Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1836

Cover Renegade Immortal 1

1836. การข่มของร่างอวตาร

ฟ้าดินสั่นสะท้านคล้ายกับมีบันไดยักษ์นำทางขึ้นสู่สวรรค์ หวังหลินยืนอยู่บนบันไดขั้นแรกราวกับเทพเจ้า เรือนผมสีขาวพัดปลิวเปล่งสัมผัสความสูงส่ง

หวังหลินก้มหน้ากวาดสายตาไปบนพื้น ในที่สุดสายตาก็มองเห็นยอดเขาของ หยานหลวนและศิษย์ที่นางใช้สัมผัสวิญญาณครอบงำ ศิษย์สตรีคนนั้นตัวสั่นและเผยอาการตกตะลึง หยานหลวนรู้สึกราวกับสัมผัสวิญญาณของนางกำลังกระเด็นออก หากสายตาหวังหลินมองมานานกว่านี้ สัมผัสวิญญาณของนางคงกระเด็นไปจริงๆ

นางไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้แต่บรรพชนกระทิงเขียวก็สามารถก้าวข้ามบันไดนี้ได้แต่กลิ่นอายที่หยานหลวนรู้สึกกลับแตกต่างออกไป

ตอนนี้จากมุมมองของหยานหลวน หวังหลินไม่ใช่คนเดิมที่นางเคยพบเจออีกต่อไป!

ความรู้สึกนี้จับต้องไม่ได้ทว่าเด่นชัดมาก พวกเขาคือคนเดียวกันจริงๆ แต่กลับทำให้เกิดความตกตะลึงแตกต่างกัน

นางไม่ใช่คนเดียวที่ตกตะลึง เซียนทุกคนที่พบเจอสายตาหวังหลินต่างก็เกิดจิตใจสั่นเทาและคงต้องล่าถอย ทั้งหมดต่างรู้สึกหวาดกลัว

ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ระดับต่ำสุด ผู้อาวุโสของสำนักหรือเซียนเฒ่าคนใด ทั้งหมดล้วนรู้สึกแบบเดียวกันว่าวิญญาณดั้งเดิมกำลังจะถูกแยกออกจากร่างกาย

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสายตาอันน่ากลัวของหวังหลิน!

ซึ่งรวมถึงบรรพชนกระทิงเขียวในยอดเขาสวรรค์เขียวเช่นกัน หลังจากหวังหลินมองหยานหลวน เขาก็มองตรงมาที่นี่ทันที เมื่อสายตาทั้งสองประสานกัน สีหน้าท่าทางเขาเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล ร่างกายสั่นเทา ควันสีเขียวปรากฏขึ้นด้านหลังเพื่อสร้างเป็นร่างแก่นแท้

สายตาหวังหลินหายไปในไม่นานแต่บรรพชนกระทิงเขียวยังรู้สึกจิตใจสั่นเทา ดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง ดวงตาคู่นั้นของหวังหลินกลับดูอำมหิต ไม่แยแส ราวกับทั้งโลกอยู่ใต้ฝ่าเท้าและต้องเทิดทูนบูชาเขา!

บรรพชนกระทิงเขียวไม่เคยไปเมืองหลวงของฝั่งเผ่าโบราณมาก่อน หากเขาได้เห็นรูปปั้นของบรรพชนโบราณอันสูงส่ง เมื่อนั้นเขาคงรู้สึกคล้ายคลึงอยู่บ้าง

กลิ่นอายของร่างเงายักษ์หวังหลินในท้องฟ้าให้ความตกตะลึงคล้ายกับกลิ่นอายของบรรพชนโบราณ แต่ในรายละเอียดยังพอมีความแตกต่าง

‘นี่…นี่…เกิดอะไรขึ้นกับเขา…คนผู้นี้ไม่ใช่หวังหลินแน่นอน! เขาเป็นใคร!?’ กระทิงเขียวหน้าซีดและพุ่งออกมาจากถ้ำ ยืนอยู่ด้านนอกด้วยท่าทีเคร่งเครียด

ร่างเงายักษ์ของหวังหลินได้ถอนสายตากลับและหลับตาลง กระทิงเขียวไม่รู้ความลับของหวังหลินและไม่รู้ว่านั่นก็คือ หวังหลินเช่นกัน แต่ความตกตะลึงที่ว่า มันกลับออกมาจากร่างอวตารของหวังหลิน!

ชั่วจังหวะที่หวังหลินหลับตา เขายกเท้าขึ้นมาและก้าวไปอย่างสงบนิ่ง เมื่อเท้าเหยียบย่ำลงไป เสียงดังสนั่นกึกก้อง ภาพมายาของบันไดเกิดการสั่นสะเทือนราวกับไม่สามารถรองรับหวังหลินได้ทีเดียว

ราวกับเท้าของหวังหลินโผล่ออกมาจากมิติว่างอันห่างไกล อย่าว่าแต่ตำหนัก สลักวิญญาณเลย แม้แต่สำนักมหาวิญญาณหรือแคว้นกระทิงสวรรค์ก็ไม่สามารถรองรับฝ่าเท้านี้ได้!

