๆ อยู่นาน นางหันกลับไปทางยอดเขาของหวังหลิน สายตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของหวังหลิน หยานหลวนคงไม่ต้องบังคับนางให้ออกมา
“สาปแช่งให้ตาย…” คำพูดของอาจารย์ยังคงดังกึกก้องในหู ฟ่านชานเมิ่งสูดลมหายใจลึก แววตาโหดเหี้ยมเลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยเสน่ห์น่าค้นหา ก้าวเดินไปยังภูเขาอย่างอ่อนช้อย