198. ปรับโครงสร้างร่างกาย
ผลึกน้ำแข็งสีฟ้ามากมายหลากหลายชิ้นลอยคว้างในก้อนเมฆ แต่ละชิ้นมีความกว้างสิบฟุต หวังหลินตรวจสอบทั่วบริเวณและพบผลึกทั้งหมด 94 ชิ้น
หลังตรวจสอบทั่วบริเวณจึงค้นพบว่าหนึ่งในผลึกเหล่านี้มีชิ้นหนึ่งที่มีขนาดเล็กกว่าที่เหลืออยู่ หวังหลินจดจำได้ทันทีว่ามันเป็นผลึกที่จอมเวทย์ปิศาจฟ้าพยายามเพื่อได้มาครอบครองตอนที่เปิดอุโมงค์
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น ในที่สุดก็เข้าใจได้ว่ามรดกแห่งภูมิปัญญาของเทพโบราณไม่ใช่เพียงแค่ผลึกชิ้นเดียว แต่มีทั้งสิ้น 94 ผลึก
ส่วนที่หวังหลินดูดซับมามีไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วน
หวังหลินอยู่ที่นี่ขณะที่เป็นวิญญาณ หลังขบคิดเล็กน้อยวิญญาณของเขาจึงร่อนลงบนผลึกชิ้นนั้น ขณะที่วิญญาณสัมผัสกับมัน ผลึกน้ำแข็งหลอมละลายและรวมเข้ากับวิญญาณหวังหลินทันที
คลื่นความทรงจำอันสูงส่งน่าเกรงขามเข้ามาในวิญญาณหวังหลิน ขณะที่เวลาผ่านไป ความทรงจำเข้ามาเร็วขึ้นและเร็วมากขึ้น วิญญาณหวังหลินเหมือนก้อนเมฆที่กำลังขยายตัว
บทสวดอันซับซ้อนนับไม่ถ้วน วิชาประหลาดมากมายมหาศาล และเศษเสี้ยวความทรงจำมากมายถาโถมเข้าสู่จิตใจหวังหลินราวกับมังกรกำลังคำราม วิญญาณหวังหลินฉีกขาดออกจากกัน จากนั้นประกอบขึ้นมาใหม่
วงจรนี้ดำเนินต่อเนื่อง คลื่นความเจ็บปวดขึ้นๆลงๆได้กลืนกินหวังหลินอย่างสมบูรณ์
ในความจริง หวังหลินไม่ควรจะรู้สึกสิ่งใดได้ในร่างวิญญาณ แต่เขากลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดทั้งหมดเหนือเกินกว่าวิญญาณราวกับมีแมลงนับไม่ถ้วนกำลังกลืนกินเขา
ความรู้สึกนี้คงอยู่กับเขาแม้ตอนที่ดูดซับมรดกชิ้นส่วนแรกก่อนหน้านี้เขายังไม่รู้สึกเช่นนี้ หวังหลินสูญเสียการควบคุมวิญญาณของตัวเองทีละเล็กทีละน้อย วิญญาณส่วนหนึ่งลอยออกมาเป็นเส้นบางๆและในที่สุดล้อมรอบเขาสร้างเป็นรังไหม
รังไหมที่สร้างจากวิญญาณของเขานี้เรืองแสงสีฟ้าคล้ายกับผลึกน้ำแข็ง ความจริงแล้วมันแทบจะดูเหมือนผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่
ในขณะที่กระบวนการนี้เกิดขึ้น วิญญาณหวังหลินเข้าสู่สภาวะสับสนวุ่นวาย เขาพบประสบการณ์ความรู้สึกนี้มาก่อนตอนที่ดูดซับมรดกครั้งแรก แม้จะมีประสบการณ์มาแล้ว ครั้งแรกนั้นราวกับสายธารไหลเอื่อยแต่ครั้งนี้ราวกับแม่น้ำที่กำลังบ้าคลั่ง
