Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1002

Cover Renegade Immortal 1

1002. อวตารร่างที่สอง 2

“หากข้ามีอีกร้อยปี ข้าคงสามารถสำเร็จวิชาแยกปิศาจได้อย่างสมบูรณ์…น่าเสียดาย สัมผัสปิศาจนี้อ่อนแอเกินไป ร่างกายข้าถูกกลืนกินไปแล้ว สัมผัสปิศาจเป็นเหมือนต้นไม้ไร้รากฐานและสามารถสลายไปได้ทุกเมื่อ…หอคอยปิศาจเมฆาล่มสลายไปแล้ว ข้าไม่สามารถอยู่ได้นานกว่านี้! ข้าไม่กล้าเข้าสู่แคว้นปิศาจอื่นเพื่อดูดซับพลังปิศาจ…”

สัมผัสปิศาจนี้เหาะเหินมาข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ทว่ามันอ่อนแอเกินไปและสามารถถูกลบล้างตัวตนได้ทุกขณะ

ขณะที่เหินอยู่ในท้องฟ้า ร่างกำลังสูญสลายไปอย่างช้าๆ ท้ายที่สุดกำลังจะดับลง ความทรงจำพร่าเลือนและจะหายไปหมดสิ้น

ณ ขณะนั้นเกิดรู้สึกว่ามีพลังปิศาจอันเลือนลางอยู่เบื้องล่าง เผ่าหลอมวิญญาณอยู่ด้านล่างตอนนี้!

ตอนนั้นสมาชิกเผ่าหลอมวิญญาณมีอยู่ไม่มากนัก มีแค่เพียงไม่กี่แสนคน ส่วนใหญ่กระจายตัวกันออกไปค้นหาดวงวิญญาณ มีอยู่ในพื้นที่เผ่าเพียงไม่กี่หมื่นคนเท่านั้น

คนทั้งหมดต่างก็เคารพบูชารูปปั้นหินสีดำอย่างเอาเป็นเอาตาย พลังปิศาจโผล่ออกมาจากศีรษะแต่ละคนและล้อมรอบพื้นที่

สัมผัสวิญญาณของปิศาจเมฆาซึ่งใกล้จะแตกดับนั้นพลันเคลื่อนเข้าหารูปปั้นสีดำโดยไม่รู้ตัว วินาทีที่มันเข้าไปในรูปปั้นจึงคล้ายจะกลับกลายเป็นมีชีวิต พลังปิศาจรอบๆเริ่มรวมกันเข้ามาหามัน

เมื่อเวลาผ่านไป ปิศาจเมฆาก็ค่อยๆตั้งรกรากอยู่ในรูปปั้น มันสูญเสียความทรงจำไปมากเกินไประหว่างหลบหนีและส่วนที่เหลือยังพร่ามัวอีก

เขาไม่ใช่แม้กระทั่งร่างดั้งเดิมและเป็นเพียงเสี้ยวสัมผัสปิศาจเท่านั้น พลังปิศาจทั้งหมดมาจากการสักการะของสมาชิกเผ่าหลอมวิญญาณและเต็มไปด้วยความคิดของคนที่เรียกกันว่า “หวังหลิน”

แรกเริ่มเดิมทีเขาก็ต่อต้านมัน แต่เมื่อจำนวนสมาชิกเผ่าเพิ่มไปเกินหนึ่งล้าน เขาก็ค่อยๆรู้สึกว่าชื่อตัวเองคือหวังหลิน ซึ่งเป็นบรรพชนของเผ่า

ใช้เวลาหลายร้อยปีด้วยความคิดแบบนั้น ขณะที่สมาชิกเผ่าเติบโตขึ้นเป็นหลายล้านคน การเคารพนับถือเรื่อยๆทำให้เขาหลงลืมอดีตที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิงและตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองคือหวังหลิน

ขณะที่ตัวเองเปลี่ยนไป รูปปั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นรูปลักษณ์ของหวังหลิน เขาเองก็กลายเป็นหวังหลินอยู่ในรูปปั้นนั้นด้วย

หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมองปิศาจโบราณที่รูปร่างเหมือนตัวเอง แสงประหลาดในแววตายิ่งรุนแรงขึ้น กระทั่งพบว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันเหลือเชื่อเกินไป

เมื่อรวมกับการคาดการณ์ของตนเอง หวังหลินจึงพอเข้าใจรายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้น

ขบคิดเล็กน้อยพลางจ้องมองปิศาจโบราณและพึมพำออกมา “เมื่อปิศาจโบราณส่งมาหาถึงหน้าประตูแล้ว การไม่รับไว้ก็คงน่าเสียดาย…ในเมื่อเขาคิดว่าตัวเองเป็นข้า เช่นนั้น…ก็ให้เขาเป็นอวตารร่างที่สองของเข้าเสียเลย!”

“ร่างดั้งเดิมคือเทพโบราณ อวตารแรกเป็นเซียน และอวตารร่างสองเป็นปิศาจโบราณ สงสัยเสียจริงว่าข้าจะสร้างอวตารร่างสามเป็นมารโบราณได้ไหม! ถึงตอนนั้นเมื่อทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน…ข้าจะสามารถกลับคืนเป็นบัญชาโบราณได้หรือไม่!” หัวใจหวังหลินเต้นรัวแรงขณะที่มองปิศาจโบราณซึ่งส่งตัวมันเองมาหาเขาและหวังหลินก็ยิ้ม

ร่างกายกระพริบวาบและออกไปจากรูปปั้น สัมผัสวิญญาณและระดับบ่มเพาะกลับเข้าสู่ร่างกาย มองรูปปั้นสีดำเบื้องหน้าและเผยรอยยิ้มกว้าง

สูดหายใจลึกและนั่งลงวางฝ่ามือไว้บนเข่า พ่นแกนพลังดั้งเดิมออกมาห่อหุ้มรูปปั้นหินก่อนจะวางกฏเกณฑ์ลงไปทับอีก

หากต้องการสร้างอวตารร่างที่สอง เขาต้องหลอมมันจนกว่าจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับความคิด เขาต้องสามารถคุมมันได้ตามต้องการและมันไม่สามารถขัดขืนวิญญาณดั้งเดิมของเขาได้ วิญญาณดั้งเดิมของเขาควรจะสามารถแทนที่มันได้ตามต้องการได้ง่ายๆ

แม้จะฟังดูง่าย ความจริงยากยิ่ง แม้จะสามารถบังคับได้ด้วยกำลังแต่ก็มีประโยชน์เดียวคือใช้เป็นหุ่นเชิดที่อ่อนแอกว่าตัวเอง ถึงแม้จะสำเร็จก็คงไร้ประโยชน์ที่เป็นร่างอวตาร

อย่างไรก็ตามหากมันไม่ได้อ่อนแอกว่าเขา ก็ไม่สามารถบังคับได้

สรุปแล้วจึงมีอุปสรรคแรกให้เอาชนะ

เมื่อไม่สามารถบังคับมันได้ จึงต้องค่อยๆหลอมมันไปทีละวันและกินเวลามากเพื่อโอกาสสำเร็จอันน้อยนิด อย่างไรก็ตามถึงแม้จะสำเร็จก็ยังมีข้อผิดพลาดและยังมีโอกาสที่ร่างอวตารจะเกิดการกบฏ

อย่างไรก็ตามเรื่องง่ายลงเมื่อเจ้าปิศาจโบราณนี้เชื่อไปแล้วว่ามันคือหวังหลิน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพยายามมากนัก สิ่งที่หวังหลินต้องทำคือผสานสัมผัสวิญญาณและทำให้มันรู้ว่าร่างดั้งเดิมคือใคร!

