1837. เต๋าเนตรวิญญาณ
ณ ชั้นที่แปดของตำหนักสลักวิญญาณ กลิ่นอายบนร่างหวังหลินค่อยๆ หายไป จนหมดสิ้นและกลับเข้าสู่ร่างอวตารในมิติว่าง
หวังหลินไม่ต้องการใช้พลังจากร่างอวตารมากเกินไปนัก เขาคงต้องใช้ในจังหวะที่เหมาะสมและไม่ให้เสียเปล่า การใช้มากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์และอาจทำให้ ร่างอวตารทรุดโทรม
ส่วนเรื่องการยืมพลังของร่างอวตารเพื่อเข้าสู่ชั้นที่เก้านั้น ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจ หวังหลินเพียงชั่วครู่ แต่เขาสัมผัสได้ถึงเขตอาคมอันทรงพลังที่อยู่บนบันได การเดินขึ้นไปตอนนี้นับว่าต้องแลกเปลี่ยนด้วยอะไรหลายอย่างซึ่งไม่คุ้มค่าที่จะลอง
หลังจากประเมินผลได้ผลเสีย หวังหลินก็ล้มเลิกการขึ้นไปชั้นที่เก้า และกระจายกลิ่นอายของร่างอวตารออกไปและเริ่มตรวจสอบชั้นที่แปด
เขาสามารถเลือกได้วิชาเดียวในตำหนักสลักวิญญาณและเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หวังหลินกวาดสายตาผ่านร่างวิญญาณเจ็ดนิ้วทั้งเก้าดวงไป
เขาสัมผัสได้ถึงวิชาต้นกำเนิดวิญญาณ วิชาภาพมายาทับซ้อนและวิชาเต๋า เนตรวิญญาณซึ่งทำให้หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่นท่ามกลางร่างวิญญาณทั้งเก้าดวง
ส่วนวิชาอื่นนั้นหวังหลินไม่ได้เห็นใครใช้ออกมากับตา แต่ก็ยังเข้าไปตรวจสอบ
สำนักมหาวิญญาณมุ่งเน้นไปที่วิชามายาวิญญาณ ศิษย์หลักส่วนใหญ่สามารถใช้วิชาภาพมายาทับซ้อนได้แต่ไม่สามารถแสดงพลังอำนาจที่แท้จริงของมันออกมาได้ เมื่อสามารถสร้างภาพมายาทับซ้อนได้แปดชั้น นั่นถือว่าเป็นพลังอำนาจที่สั่นสะเทือนสวรรค์แล้ว
หวังหลินหยุดสายตาไปที่ร่างวิญญาณดวงที่สาม ร่างวิญญาณนี้มีวิชาภาพมายาทับซ้อน
‘เพียงแปดชั้นเท่านั้น…สูงสุดของวิชานี้คือเก้าชั้น เมื่อไม่มีชั้นที่เก้า วิชานี้ก็ ไม่สมบูรณ์…’ หวังหลินขมวดคิ้ว
“ดูเหมือนฉบับที่สมบูรณ์จะอยู่บนชั้นที่เก้า” หวังหลินขบคิดและมอง ร่างวิญญาณดวงที่เจ็ด กลิ่นอายจากร่างวิญญาณดวงนี้ทรงพลังเทียบเท่าภาพมายา ทับซ้อน
ร่างวิญญาณดวงนี้มีวิชาต้นกำเนิดวิญญาณที่หยานหลวนเคยใช้ พออยู่บนชั้น ที่แปดจึงเป็นวิชาที่สมบูรณ์
หวังหลินขบคิดและเริ่มลังเลระหว่างสองวิชา
‘แม้ข้าไม่ได้ขึ้นไปชั้นที่เก้าตอนนี้ ข้ายังไปทีหลังได้ อีกทั้งวิชาภาพมายาทับซ้อนก็เป็นวิชาที่ข้าต้องได้มาอยู่แล้ว! ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเลือกมัน ยิ่งมีน้ำเต้าวิญญาณ วิชาต้นกำเนิดวิญญาณถือว่าเหมาะสมกว่า!’ หลังจากขบคิดเล็กน้อย หวังหลินดวงตาส่องสว่างขึ้นมาและตัดสินใจ เมื่อเขาตัดสินใจแล้วจะไม่เปลี่ยนความคิด เขาก้าวเดินไปหาร่างวิญญาณดวงที่เจ็ดและนั่งลง มือขวาสร้างผนึกและชี้ไปที่ร่างวิญญาณดวงนั้น