เขารู้สึกราวกับใบไม้ใบหนึ่งบนแม่น้ำ หมดหนทางเมื่อถูกพาขึ้นและลงอย่างรวดเร็ว ทุกๆคลื่นทำให้ความเจ็บปวดบรรเทาลง
ทันใดนั้นเขาเห็นแสงไฟด้านหน้าสายตา ในไม่ช้าความคุ้นเคยหนึ่งปรากฎเบื้องหน้าเขา มีพื้นที่ว่างเปล่าพร้อมด้วยจุดแสงกำลังเรืองรองเบื้องหน้า
เหตุการณ์นี้หวังหลินเคยเห็นมันมาก่อน เมื่อได้เห็นอีกครั้งจึงเข้าใจเล็กน้อย เมื่อเกิดความเข้าใจนั้นพลันความเจ็บปวดที่กำลังประสบพบเจอได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากนั้นไม่นาน อาการชาเริ่มกระจายสู่ทุกส่วนของวิญญาณทันที บทสวดนับไม่ถ้วน เหล่าวิชาและความทรงจำที่กำลังเคลื่อนไหวในที่สุดก็สงบลงและรวมเป็นหนึ่งกับเขาเรียบร้อย
หวังหลินรู้สึกว่าวิญญาณของตัวเองเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าและจุดแสงขนาดใหญ่ขึ้น จนกระทั่งมันกลายเป็นดาวเคราะห์ยักษ์ หวังหลินเป็นร่างขนาดใหญ่ของเทพโบราณในเวลาไม่นาน
หวังหลินรู้แล้วว่าเด็กหนุมที่เขาเห็นครั้งก่อนคือเทพโบราณตู่ซือวัยเด็ก และยักษ์เบื้องหน้าเขาที่มีขนาดเท่าดาวเคราะห์นี้คือตู่ซือตัวเต็มวัย
ใบหน้าตู่ซือดูธรรมดาอย่างมาก ยกเว้นสิ่งเดียวก็คือดวงดาวแปดดวงเป็นวงกลมระหว่างคิ้วของเขา นอกจากนั้นผิวกายของเขาหยาบกร้านและมีรอยแตกนับไม่ถ้วน อย่างไรก็ตามรอยแตกพวกนี้แทบไม่อาจมองเห็นได้จึงยากจะสังเกตหากท่านไม่ตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน
แต่หลังจากสังเกตการณ์เขาอย่างละเอียด รอยแตกนับไม่ถ้วนเหล่านั้นบนผิวหนังดูเหมือนรอยแตกก้นหอย
ณ จุดนี้ดวงตาของตู่ซือเกิดแสงระเบิดขึ้นพลันจ้องไปที่ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งห่างออกไปในสายตาเขา ไม่นานนักฝ่ามือขนาดใหญ่ค่อยๆเอื้อมออกและเคลื่อนไหวราวกับกำลังคว้าบางสิ่ง สิ่งนั้นทำให้ดาวเคราะห์แตกสลายกลายเป็นผุยผงและหายไปในเหล่าจุดแสงพวกนั้น
ละอองฝุ่นไหลออกมาเป็นแสงสีทองสายหนึ่ง เพียงสะบัดมือหนึ่งครา แสงสีทองเปลี่ยนทิศทางเข้าหาตู่ซือ ในไม่นานมันร่อนลงบนฝ่ามือเขาและกลายเป็นก้อนสีทอง
วัตถุมีพื้นผิวชัดเจน มันดูเหมือนทองแต่ไม่ใช่ทอง เหมือนก้อนหินแต่ไม่ใช่ก้อนหินและมีเส้นคั่นสีดำอยู่บนนั้น ขณะที่กำลังถืออยู่ ตู่ซือทำท่าทางคว้าจับออกมาด้วยมืออีกข้างและทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงระเบิด
และเป็นเช่นนั้นผ่านไปโดยไม่รู้เวลา มีดาวเคราะหืมากกว่าสามสิบดวงถูกทำลายไป ถึงจุดนี้มีวัตถุแตกต่างกันหลายสีอยู่ในฝ่ามือเขา
ถัดไป ฝ่ามือทั้งสองของตู่ซือเคลื่อนไหวและวัตถุดิบทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน เขาเพ่งสมาธิและท่องบทสวดซึ่งทำให้รวมเข้ากับวัตถุชิ้นนั้น
ไม่นานหลังจากนั้นเขาหลับตาและลืมตาขึ้น ดวงดาวทั้งแปดบนหน้าผาดเริ่มหมุนราวกับมีชีวิต ดวงดาวยิงลำแสงสีทองเข้าไปสู่วัตถุ
ผ่านไปเวลานาน พีรามิดสี่เหลี่ยมเรืองแสงสีรุ้งปรากฎในฝ่ามือ พีรามิดสี่เหลี่ยมให้ความรู้สึกอำนาจสูงส่งและสามารถทำลายโลกได้พร้อมกันนั้นน้ำวนปรากฎใกล้ๆมัน วิญญาณหวังหลินสัมผัสแรงดูดแห่งหนึ่งเมื่อเห็นพิรามิดได้ เขารู้สึกหวาดกลัวในใจขณะที่มองมันอย่างเคร่งเครียด
ตู่ซือมองพีรามิดและส่ายศีรษะและมีใบหน้าเสียดาย เขาจับมันตรวจสอบก่อนที่จะโยนไปที่ดาวดวงหนึ่ง มันหายเข้าไปในดวงดาวนั้น
ตู่ซือถอนหยใจ ร่างกายเคลื่อนไหวสองสามก้าว เขาหายตัวเข้าไปในพื้นที่ว่างเปล่า หวังหลินร่วมเป็นพยานรู้เห็นกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นทั้งหมด ชัดเจนว่าตู่ซือพยายามสร้างอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งโดยใช้ดาวเคราะห์มากกว่าสามสิบดวงเป็นทรัพยากร หวังหลินคาดว่าพีรามิดสี่เหลี่ยมเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับตำนาน แต่เขาไม่คาดคิดว่าตู่ซือเพียงมองมันเล็กน้อยและโยนทิ้งไปเพราะไม่พอใจ
หากสมบัติเช่นนั้นตกอยู่ในมือเซียนผู้หนึ่ง คนผู้นั้นแทบจะไม่มีใครหยุดเขาได้ หวังหลินจ้องดาวเคราะห์ที่พีรามิดพึ่งเข้าไปและลอบถอนหายใจ
สำหรับกระบวนการหลอมสมบัตินั้นหวังหลินเห็นทั้งหมด แม้เขาจะไม่รู้ว่าตู่ซือใช้วัตถุดิบหรือบทร่ายอันใด หวังหลินเชื่อว่าเมื่อดูดซับผลึกน้ำแข็งฟ้าทั้งหมด เขาจะรู้จักมัน
หลังเทพโบราณตู่ซือจากไป หวังหลินรู้สึกได้ชัดเจนว่าวิญญาณของเขาเริ่มหายไปจากสถานที่แห่งนั้น
ณ สถานที่ที่ถือครองมรดกแห่งภูมิปัญญา นอกจากผลึกน้ำแข็ง 93 ผลึกตอนนี้มีรังไหมสีฟ้า ไม่นานจากนั้นรอยแตกนับไม่ถ้วนปรากฎบนผิวรังไหม
แสงหลากสีออกมาจากรอยแตก ยิ่งมีรอยแตกมากขึ้นก็ยิ่งมีแสงหลากสีหนาแน่นขึ้น เกิดเสียงแตกดังขึ้นและรังไหมเปิดออกมา
ร่างเกือบจะโปร่งใสเปล่งแสงมีเสน่ห์ออกมาจากรังไหม คนผู้นั้นคือหวังหลิน
