Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 201

Cover Renegade Immortal 1

201. สองร้อยปี

หวังหลินเคลื่อนไหวในทันที ขณะเดียวกันที่สองร่างโคลนเริ่มใช้สมบัติวิเศษของตนเองแต่หวังหลินได้มาถึงเบื้องหน้าพวกมันแล้ว ชั่วขณะฝ่ามือได้สร้างผนึกจากความทรงจำของเทพโบราณพลันตะโกนขึ้น “ทะลาย!”

ทันใดนั้นพลังแข็งแกร่งออกมาจากผนึกที่หวังหลินสร้างมากับมือ ภายใต้ความกดดันนั้นสมบัติวิเศษของทั้งสองร่างพยายามกระตุ้นใช้งานให้หยุดไว้เพียงเสี้ยววิ

ไม่นานหลังจากนั้นร่างหวังหลินพุ่งราวอุกกาบาตตรงเข้าหาสองร่างโคลน ใบหน้าพวกมันไม่ได้เปลี่ยนไปและเริ่มกระตุ้นวิชาเดียวกัน

หวังหลินกระแทกหนึ่งในร่างโคลนโดยไม่ลังเล เมื่อปะทะกันร่างโคลนพลันแตกสลายกลายเป็นฝุ่นทันที ร่างโคลนที่หวังหลินเล็งไว้คือคนที่ถือคัมภีร์

จากมุมมองของเขา คัมภีร์มีความลึกลับอย่างมาก เขาไม่ต้องการให้โอกาสร่างโคลนใช้มันและอาจเกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น

อีกร่างหนึ่งควบคุมกระบี่ดำและโ๗มตีหวังหลิน

ขณะที่กระบี่เหินเข้ามาหาเขา หวังหลินหยุดกึกและเคลื่อนฝ่ามือขวาเป็นวงกลมพลันปรากฎวงกลมมายาขึ้นหนึ่งวง

กฎเกณ์ขยายตัวออกอย่างรวดเร็วและประจันระหว่างหวังหลินกับกระบี่เหิน

ไม่นานนักหวังหลินพุ่งเข้าหาอีกร่างโคลนหนึ่ง มันตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งผิดพลาดและหนีอย่างรวดเร็ว หวังหลินเริ่มไล่ล่าร่างโคลนไป

อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าร่างโคลนไม่สามารถเลียนแบบพลังที่หวังหลินได้รับมาจากการปรับโครงสร้างร่างการจากมรดกของเทพโบราณ ดังนั้นไม่ว่าจะความเร็วหรือพลังกายภาพ ร่างโคลนไม่อาจเปรียบหวังหลินได้

เป็นผลให้หลังจากผ่านไปครู่เดียว ร่างโคลนถูกหวังหลินกระแทกและสลายไป

หวังหลินไม่ได้หยุด หลังตรวจสอบร่างกายและขอบเขตจวี่ เขาไม่ต้องการเสียเวลาที่นี่และพุ่งออกไปราวกับสายฟ้า

หวังหลินเคลื่อนที่เหาะเหินผ่านไปเหลืออีกเจ็ดสิบไมล์ เสียงระเบิดตัดอากาศดังขึ้นได้ยินขณะที่เขาเหาะเหิน ในเวลาเดียวกันร่างโคลนปรากฎขึ้นอีกเบื้องหน้าเขา ทว่าพวกมันถูกชนกับร่างหายเขาไปทั้งหมด หากไปไม่ไกลก็ถูกสายฟ้าขอบเขตจวี่ทำลาย

ไม่มีค่างโคลนตัวไหนทำให้หวังหลินลดความเร็วลงได้แม้เพียงเล็กน้อย หลังผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ หวังหลินจึงออกมาจากวงแหวนดาราล่มสลายได้

สำหรับคนอื่น พื้นที่วงแหวนดาราล่มสลายอาจจะมีพลังจำนวนมาก แต่สำหรับหวังหลินแล้วหากที่แห่งนี้ไม่สามารถลอกเลียนขอบเขตจวี่หรือความแข็งแกร่งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างร่างกายได้ เมื่อนั้นมันก็ไม่มีพลังพอที่จะต่อต้านเขา