ร่างวิญญาณสั่นสะท้านและปลดปล่อยแสงน่ากลัวห่อหุ้มไปทั้งชั้นที่แปด มันค่อยๆ เลื่อนมาที่ศีรษะหวังหลิน ทำให้ดูเหมือนเขากำลังฝึกฝน
คลื่นสายใยอันน่ากลัวโผล่ออกมาจากร่างวิญญาณและเข้าสู่ร่างหวังหลินผ่านรูขุมขน
หวังหลินมีสีหน้าสงบนิ่ง ขณะที่เส้นสายคล้ายควันเข้าไปในร่าง หวังหลินได้ยินเสียงพึมพำขึ้นในหู มันค่อยๆ ประทับในวิญญาณและเริ่มหล่อเลี้ยงเขา
หวังหลินนั่งอยู่ในชั้นที่แปดเป็นเวลาสามวัน ช่วงเวลานี้เขาไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลยและดูดซับวิชาจากร่างวิญญาณขนาดเจ็ดนิ้วอยู่ในนั้น
หวังหลินไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเขากลายเป็นคนที่จดจำในจิตใจศิษย์ทุกคนและแทบเรียกได้ว่าเป็นตำนานของสำนัก
การทะลวงผ่านชั้นที่เจ็ดและแปดได้ในคราเดียว แม้จะเคยเกิดขึ้นมาก่อนแต่ก็มีน้อยคนมากที่ทำได้ ผู้อาวุโสหวังผู้ได้รับการแต่งตั้งใหม่คนนี้เป็นใครและมีต้นกำเนิดมาจากที่ใดคือ หัวข้อที่เหล่าศิษย์ของสำนักต่างถกเถียง
เกิดข้อถกเถียงกันหลายอย่างแต่ไม่มีคนไหนพูดตรงกับความเป็นจริง
ผู้คนส่วนน้อยมากที่รู้ความจริงก็คงไม่เผยมันออกมาง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นสองสาว พี่น้องฟ่านชานเมิ่งและฟ่านชานลิ่ว หรือบรรพชนกระทิงเขียว ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นคงไม่หยิบยกมันขึ้นมา แม้กระทั่งหยานหลวนก็ยังไม่เอ่ยถึงหลังจากเกิดรอยร้าวในจิตใจแห่งเต๋าที่หวังหลินวางเอาไว้และทำให้นางหวาดกลัว
ส่วนตัวตนในฐานะเซียนเผ่าโบราณ ข้อมูลนี้ถูกบรรพชนกระทิงเขียวปิดเงียบและส่งคำสั่งให้ทุกคนห้ามแพร่งพราย
เวลาสามวันไม่ได้มากพอให้เรื่องคาดเดาเกี่ยวกับหวังหลินลดน้อยลง ขณะที่ ดวงอาทิตย์ทอประกายในวันที่สี่ หวังหลินลืมตาขึ้นมา
ดวงตาดูเหมือนแตกต่างกับก่อนหน้านี้ ภายในดวงตามีควันเป็นเส้นสาย คล้ายความฝัน ตราบใดที่มองเข้าไปจะจมดิ่งไปในดวงตาเขาและพบว่าไม่สามารถหลบหนีออกมาจากสายตาคู่นั้นได้
“วิชาต้นกำเนิดวิญญาณ…เป็นเช่นนี้เอง” หวังหลินพึมพำและหลับตาอีกครั้ง ผ่านไปสักพักจึงพ่นอากาศเหม็นออกมาและก้าวเดินลงบันได
ก้าวเดินลงไปทีละก้าว จากชั้นที่แปดตรงไปสู่ชั้นที่ห้า ชั้นที่สาม จนกระทั่งมาถึงชั้นแรก
‘วิชาของสำนักมหาวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นเต๋าเนตรวิญญาณหรือวิชาต้นกำเนิดวิญญาณ ต่างก็จำเป็นต้องแบ่งวิญญาณส่วนหนึ่งออกมา การแบ่งนั้นจะเป็นการสื่อสารกับโลกเพื่อเรียกใช้งานเหล่าวิชา…’
‘มิน่าเล่าข้าถึงไม่สามารถเรียนรู้วิชามายาทับซ้อนตอนที่อยู่ในโลกถ้ำได้และได้แต่เพียงหยิบยืมใบเรือหน้าผีเพื่อใช้มัน ตอนที่ข้าไม่มีใบเรือหน้าผี ข้าจึงสูญเสียความสามารถในการใช้วิชาไป…’ หวังหลินเผยแววตาเป็นประกายพลางก้าวเดินออกจากตำหนักสลักวิญญาณ
เขาทะยานออกมาจากรอยแยกด้านนอกตำหนัก เมื่อออกมาแล้วรอยแยกนอกภูเขาสวรรค์เขียวจึงปิดตัวลง
บรรพชนกระทิงเขียวที่อยู่ในภูเขากำลังเฝ้าดูหวังหลินจากไป เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก หากหวังหลินเข้าสู่ชั้นที่เก้าได้ก่อนเวลาสามร้อยปี เขาคงไม่รู้ว่าจะทำอะไรจริงๆ
‘บรรพชนรุ่นแรกทำนายว่าหวังหลินจะเข้าสู่ชั้นที่เก้าหลังจากนี้อีกสามร้อยปี จากนั้นหลังจากเขาเข้าไปชั้นที่เก้าได้เพียงเก้าวัน สำนักใหญ่ทั้งสามของแคว้น มารเขียวจะรวมกำลังกันเพื่อกวาดล้างสำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่…’
‘เป้าหมายก็เพื่อต้องการวิญญาณกระทิงสวรรค์ที่ถูกกดทับอยู่ใต้แคว้นกระทิงสวรรค์’ บรรพชนกระทิงเขียวดูกังวล แม้จะรู้ทุกอย่างล่วงหน้าและเตรียมการไว้หลายอย่าง ความคลุมเครือของหวังหลินทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
‘บรรพชนรุ่นแรกสร้างสำนักมหาวิญญาณขึ้นมา พื้นหลังเขานั้นลึกลับยิ่ง แม้แต่บรรพชนรุ่นต่อมาก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ลือกันว่าเดิมทีแล้ววิชาเต๋าเนตรวิญญาณแบ่งออกเป็นสองส่วนและอีกส่วนมีชื่อว่าวิญญาณเนตรเต๋า!’
‘ข่าวลือยังบอกว่าบรรพชนรุ่นแรกคือ ศิษย์ผู้มีเต๋าอันทรงพลังที่สุดของสำนักที่ซ่อนตัวอยู่ในแผ่นดินเซียนดารา แต่ในรุ่นเขา มีแค่สองคน…’
‘พวกเขาสืบทอดวิชาเต๋าเนตรวิญญาณและวิชาวิญญาณเนตรเต๋า…จากนั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง บรรพชนได้ยอมทิ้งโอกาสในการได้เต๋าที่สมบูรณ์แบบมา เขาออกมาและเข้าสู่แคว้นกระทิงสวรรค์ซึ่งเพิ่งถูกบรรพชนเทพสร้างขึ้น จากนั้นก็สร้าง สำนักมหาวิญญาณที่นี่…’
‘ยังมีข่าวลืออีก…’ บรรพชนกระทิงเขียวคิดถึงข่าวลือสุดท้ายและอดไม่ได้ที่จะเกิดอาการตัวสั่น เขามองออกไปไกลยังที่ที่แคว้นกลางตั้งอยู่
ข่าวลือสุดท้ายคือสิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกคนในสำนักมหาวิญญาณรวมตัวกันได้ ข้อมูลนี้ถือเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวเกินไปและถูกเรียกว่าข่าวลือแทน