หวังหลินลืมตาขึ้นและมองลงที่ร่างกายตนเอง ดวงตาเผยกำลังมีคำถาม เขามีความรู้สึกชัดเจนหลังจากกำลังดูดซับผลึกน้ำแข็งฟ้า ไม่เพียงแต่ได้รับความทรงจำมากขึ้นเท่านั้นแต่วิญญาณของเขาเกือบออกมาจากสภาพมายาได้สำเร็จจนกลายสภาวะเป็นครึ่งโปร่งใส
หลังไตร่ตรองเล็กน้อย หวังหลินพยายามเคลื่อนไหวร่างกาย แต่ร่างกายเขาหดลงและกระจายออกสู่รอบด้านทันที
หวังหลินเคลื่อนไหววิญญาณตนเองอีกครั้งและมันกลับสู่สภาวะครึ่งโปร่งใสอีก เขาขบคิดเงียบๆอยู่ชั่วครู่จากนั้นสะบัดแขนขวาสร้างเป็นกระจกชิ้นหนึ่งจากผลึกน้ำแข็ง
หลังชำเลืองมองกระจก หวังหลินร่างสั่นทันที เขาจ้องไปที่กระจกและไม่อาจเปล่งคำพูดได้
ในกระจกเขาเห็นร่างครึ่งโปร่งใส แม้ว่ามันจะโปร่งแสงไปครึ่งหนึ่งเขายังเห็นส่วนต่างๆได้ มันเป็นใบหน้าที่ดูธรรมดาอย่างมาก
หวังหลินพึ่งจดจ้องกระจก ใบหน้าของเขามีอารมณ์อันซับซ้อน เขาคิดได้ว่าวันหนึ่งเขาจะสามารถฟื้นคืนร่างเดิมได้
เขาลืมมานานหลายปีแล้วนับตั้งแต่ที่ร่างของเขาถูกเถิงฮว่าหยวนทำลายไป แต่หวังหลินไม่เคยลืมร่างตัวเองที่พ่อแม่ให้มา ทุกครั้งที่เขานึกถึงมัน หัวใจจะเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อเถิงฮว่าหยวน
ผ่านไปนาน หวังหลินถอนหายใจและอารมณ์สงบลงอีกครั้ง หวังหลินขยับวิญญาณตัวเองและล้อมรอบผลึกน้ำแข็งฟ้าชิ้นอื่นอย่างรวดเร็ว
ความเจ็บปวดอันแสนสาหัสจากครั้งก่อนได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เวลานี้หวังหลินเตรียมพร้อมไว้และจึงสงบลง ข้อมูลทั้งหมดไหลเข้าสู่วิญญาณและถูกหวังหลินดูดซับ
ไม่นานหลังจากนั้นวิญญาณของเขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป มันพังทลายและรอบร่างได้เกิดรังไหมรูปไข่อีกครั้ง
พื้นที่ว่างเปล่าเต็มไปด้วยจุดแสงนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นอีก ตอนนี้เขาสังเกตเห็นว่าเทพโบราณกำลังปรุงยาโดยสร้างจากเหล่าดาวเคราะห์จำนวนมากมาย เม็ดยานี้ในสายตาหวังหลินมันมีหน้าตาขยะแขยงมาก มันดูเหมือนลูกบอลโคลนที่กำลังปลดปล่อยพลังปราณจำนวนมหาศาล แต่ไม่ว่ามันจะดูเป็นเช่นไรก็ยังดูไม่เหมือนเม็ดยา
หลังตู่ซือสร้างเม็ดยา รอยแตกในร่างกายจึงหนามากกว่าเดิม ระหว่างรอยแตกนั้นปรากฎลวดลายนับไม่ถ้วนสร้างบรรยากาศอันลึกลับ ด้วยการเคลื่อนไหวของเทพโบราณ ลวดลายได้สร้างภาพมายาและดูราวกับพวกมันมีชีวิต