วงแหวนนี้ถูกสร้างจากวิชาอวตารสวรรค์ แต่ขอบเขตจวี่ของหวังหลินเป็นการคงอยู่ที่ฝืนกฎสวรรค์ดังนั้นหากวิชาสวรรค์ไม่สามารถลอกเลียนไดเมื่อนั้นก็ไร้ประโยชน์

สำหรับร่างกายเทพโบราณแล้วหากวงแหวนี้สามารถลอกเลียนมันได้ เมื่อนั้นเหล่าเทพโบราณจะไม่ใช่สิ่งลึกลับอีกต่อไป คนที่วางค่ายกลนี้ไว้ไม่สามารถเปรียบเทียบกับพลังของเทพโบราณได้ แล้วเช่นไรถึงจะสามารถลอกเลียนได้กัน?

หวังหลินที่มีขอบเขตจวี่และร่างเทพโบราณได้พุ่งออกมาจากวงแหวน เขารู้สึกถึงระลอกคลื่นในใจ เมื่อเขาเข้าไปในดินแดนเทพโบราณเขาเป็นเพียงคนที่อยู่ขั้นแกนพลังปราณเท่านั้น

ตอนนี้ไม่เพียงแต่เขาเรียนรู้กฎเกณ์แลได้รับร่างกายราวกับเทพโบราณ แต่วิญญาณขอบเขตจวี่ของเขายังสร้างแกนพลังด้วย เป็นผลให้แม้หวังหลินจะไม่สามารถเอาชนะเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้ เขามั่นใจว่าจะไม่มีทางตายในการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง

นอกจากนั้นหวังหลินรู้สึกได้ว่าแม้การต่อต้านเซียนขั้นตัดวิญญาณเอง เขายังมีโอกาสชนะ หากใช้บทร่ายลึกลับทั้งหมดพวกนั้นและใช้วิชากับสมบัติวิเศษอย่างถูกต้องเมื่อนั้นเขาสามารถเอาชนะคนที่อยู่ขั้นตัดวิญญาณได้

ก่อนหน้านี้หากเขาพบเจอเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด แม้เขาจะวิ่งหนีก็เหลือเพียงหนทางแห่งความตายเท่านั้น

พลังของเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดหนึ่งคนมาจากร่างกายที่สร้างวิญญาณเซียนขั้นมา พลังปราณในร่างผ่านการเปลี่ยนแปลงมหาศาล เศษพลังปราณเพียงเสี้ยวเดียวสามารถเอาชนะพลังปราณทั้งหมดของเซียนขั้นแกนลมปราณได้อย่างง่ายๆ นอกจากนี้วิชาที่มีจุดเด่นที่สุดของเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดก็คือการใช้การเคลื่อนที่พริบตา

วิชาเคลื่อนที่พริบตาเป็นสิ่งที่ทำให้เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดอยู่จุดสูงสุดของแคว้นเซียนอันดับสาม

นอกจากนี้เหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดสามารถใช้วิชาได้มากกว่าขั้นแกนลมปราณมากมายนัก และแม้กจะใช้วิชาเดียวกัน พลังของเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมีความรุนแรงมากกว่าแสนเท่า

กล่าวได้ว่าในประวัติศาสตร์การฝึกตน มีคนเพียงน้อยนิดที่สามารถเอาชนะขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้ แม้จะมีสมบัติฝืนลิขิตฟ้า เกือบทั้งหมดทำได้เพียงแค่ปกป้องตนเองเท่านั้น

หลังจากนั้นพลังของสมบัติวิเศษจะใกล้เคียงกับระดับฝึกฝนตนของผู้ใช้

ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเป็นเส้นแบ่งในโลกแห่งการฝึกตน มีเพียงการสร้างวิญญาณเซียนเท่านั้นถึงจะนับว่าเป็นเซียนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการสร้างวิญญาณเซียนสำคัญแค่ไหน