‘ลือกันว่าในเมืองหลวง เคล็ดบรรทัดเต๋าของราชครูแห่งวังหลวงกลับถูกเรียกว่าวิญญาณเนตรเต๋า…’ บรรพชนกระทิงเขียวขบคิดเงียบๆ และรู้สึกกระวนกระวาย ผ่านไปสักพักจึงถอนหายใจและเริ่มบ่มเพาะ
หวังหลินทะยานผ่านสำนักมหาวิญญาณ ตัวสำนักกว้างใหญ่มากจนแทบมองไม่เห็นปลายทาง สายตามองเห็นแต่ภูเขาที่แทงทะลุก้อนเมฆไปหลายลูกเท่านั้น แต่เมื่อใดที่หวังหลินผ่านภูเขาไปหนึ่งลูก จะมีสัมผัสวิญญาณกระจายออกมาก่อตัวเป็นร่างเข้าคำนับฝ่ามือให้เขาด้วยความเป็นมิตร
หากคนอื่นเคารพหวังหลิน หวังหลินก็จะเคารพกลับไป ระหว่างทางเขายิ้มแย้มและคำนับฝ่ามือกลับไปหาเหล่าสหายร่วมสำนักก่อนจะกลับสู่ภูเขาของตัวเอง
ฟ่านชานเมิ่งยังอยู่นอกภูเขา นางดูเหน็ดเหนื่อยแต่ไม่กล้าจากไปไหน
หลังจากเข้าไปใกล้ภูเขา หวังหลินกวาดสายตาผ่านฟ่านชานเมิ่งด้วยท่าทีนิ่งเฉย เขาก้าวเข้าไปบนภูเขาและเอ่ยเสียงดังกึกก้อง
“เข้ามาข้างใน ถ้ำค่อนข้างรกเล็กน้อย จงทำความสะอาดและหาที่พักเพื่อเตรียมพร้อมให้เรียกใช้งานได้ทุกเมื่อ!”
ฟ่านชานเมิ่งก้มศีรษะและพยักหน้า นางกัดฟันและก้าวเข้าหาภูเขาเพลิงไหม้ คลื่นความร้อนทำให้เหงื่อของนางไหลออกมามากขึ้นและนางใช้เวลานานมากกว่าจะอดทนเดินเข้าไปได้ นางมองตำแหน่งที่หวังหลินเข้าไปด้วยสายตาโกรธแค้นก่อนจะสงบจิตใจตัวเอง นางเริ่มทำความสะอาดถ้ำตามคำสั่งของหวังหลิน
หวังหลินกลับมาที่ถ้ำตรงยอดเขาและนั่งลง สะบัดแขนเสื้อปรากฏกล่อง สามกล่องเบื้องหน้า กล่องทั้งสามคือ สมบัติที่บรรพชนกระทิงเขียวมอบให้
‘สำนักมหาวิญญาณแห่งนี้ทำดีต่อข้ายิ่งนัก ถือเสียว่าพักอยู่นี่ไปก่อนที่จะออกไปตามหาอาจารย์…’
‘ข้ายังไม่เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างของตำแหน่งที่อาจารย์อยู่ แต่การที่ข้าปรากฏตัวขึ้นฉับพลันนี้คงต้องมีบางคนที่ไม่มีความสุขหรือต้องการขัดขวางเป็นแน่…ดังนั้นข้าต้องเพิ่มพูนระดับบ่มเพาะก่อนจะไปตามหาอาจารย์!’ คนระดับเช่นหวังหลินนั้นมีสัมผัสหยั่งรู้เรื่องอันตรายในอนาคต แม้จะไม่ชัดเจนเท่าคนที่สามารถทำนายการเปลี่ยนแปลงในโลกได้ เขาก็พอจับใจความเรื่องสถานการณ์ได้บ้าง
หวังหลินรู้สึกเลือนลางว่ามีมหันตภัยร้ายกำลังรวมตัวกันหาเขา
‘ตราบใดที่ข้ามีระดับบ่มเพาะสูงมากพอ ไม่มีหายนะใดที่จะเป็นปัญหา! ตอนนี้ข้าอยากเห็นเสียแล้วว่าคนในสำนักที่ทำนายว่าข้าจะปรากฏตัวออกมาได้ทิ้งสมบัติ แบบไหนไว้ให้!’ หวังหลินดวงตาส่องสว่างและเอื้อมมือเข้าหากล่องใบแรก