เมื่อรังไหมยักษ์พังทะลยอีกครั้ง ร่างหวังหลินจึงสมบูรณ์ขึ้นเล็กน้อย
วันเวลาค่อยๆผ่านไป หวังหลินดูดซับมรดกแห่งภูมิปัญญาของตู่ซืออย่างต่อเนื่อง หลังจากดูดซับผลึกหนึ่งชิ้น เขาจะเคลื่อนที่ไปชิ้นถัดไปทันที
เมื่อผลึกชิ้นที่สามสิบสี่ถูกดูดซับไป วิญญาณของเขาจึงสมบูรณ์ ไม่ว่าจะมองดูเช่นไรหวังหลินก็ไม่สามารถหาความแตกต่างระว่างร่างวิญญาณและร่างจริงของตัวเองได้ ส่วนผมศีรษะนั้นมันยังเป็นสีขาวเช่นเดิม
หวังหลินสูดหายใจลึกและเริ่มตรวจสอบร่างกายอย่างละเอียด ไม่ว่าจะสัมผัส กลิ่น เสียง หรือรสชาติ ทั้งหมดเหมือนกับร่างกายจริงๆ
จิตใจหวังหลินจึงค่อยๆเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัย ที่เขาทำทั้งหมดก็คือดูดซับมรดกแห่งภูมิปัญญาของเทพโบราณ ทำไมวิญญาณของเขาจึงเปลี่ยนเป็นร่างกายไปได้?
ร่างกายนี้ นอกจากมันไม่มีแกนพลังแล้ว อย่างอื่นเหมือนเช่นคนปกติ
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและลองทำให้เกิดบาดแผลข้างซ้ายทำให้หยดโลหิตไหลออกมา ขณะที่จ้องไปที่โลหิตนั้น ในที่สุดหวังหลินจึงเข้าใจว่าเขาได้ฟื้นฟูร่างเดิมของตัวเองมาจริงๆ
หวังหลินหลับตา หลังจากตรวจสอบวิญญาณของตัวเองจึงพบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ด้วยวิญญาณของเขา สายฟ้าวงกลมสว่างขึ้นรอบแกนพลังของวิญญาณกลืนกินพร้อมกับหมุนไปด้วย ทุกครั้งที่มันหมุนจะส่งคลื่นออกมาเพื่อขยายร่างวิญญาณ
ภายในวิญญาณของเขา ไม่ว่ามันจะเป็นลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าหรือขอบเขตจวี่ ทุกสิ่งเหมือนกันหมด
หลังสำรวจร่างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาลืมตาขึ้นพร้อมกับกระชับกำปั้นตัวเอง
หวังหลินไม่ต้องการใช้เวลามากมายเพื่อทำความคุ้นเคยกับร่างกายใหม่เพราะนี่มันเป็นร่างเดิมของเขา เมื่อกระชับกำปั้น หัวใจหวังหลินจึงเต็มไปด้วยความยินดี
เขายกศีรษะขึ้นและดวงตามีความเยือกเย็น “เถิงฮว่าหยวน ก่อนหน้านี้เจ้าทำลายร่างกายของเขา แต่ตอนนี้ข้าได้สร้างขึ้นมาใหม่ เมื่อข้าบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดด้วยร่างนี้ ข้าจะไปแคว้นจ้าวเพื่อล้างบางทั้งตระกูลเถิงซะ! ความเกลียดนี้จะสงบลงได้ด้วยเลือดของทั้งตระกูลเจ้าเท่านั้น มีเพียงวิญญาณของตระกูลเถิงที่จะทำให้ใจข้าสงบ!”