ขณะเดียวกันความแตกต่างระหว่างสามขอบเขตมีความกว้างใหญ่มากเช่นกัน แต่ละขั้นมีความแข็งแกร่งอย่างน้อยมากกว่าสิบเท่าจากขั้นก่อนหน้า

ในอีกความหมายหนึ่ง เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายมีความแข็งแกร่งมากกว่าระดับกลางมากกว่าสิบเท่า และแข็งแกร่งมากกว่าระดับต้นหนึ่งร้อยเท่า เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องง่ายเพราะปัจจัยไม่ได้ขึ้นอยู่กับสมบัติวิเศษ

ทั้งหมดนี้เป็นการคาดเดาของหวังหลิน เขาไม่มั่นใจว่าหากเขาเอาชนะเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดขึ้นมาได้จริงๆ เขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ขั้นแกนลมปราณระดับปลาย

นับตั้งแต่ที่วิญญาณขอบเขตจวี่ของเขาเพิ่มขึ้นมหาศาล ร่างกายที่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างจนมีพลังของเทพโบราณและปัจจัยเรื่องสมบัติวิเศษหลายอย่างที่หวังหลินครอบครอง เขาจึงลังเลในความคลุมเครือนี้

หลังหวังหลินทำลายวงแหวนออกมา เขาตัดสินใจไม่ออกไปหาเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเพื่อลองดี ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่โง่เขลาเอามากๆ

หวังหลินจ้องไปที่เฉียนคุนและหยุนเฟย เขาไม่เคยคิดเรื่องเซียนขั้นแกนลมปราณจริงๆ แม้กระทั่งก่อนที่จะเข้าไปในดินแดนเทพโบราณและกระทั่งตอนนี้

เขาไม่ได้มีความสนใจกับปัญหาระหว่างสองคนนี้แต่อย่างใด แต่เขาต้องการใครสักคนตอบคำถามเขา “เมืองที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน?”

ขณะที่หวังหลินเดินออกมา เฉียนคุนเผยใบหน้าแห่งความเคารพแต่จิตใจเครียดหนักมาก เมื่อได้ยินคำถามของหวังหลิน เขาต้องการจะตอบแต่หยุนเฟยชิงตัดหน้า

“ท่านอาวุโส ไม่มีเมืองใดในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้รอบสถานที่แห่งนี้ แต่ว่ามีเมืองหนึ่งห่างออกไปสามหมื่นลี้ทางทิศตะวันตก ชื่อว่า ฉีหลิน” ขณะที่เธอกำลังพูดพลันสะบัดเส้นผมไปหลังใบหูพร้อมกับเผยเสน่ห์ของหญิงสาว

น่าเสียดายที่การกระทำนี้ไม่ได้ทำให้หวังหลินสนใจแต่อย่างใด หลังหยุนเฟยสังเกตว่าสายตาหวังหลินไม่ได้จดจ้องที่เธอจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่ได้ยอมแพ้ โม่หยุนรู้ว่าเธอไม่ได้ดีเลิศแต่เธอมีทักษะเรื่องบนเตียงอย่างดีเยี่ยม ไม่เช่นนั้นผู้อาวุโสของตำหนักวิเศษคงไม่หลงเสน่ห์เธอ เธอลอบขบกรามแน่น ตั้งแต่ที่หวังหลินทำลายวงแหวน เธอยังไม่หยุดพยายามคาดเดาระดับฝึกตนของเขา หากเธอสามารถซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังใครสักคน แม้ตำหนักวิเศษจะไล่ล่าเธอ พวกเขาจะถูกบังคับให้ถอนตัว

เธอเชื่อว่าหากคนผู้นี้ยินดีช่วยเธอ เมื่อนั้นการกวาดล้างตำหนักวิเศษเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ทั้งหมดนี้เพียงจินตนาการของเธอ

หวังหลินไม่อาจทราบว่าเธอกำลังคิดอะไร เขามองตรงไปทางทิศตะวันตกและถามขึ้น “เมืองฉีหลินมีเซียนขั้นตัดวิญญาณไหม?”