หวังหลินก้าวไปอีกก้าวโดยไม่หยุดชะงักแต่ก็ไม่ได้เร่งรีบ เขาสงบนิ่งและเดินขึ้นบันไดราวกับเป็นบ้านตัวเอง

ขั้นที่สาม ขั้นที่สี่ ขั้นที่ห้า…ทุกคนในสำนักมหาวิญญาณเฝ้าดูเขาก้าเดินขึ้นบันไดสิบห้าขั้น!

เขาก้าวไปโดยไม่หยุดพักราวกับเขตอาคมของแต่ละขั้นไร้ค่าสำหรับเขา

ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ศิษย์สำนักมหาวิญญาณถึงกับหน้าซีด มันทำให้เซียนเฒ่าตกตะลึง บรรพชนกระทิงเขียวอ้าปากค้าง!

สัมผัสวิญญาณของหยานหลวนในศิษย์สตรีเกิดความตกตะลึงและแทบสูญเสียการควบคุม นางกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในผิวหนังและเริ่มมีโลหิตไหล

หวังหลินยกเท้าก้าวเดินไปทั้งที่ยังหลับตา เขาก้าวไปบนขั้นที่สิบหก จากนั้นขั้นที่สิบเจ็ด พอถึงขั้นที่สิบแปดจึงลืมตา

แรงกดดันแห่งสวรรค์แผ่กระจายออกมาจากดวงตาและห่อหุ้มพื้นดินด้านล่าง ทุกคนที่เห็นเขาต่างก็ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตา สัมผัสวิญญาณของหยานหลวนกำลังสั่นสะท้าน ราวกับสัมผัสวิญญาณกำลังถูกขับไล่ออกจากร่างกาย

“หยานหลวน ข้าชนะ!” น้ำเสียงสงบนิ่งดังกึกก้องก่อนที่หวังหลินจะก้าว ขั้นสุดท้ายและขึ้นไปสู่ขั้นที่สิบเก้า เขามาถึงตำหนักสลักวิญญาณในชั้นที่แปด!

เพียงคำพูดเขาเอ่ยเสียงดังกึกก้อง สัมผัสวิญญาณของหยานหลวนจึงเกิดการ สั่นสะท้าน สัมผัสวิญญาณค่อยๆ เลือนหายไป ศิษย์สตรีถอยไปหลายก้าว สายตาเต็มไปด้วยความงุนงงสับสน

วินาทีนี้ทั้งสำนักมหาวิญญาณเกิดความเงียบงัน…แต่ไม่นานได้เกิดเสียงร้องกระจายกันไปทั้งสำนัก

“เขา…ทำสำเร็จ!!”

“เขาทะลุผ่านชั้นเจ็ดไปถึงชั้นแปดได้ ผู้อาวุโสหวังเข้าไปชั้นแปดได้จริงๆ!”

“สายตาเขาช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกิน ข้าไม่เคยเจอสายตาแบบนั้นจากเซียน คนใดมาก่อน!”

ณ ยอดเขาสวรรค์เขียว บรรพชนกระทิงเขียวมองดูภาพเลือนลางที่กำลังหายไปอย่างช้าๆ สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปจนกระทั่งเผยความซับซ้อนอธิบายไม่ถูก

ณ ตำหนักสลักวิญญาณ หยานหลวนซึ่งอยู่บนชั้นที่หก ใบหน้าซีดจนไร้สี ร่างกายสั่นสะท้านพลางยืนอยู่ตรงทางเดินสู่ชั้นที่เจ็ดอย่างเงียบๆ

น้ำเต้าในมือดูเหมือนได้ถูกพลังอันแข็งแกร่งห่อหุ้มและนำออกไป แต่วินาทีนั้น หยานหลวนกัดฟันและจับน้ำเต้าเพื่อต่อต้านพลังนั้น

“โอ้? เจ้าจะผิดคำพูดหรือ?” ขณะที่หยานหลวนคว้าจับน้ำเต้า หวังหลินเอ่ยเสียงออกมาจากชั้นที่แปด ขณะเดียวกันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านบนหยานหลวน

จังหวะที่หวังหลินก้าวเข้าไปชั้นที่แปดได้ เขาหันตัวกลับและเดินลงมา ซึ่งพอเข้าไปชั้นที่เจ็ดและแปดได้สำเร็จไปครั้งแรกแล้ว เขาสามารถขึ้นและลงได้ตามที่ต้องการ การขึ้นลงบันไดจะไม่ทำให้เกิดภาพมายาอีกต่อไปและไม่มีคนนอกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามหยานหลวนรู้สึกได้ถึงตัวตนอันทรงพลังที่กำลังลงมาจากชั้นแปดได้ทันที

เสียงปริแตกดังกึกก้องอยู่ในตำหนักสลักวิญญาณ หวังหลินก้าวเดินลงบันไดและมาถึงชั้นที่เจ็ดได้ในเวลาไม่นาน

“เจ้าเดิมพันเองแต่กลับผิดคำพูดเสียนี่ ข้าไม่ได้ขอร้องให้เจ้าเดิมพันนะ เจ้าพูดเอง!” หวังหลินเอ่ยเสียงสงบนิ่ง ดังถึงหูของหยานหลวน