สำหรับเรื่องนี้แล้วไม่ยากเกินไปสำหรับหวังหลิน เขามีระดับบ่มเพาะสูงมากกว่าเจ้าปิศาจโบราณและเป็นถึงเทพโบราณด้วย

แต่หวังหลินระมัดระวังกับเวลาที่เหลืออยู่ไม่กี่วัน ไม่เพียงแต่จะต้องผสานสัมผัสวิญญาณเข้ากับปิศาจโบราณให้สมบูรณ์ เขายังประทับผนึกไว้ด้วยพร้อมกับกฏเกณฑ์จำนวนมากข้างในร่างอวตาร หากร่างอวตารนี้คิดการต่อต้าน หวังหลินสามารถกำราบมันได้เพียงแค่คิดได้ทันที

หากหยุดแค่นี้คงไม่ใช่วิถีของหวังหลิน เขาใช้วิธีของจักรพรรดิเทพฉิงหลินในการควบคุมหุ่นเชิดบนอวตารร่างที่สองนี้ด้วย เมื่อมั่นใจว่าสามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วจึงผ่อนคลายลง

พอมองรูปปั้นหินเบื้องหน้า จึงรู้สึกว่ามันเป็นหนึ่งเดียวกับเขา

“เสียดายที่อวตารร่างที่สองไม่มีร่างกายหยาบและต้องอยู่ในรูปปั้นหิน ตอนนี้มันไม่สามารถแยกออกมาได้และหากมันโจมตีก็ต้องใช้สัมผัสปิศาจเป็นหลัก! มันอ่อนแอมาก แค่ขั้นเทวะระดับปลายเท่านั้น”

“แต่ว่ามันเป็นเศษเสี้ยวสัมผัสปิศาจ หากมันมีพลังปิศาจเพียงพอมันก็จะเติบโตขึ้นและบรรลุถึงะดับของปิศาจโบราณ…” ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้น เขารู้ว่าไม่สามารถรีบเร่งเรื่องนี้ได้และต้องเป็นไปอย่างช้าๆ

หลังจัดการกับเรื่องราวที่สำนักหลอมวิญญาณ หวังหลินไม่ได้พารูปปั้นหินไปด้วยแต่กลับวางกฏเกณฑ์ทรงพลังลงไปและสั่งให้สำนักหลอมวิญญาณให้สักการะไปเรื่อยๆ

“อวตารร่างที่สองนี้เป็นเมล็ดพันธุ์ ตอนนี้มันยังใช้การไม่ได้ แต่เมื่อมันเติบโตขึ้น…” ในแววตามีความคาดหวัง จากนั้นร่างกระพริบวูบวาบและหายตัวไป

แม้แคว้นปิศาจฟ้าจะได้รับชัยชนะในการต่อสู้กับแคว้นปิศาจอัคคีเมื่อหลายร้อยปีก่อน จำนวนผู้เสียชีวิตของแต่ละฝ่ายก็หนักหนาสาหัสเกินไป แม้วันนี้จะผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว ประชากรก็ยังน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก

แม้กระทั่งเมืองหลวงแคว้นปิศาจฟ้าที่รุ่งเรืองที่สุดก็ยังไม่คึกคักนัก

ร้านรวงยังมีอยู่สองฝั่งถนนแต่ไม่มีประชากรมากมาย พวกเขาเพียงชำเลืองไม่กี่ครั้งที่ร้านค้าก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว

แม่น้ำสายยาวลอดผ่านเมืองชั้นในเชื่อมต่อกับเมืองชั้นนอกกลายเป็นรูปวงกลม หวังหลินนั่งอยู่ด้านฝั่งแม่น้ำ เฝ้ามองสายน้ำไหลเอื่อยๆ

หากมีพลังสามารถเปลี่ยนเวลากลับเป็นเมื่อหลายร้อยปีก่อนได้ เมื่อนั้นก็คงรู้ว่าหวังหลินกำลังอยู่ตรงตำแหน่งเดิมเมื่อคราวนั้น

เขายังเป็นคนเดิมในตำแหน่งเดิมข้างกับแม่น้ำสายเดิม แต่ไม่มีเรือล่องบนแม่น้ำและไม่มีเสียงพิณดังเข้าหูอีกแล้ว