“ไม่มีครับท่านอาวุโส ไม่มีเซียนขั้นตัดวิญญาณในเมืองฉีหลิน ความจริงในทะลปิศาจแห่งนี้ เมืองโดดเดี่ยวอย่างฉีหลินแม้กระทั่งยอดเมืองทั้งสิบก็ไม่มีเซียนขั้นตัดวิญญาณมากนัก” ตอนนี้เฉียนคุนตอบก่อนหยุนเฟย ก่อนหน้านี้เขาเสียใจที่หยุนเฟยตอบก่อน หากเขาไม่ถูดอะไรเลยและทำให้ผู้อาวุโสโกรธเกรี้ยวขึ้นมา มันจะเป็นเรื่องแย่สำหรับเขา

ดวงตาหวังหลินหวั่นไหว เขาพึมพำ “ไม่มีตัดวิญญาณ…”

“ท่านอาวุโส สองร้อยปีก่อนมีคนบางส่วนรู้กันว่าเหล่าเซียนขั้นตัดวิญญาณในทะลปิศาจหายไปในพื้นที่ดาราล่มสลายดังนั้นจึงไม่มีเหลืออยู่มากนัก” เฉียนคุนรีบตอบ แต่หลังจากพูดจบกลับมีท่าทีเปลี่ยนไป ดวงตาเบิกกว้างขณะที่เขามองหวังหลินที่มีสายตาประหลาดใจ แต่หน้าผากเริ่มผุดเม็ดเหงื่ออย่างรวดเร็วและก้มศีรษะลงต่ำแต่จิตใจยุ่งเหยิงไปเรียบร้อย

สายตาหวังหลินกระพริบวาบ ดวงตาเปลี่ยนเป็นหนาวเน็บ เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนาวเย็นราบกับลมหนาวจากนรก “เหล่าเซียนขั้นตัดวิญญาณคนไหนหายไปในพื้นที่ดาราล่มสลายเมื่อสองร้อยปีก่อน?”

หยุนเฟยเผยใบหน้าประหลาดใจ เธอจดจำได้ถึงคำเล่าลือจากสองร้อยปีก่อน เธอกัดริมฝีปากแน่นและพูดขึ้น “ท่านอาวุโส ผู้น้อยรู้เรื่องบางส่วนที่เกิดขึ้นเมื่อสองร้อยปีก่อน เจ้าชายตำหนักวิเศษราชาพิษเมิ่งฉิงฟ่าน จ้าวเมืองฉีเม่ยตวนมู่จวี่ จ้าวสำนักฉวนเทียนจ้าวปิศาจหกปรารถนา และอสูรชราเทียนโม่ตงฉายาจักรพรรดิโบราณ ทั้งสี่คนพบเจอกันที่นี่และหายไปด้วยกัน ผู้สืบทอดแต่ละคนมาที่นี่เมื่อสองร้อยปีก่อนแต่ไม่พบเบาะแส ”

ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งแต่จิตใจตื่นตะลึง สองร้อยปี ….ไม่คาดคิดว่า เขาอยู่ในดินแดนเทพโบราณมาสองร้อยปีแล้ว

หวังหลินนำความรู้สึกเศร้าเสียใจนี้เก็บไปและวางสายตาบนเฉียนคุน ท่าทางของคนผู้นี้แปลกเล็กน้อยและกล่าวได้ว่าเขามาจากตำหนักวิเศษราชาพิษ ดังนั้นผู้อาวุโสของเขาต้องเป็นเมิ่งหลังค่อม

ภายใต้การจดจ้องของหวังหลิน แข้งขาของเฉียนคุนอ่อนแรงและเขาคุกเข่าบนพื้น พร้อมกับพูดด้วยความหวาดกลัวและเคารพ “ผู้อาวุโส ผู้น้อยคนนี้ไม่รู้อะไรเลยและไม่ได้พูดสิ่งใด ท่านอาวุโสโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version