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เมื่อเขามาถึงสถานที่แห่งนี้ครั้งแรกกลับไม่คาดคิดว่าจะมีผลึกน้ำแข็ง 94 ชิ้น ซึ่งทำให้แผนการเดิมของเขายุ่งเหยิง
แผนการเดิมของเขาคือดูดซับมรดกของเทพโบราณและหาหินหมึกเพื่อสร้างธงแห่งกฎเกณฑ์จากนั้นกลับเข้าร่างและออกจากดินแดนเทพโบราณซึ่งเขาถูกขังมานานหลายปี
หากทุกสิ่งเป็นไปตามแผน เมื่อนั้นตอนนี้การเก็บเกี่ยวของหวังหลินจะได้รับมามหาศาล ไม่เพียงแต่เขาได้เรียนรู้ศาสตร์แห่งกฎเกณ์ เขายังเรียนรู้วิธีสร้างธงแห่งกฎเกณฑ์และได้รับกระเป๋าของเมิ่งหลังค่อมกับจักรพรรดิโบราณด้วย แน่นอนว่ายังมีกับดักอสูรและหินวิญญาณระดับสูงยี่สิบก้อน หากรวมอุปกรณ์ทั้งสิบด้วยเช่นกันเมื่อนั้นเขาได้รับมากมายนัก
นอกจากนี้ยังมีมรดกแห่งภูมิปัญญอันทรงคุณค่า
แต่หลังจากพบว่าที่นี่มีผลึกน้ำแข็ง 94 ชิ้น หวังหลินจึงระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม หากเขาสามารถเข้าสถานที่แห่งนี้ได้ คนอื่นๆก็สามารถเข้ามาได้เช่นกัน
แต่หลังจากรออยู่เป็นเวลานานกลับไม่มีใครอื่นเข้ามา ชัดเจนว่ามีบางสิ่งเปลี่ยนไป สิ่งสำคัญคือสถานที่ที่หวังหลินซ่อนร่างกายตัวเองเป็นสถานที่ที่ของทั้งหมดของเขาเก็บไว้เช่นกัน แต่สถานที่แห่งนั้นอยู่ระหว่างรอยแยก ดังนั้นจึงไม่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของมันมากนัก แต่หากร่างกายไม่มีวิญญาณเป็นเวลานานเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดการแทรกซ้อนขึ้น ทว่านับตั้งแต่ที่หวังหลินสร้างร่างกายใหม่ เขาจึงผ่อนคลายเล็กน้อย
ขณะที่เวลาผ่านไป หวังหลินรวมเข้ากับผลึกน้ำแข็งได้ช้าลงและช้าลงเรื่อยๆ จนเมื่อผลึกชิ้นที่ 57 หลังจากหวังหลินออกมาจากรังไหม มีดวงดาวจางๆระหว่างคิ้วของเขาหนึ่งดวง
หวังหลินนั่งขัดสมาธิเงียบๆภายในรังไหมพร้อมกับหลับตา หลังผ่านไปเป็นเวลานานจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงดาวเปล่งแสงลึกลับออกมา
แม้ว่าหวังหลินตอนนี้จะดูเหมือนเด็กหนุ่มจากแคว้นจ้าวเมื่อก่อน ทว่าชั้นบรรยากาศที่เขาเปล่งออกมาตอนนี้ดูแตกต่างอย่างสมบูรณื เขาในตอนนี้ด้วยเส้นผมสีขาวที่กำลังปลิวไสว ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอันตรายอย่างบอกไม่ถูก ราวกับสัตว์ป่าดุร้ายที่ทำให้จิตใจผู้คนหนาวเหน็บ
ดวงดาวบนหน้าผากของเขาปรากฎออกมาที่ระหว่างคิ้วหลังจากดูดซับผลึกน้ำแข็งชิ้นที่ 57 ขณะที่ดวงดาวปรากฎออกมา มันรู้สึกราวกับจิตใจถูกฟ้าฝ่าและกลายเป็นชัดเจน