ขณะมองแม่น้ำอันว่างเปล่าในใจหวังหลินเผยความเศร้า ราวกับเสียงพิณเมื่อตอนนั้นยังก้องอยู่ในหู อย่างไรเสียงเพลงนี้ก็เบามากราวกับสายลมสามารถพัดมันให้สลายไปได้ทุกเวลาและไม่มีวันได้ยินอีก

พอคิดตอนนี้ หากไม่ได้ดื่มกับจักรพรรดิปิศาจในคืนนั้นหวังหลินอาจไม่ได้เห็นใบหน้าสตรีผู้เล่นพิณตลอดกาล

ถึงตอนนี้หวังหลินก็ยังนึกถึงร่างอันโดดเดี่ยวและเสียงพิณที่เต็มไปด้วยความเสร้า

ขณะที่กำลังเฝ้าดูพระอาทิตย์ตกดิน หวังหลินจมดิ่งตัวเองอยู่ในความทรงจำ รู้สึกเวลาผ่านไปพริบตา ทุกอย่างถูกทำละล้างแต่ความทรงจำคงอยู่ตลอดกาล

“บางทีนี่ก็เป็นเรื่องเศร้าของชีวิต…” หวังหลินถอนหายใจ วันเวลาคงอยู่เพราะคนมีความทรงจำ หากไม่มีความทรงจำก็คงไม่มีช่วงเวลาแบบนั้น

“โม่ลี่ไฮ่จะเป็นยังไงบ้างนะ…”

มีขวดสุราอยู่ข้างหวังหลิน ขวดสุรานี้มาจากร้านเดียวกันเมื่อตอนนั้น ผ่านไปหลายชั่วรุ่น ยี่ห้อก็ยังเหมือนเดิมแต่สุรานั้น…

หวังหลินหยิบขึ้นมาจิบ

“แม้แต่รสชาติก็ยังเปลี่ยน…” หวังหลินยิ้มขมขื่นและวางขวดสุราลง

“แน่สิว่ามันเปลี่ยนไป ลูกหลานของตาเฒ่านั่นไม่มีทักษะของบรรพชน จึงไม่สามารถสร้างรสชาติได้เหมือนกับเมื่อก่อน” น้ำเสียงสงบนิ่งดังออกมาจากด้านหลังหวังหลินอย่างเหนื่อยอ่อน

หวังหลินไม่ได้หันกลับมาและถอนหายใจ “เราไม่เจอกันแค่ไม่กี่ร้อยปี จักรพรรดิปิศาจไม่ไร้กังวลเหมือนก่อนแล้ว!”

เสียงหายใจดังออกมาจากด้านหลังหวังหลิน ชายวัยกลางคนสววมชุดคลุมสีม่วงนั่งลงข้างๆ เขาเคยหล่อเหลายิ่งแสดงให้เห็นว่าเคยดูดีแบบไหน ทว่าตอนนี้เขามีเส้นผมหงอกสีขาวและดูแก่ชรา

“ลองดื่มมันดูสิ” ชายวัยกลางคนนำขวดสุราออกมาและยื่นส่งให้หวังหลิน

หวังหลินมองและดื่มไปหนึ่งจิบ ยิ้มและพลางกล่าว “มันคือสุราเมื่อตอนนั้น!”

“ข้ารู้ว่าเจ้าคงจะกลับมาแน่นอน ดังนั้นข้าจึงเก็บไว้ดื่มกับเจ้าอีกเยอะ!” ชายวัยกลางคนโบกแขนและขวดสุราอีกหนึ่งปรากฏขึ้นมา เขาดื่มไปอึกใหญ่ก่อนจะยิ้ม “น้องหวัง เจ้ารู้สึกเศร้าที่ขาดเสียงพิณเมื่อตอนนั้นใช่ไหม?”

เสียงพิณค่อยๆดังออกมาไกล นำพาความโดดเดี่ยวและความเศร้ามาด้วย วินาทีต่อมาเรือลำใหญ่ก็แล่นลงมาบนแม่น้ำ

หัวเรือมีสตรีเล่นพิณนั่งหันหลังให้หวังหลิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version