หยานหลวนหรี่ตาแคบและเห็นเท้าหวังหลินอยู่ตรงบันได จากตำแหน่งของนางไม่สามารถมองเห็นตัวหวังหลินได้และเห็นเพียงเท้าหวังหลินที่เหยียบอยู่บันไดเท่านั้น หยานหลวนรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญกับโลกทั้งใบ

“เจ้ามั่นใจหรือว่าต้องการผิดคำพูด?” หวังหลินเดินลงบันไดอย่างช้าๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสูงส่ง น้ำเสียงเข้ามาแทนที่เขตอาคมและกลายเป็นกฎแห่งแผ่นดินเซียนดาราที่ตกลงมาบนสำนักมหาวิญญาณ

ขณะที่หวังหลินก้าวเดินลงไป สองเท้าและร่างกายค่อยๆ ปรากฏขึ้นในสายตาของนาง

“เจ้ามั่นใจใช่หรือไม่? ตอบข้ามา!” หวังหลินเหยียบลงบนบันไดขั้นที่เก้า เผยร่างกายให้เห็นทั้งหมด คำพูดของเขาสงบนิ่งแต่กลับดังกึกก้องดุจสายฟ้า หยานหลวนหน้าซีดและถอยไปหลายก้าว

นางเผยสายตาตื่นตระหนก ตอนนี้ลืมเรื่องระดับบ่มเพาะของตัวเองไปแล้วและรู้สึกเหมือนกับเป็นมดแมลงอยู่เบื้องหน้าหวังหลิน และหวังหลินไม่ได้ดูเหมือนมองมาที่นางด้วยซ้ำ!!

“เจ้าเป็นใคร!?” สายตาหยานหลวนมีเส้นโลหิต คำพูดแทบจะแหบพร่า

หวังหลินใช้พลังอำนาจของร่างอวตารเพื่อข่มหยานหลวน หลังจากทำได้สำเร็จเขาจะทิ้งรอยแตกร้าวไว้ในจิตใจแห่งเต๋าของนาง ในอนาคตเมื่อทั้งสองเจอกันอีกครั้ง นางจะเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเขา

ซึ่งทำให้ในภายภาคหน้า นางจะไม่มีวันกลายเป็นภัยคุกคามสำหรับเขาอีกต่อไป!

ทั้งสองไม่มีความเกลียดชังฝังลึกอะไรกันและหวังหลินไม่ได้ต้องการทำลายจิตใจแห่งเต๋าของนาง ในอนาคตนางสามารถบ่มเพาะได้ตามปกติแต่นางจะหวาดกลัว หวังหลินและหลีกเลี่ยงที่จะเป็นศัตรู!

“ส่งมันมา!” หวังหลินพูดอีกครั้งและก้าวเดินลงมาอีกสองขั้นบันได ยกแขนขวาขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก

ทว่าหยานหลวนกลับรู้สึกว่าสองขั้นบันไดได้บีบคั้นจิตใจของนาง นางรู้สึกเหมือนโลกกำลังพังทลายและกดลงมาใส่ หากนางไม่ทำตามคำสั่งของหวังหลิน นางจะถูกโลกบดขยี้จนตาย!

แสงในดวงตาหยานหลวนคล้ายแตกกระจายและสั่นเทา นางไม่สามารถทนต้านแรงกดดันในใจนี้ได้ วินาทีนั้นแรงกดดันจากหวังหลินได้ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว เกินบรรยาย

แขนขวาของนางค่อยๆ อ่อนลงและปล่อยน้ำเต้าลอยออกไปจากมือเข้าสู่ฝ่ามือหวังหลิน

หวังหลินมีสายตาสงบนิ่งแต่เปล่งประกายเจิดจ้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหยิบยืม กลิ่นอายจากร่างอวตารอย่างเต็มที่และใช้มันเพื่อข่มคนอื่น พลังอำนาจจากกลิ่นอายนี้ทำให้เขาตกตะลึงเช่นกัน

หวังหลินคว้าน้ำเต้าไว้ในมือ หันตัวกลับและเดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดและแปด เขายังต้องเลือกวิชาที่ต้องการ!

จนกระทั่งหวังหลินหายไปจากสายตาหยานหลวน ความรู้สึกหวาดกลัวจึงทุเลาลง ร่างของนางอ่อนยวบและถอยไปหลายก้าว จิตใจขมขื่นและเกิดความรู้สึกอันซับซ้อน

หวังหลินกลับมายังชั้นที่แปด ที่แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงราวกับไม่มีใครมาที่นี่นานแล้ว มันไม่ใหญ่มากและมีร่างวิญญาณขนาดเจ็ดนิ้วอยู่เก้าตัวที่เรืองแสงอ่อนโยน

ร่างวิญญาณทั้งเก้ามีวิชาเต๋าอันทรงพลังของสำนักมหาวิญญาณ แต่ละดวงราวกับสามารถทำลายล้างโลกได้เลยทีเดียว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version