เขาจดจำได้ชัดเจนบนหน้าผากของเทพโบราณตู่ซือซึ่งมีดาวแปดดวง อีกทั้งจดจำได้ว่าไม่ว่าจะหลอมสมบัติหรือปรุงยาต่างก็ต้องการพลังอันลึกลับจากดวงดาวเหล่านั้น
แต่ดวงดาวบนหน้าผากตู่ซือมีสีแดง และดวงดาวบนหน้าผากเขามีเพียงเค้าโครงจางๆเท่านั้น ความจริงหากท่านไม่ได้มองอย่างละเอียดก็ไม่มีทางเห็นมันได้
แม้เขาจะไม่รู้ว่าจะรับดวงดาวที่เหลือบนหน้าผากอีกยังไง หวังหลินเชื่อว่าเมื่อดูดซับผลึกน้ำแข็งทั้งหมด เขาจะเข้าใจมันได้เอง
แม้ว่าหวังหลินจะไม่รู้เรื่องดวงดาวมากขึ้น แต่หลังจากดูดซับผลึกน้ำแข็งไปมากกว่าห้าสิบก้อนจึงเข้าใจว่าทำไมร่างกายเขาจึงสร้างขึ้นใหม่
เหล่าเทพโบราณมุ่งเน้นการปรับปรุงร่างกาย ทุกครั้งที่เทพโบราณใช้พลังปราณที่ดูดซับไปทั้งหมดเพื่อการปรับปรุงร่างกาย เป็นผลให้แม้จะเป็นเทพโบราณ ร่างกายพวกเขาก็ถึงขีดจำกัดและไม่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น
ณ จุดนั้นจึงจำเป็นต้องขยายร่างกาย ไม่เช่นนั้นระดับฝึกฝนจะหยุดลง มีเพียงการขยายร่างกายขึ้นถึงจะสามารถบรรลุระดับฝึกฝนที่สูงกว่า อธิบายได้ว่าที่ร่างกายเทพโบราณมีขนาดใหญ่โตก็เพื่อการกักเก็บพลังปราณ เมื่อถึงขีดจำกัด ร่างเทพโบราณจะทำการปรับโครงสร้างใหม่ซึ่งนับได้ว่าเป็นการบรรลุระดับฝึกตนขั้นใหม่
เทพโบราณแต่ละตนมีประสบการณ์การขยายร่างกายจนนับไม่ถ้วนและการปรับโครงสร้างร่างกายหลายครั้งเช่นเดียวกัน ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นมันก็ยิ่งทำให้พวกเขาแข็งแกร่งมากขึ้น
และหลังจากการปรับโครงสร้างแต่ละครั้ง วิญญาณของเทพโบราณจะมีขนาดเพิ่มขึ้นเช่นกัน สำหรับเทพโบราณแล้วนับว่าไม่มีระดับขั้นการฝึกตน มีแต่เพียงความแข็งแกร่งของร่างกายและวิญญาณเท่านั้น
มรดกแห่งภูมิปัญญาที่หวังหลินดูดซับมามีความทรงจำตลอดชีวิตของตู่ซือ แม้กระทั่งความทรงจำตอนที่ตู่ซือตายในวัยเยาว์แรกๆขณะที่กำลังฝึกฝนวิชาสวรรค์เปลี่ยนร่างธารหมึกและเขาได้ปรับโครงสร้างร่างกายนับแปดครั้ง
การปรับโครงสร้างร่างกายแต่ละครั้งเป็นประสบการณ์ที่ไม่ลืมเลือนของเทพโบราณ นอกจากนั้นมันคือก้าวหนึ่งเพื่อการเป็นผู้แข็งแกร่ง ก่อนหน้านี้หวังหลินเพียงดูดซับมรดกส่วนเล็กๆจึงไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
แต่หลังจากเข้าพื้นที่แห่งนี้ เขาได้ดูดซับผลึกน้ำแข็งชิ้นที่สมบูรณ์ 1 ใน 94 ชิ้นและความสามารถการปรับโครงสร้างร่างกายจึงเริ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ
ดังนั้นร่างกายหวังหลินจึงเริ่มสร้างใหม่โดยใช้วิญญาณของเขาเป็นแกนและความทรงจำเป็นแบบ สำหรับหวังหลิน กระบวนการปรับโครงสร้างร่างกายไม่ใช่สิ่งพิเศษอันใด ความจริงแล้วหากคนอื่นได้รับมรดกเช่นกันก็จะพบเจอกระบวนการเดียวกัน
แต่เมื่อร่างหวังหลินถูกสร้างใหม่มันจึงทำให้เขาฟื้นฟูร่างเดิมของตัวเอง แม้ว่าร่างกายนี้จะดูธรรมดามาก แต่หากเปรียบเทียบกับเซียนธรรมดา มันนับว่าแข็งแกร่งมากกว่า
หากหวังหลินพบกับการปรับโครงร่างกายแปดครั้งเมื่อนั้นร่างเขาจะเป็นเช่นเดียวกับเทพโบราณ หลังจากเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดนี้ หวังหลินจึงสรุปง่ายๆว่าดวงดาวแปดดวงบนหน้าผากตู่ซือคือการปรับโครงสร้างร่างกาย 8 ครั้งของเขา
หากนั่นนับว่าเป็นเรื่องจริง เมื่อนั้นมันก็อธิบายได้ว่าทำไมจึงมีดาวหนึ่งดวงบนหน้าผากเขา นอกจากนั้นร่างกายเขาเพียงปรับโครงสร้างร่างกายใหม่ไปหนึ่งครั้ง
แต่จากการวิเคราะห์ของหวังหลิน การปรับโครงสร้างร่างกายใหม่ของเขานับว่าไม่สมบูรณ์ เนื่องจากดวงดาวบนหน้าผากยังไม่มีสีและดูจางๆ
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่หวังหลินคิด เพราะเขายังไม่มีความทรงจำที่สมบูรณ์ แต่เชื่อว่าจะได้รับคำตอบในไม่ช้า
หลังดูดซับผลึกน้ำแข็งไป 57 ก้อน เศษส่วนบทสวดที่กระจัดกระจาย เหล่าวิชาและความทรงจำจึงมีความสมบูรณ์ สิ่งนี้ทำให้วิญญาณของเขากลายเป็นสับสนวุ่นวายอย่างมาก บางครั้งวิญญาณหวังหลินก็สับสน บางครั้งก็เชื่อว่าตัวเองคือตู่ซือ และบางครั้งก็จำได้ว่าตัวเองคือหวังหลิน
ความรู้สึกวุ่นวายสับสนนี้ทำให้จิตใจเขาตระหนักได้ถึงคราวเคราะห์อันโหดร้าย แม้ตู่ซือจะตายไปแล้วและไม่มีโอกาสที่จะกลืนกินเขา หวังหลินเชื่อว่าหากเขาดูดซับมรดกแห่งภูมิปัญญาไปทั้งหมดและไม่สามารถจัดการอย่างถูกต้อง เขาจะคิดว่าตัวเองเป็นตู่ซือจริงๆและลืมตัวตนของตัวเอง
เพราะเหตุนี้ความเร็วที่หวังหลินดูดซับมรดกจึงช้าลง เพียงหลังจากดูดซับผลึกน้ำแข็งหนึ่งก้อนอย่างสมบูรณ์เท่านั้นจึงจะเคลื่อนที่ไปชิ้นถัดไป
เป็นผลให้ความรู้สึกวุ่นวายในวิญญาณลดลงไปอย่างมาก แม้ว่ามันยังเกิดเหตุการณ์พวกนั้นบางครั้ง หวังหลินยังสามารถประคองตัวตนของตัวเองได้
แม้ความเร็วจะลดลง แต่กุญแจหลักคือความมั่นคงหนักแน่น หวังหลินไม่ได้รีบ
เวลาเคลื่อนผ่านไป หวังหลินเสียสัมผัสเรื่องเวลาในสถานที่แห่งนี้ไปเรียบร้อย ครั้งทุกครั้งที่เขาออกมาจากรังไหม วิญญาณของเขาจะอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวายโดยไม่รู้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะคืนสติ