Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 213

Cover Renegade Immortal 1

213. สหายเก่า

หญิงงามเหล่านั้นมาเร็วและจากไปอย่างรวดเร็วแต่การปรากฎตัวตรึงใจเหล่าชายหนุ่มที่พึ่งเข้าร่วมสำนักยิ่งนัก

มีศิษย์ใหม่จำนวนหกคน นอกจากหญิงสาวที่เดินขึ้นภูเขามาพร้อมกับหวังหลิน คนที่ขมวดคิ้วโดยไม่ชายตามองเมื่อเห็นสตรีสุดดึงดูดใจก็คือหวังหลิน

ในสายตาหวังหลินแม้หญิงสาวเหล่านี้จะสวยสดงดงามเพียงใดและร่างกายมีส่วนเว้าส่วนโค้งดีเยี่ยมแค่ไหนก็ไม่สวยเท่าลี่มู่หวาน และเมื่อเปรียบกับลิ่วเม่ย สำนักซวนต้าว พวกเธอกลับถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเสียอย่างนั้น

ดังนั้นจะจับความสนใจหวังหลินได้อย่างไรเล่า? เขามีหัวใจหนักแน่นไม่ถูกหญิงงามยั่วยุมาเสมอดังนั้นหวังหลินจึงไม่เอะอะและไม่ใช่เรื่องใหญ่

ส่วนหญิงที่เดินมากับหวังหลินนั้น เธอหันไปรอบๆและสายตาตกลงบนตัวหวังหลิน เมื่อเห็นดวงตาเขาสงบนิ่ง นางจึงรู้สึกปลาบปลื้มในใจแม้จะไม่รู้ว่าทำไม

หลังสตรีเหล่านั้นจากไปแล้ว ชายวัยกลางคนกระแอมเล็กน้อย สายตาจดจ้องบนเหล่าชายหนุ่มจากนั้นหันไปที่หญิงสาวและยิ้มขึ้น “หญิงสาวผู้โชคดี เจ้าไม่จำเป็นต้องทำบททดสอบที่สอง ให้เจ้าตามข้ามาเพื่อพบกับจ้าวสำนัก”

เช่นนั้นเขาเหาะเหินตรงเข้าไปลึกขึ้นในสำนักเมฆาฟ้า อสูรวิญญาณค่อยๆปรากฎขึ้นบนพื้น มีทั้งพยัคฆ์ ลิง หมี และสัตว์อื่นๆ ทั้งหมดต่างเป็นสัตว์ป่าแต่ภายในสำนักเมฆาฟ้า สัตว์แต่ละตัวจะมีขนาดใหญ่กว่าและร่างกายเปล่งไปด้วยพลังปราณจำนวนมากซึ่งหมายถึงมีระดับฝึกฝนที่สูง

อสูรวิญญาณทั้งหมดพวกนี้นอนบนพื้นอย่างเงียบเชียบและปีนป่ายอย่างคล่องแคล่ว

ขณะที่พวกเขาเหาะเหินหวังหลินพบว่าสิ่งก่อสร้างได้สร้างเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ที่ใจกลางวงกลมเป็นห้องโถงอันงดงามซึ่งทุกๆที่สามารถเห็นกันได้ทุกคน

โถงกลางแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก แม้จะจุคนเข้าไปหนึ่งพันคนก็ไม่รู้สึกแออัด ในสี่เหลี่ยมเบื้องหน้าโถงหลักมีเตาปรุงยาขนาดใหญ่เจ็ดเตา แต่ละเตากำลังปลดปล่อยควันสีขาวลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับกำลังสื่อสารกับสวรรค์

จากด้านในและด้านนอก โถงหลักได้เปล่งกลิ่นหอมออกมา ในปัจจุบันมีคนหลายสิบคนแบ่งออกมาเป็นสองแถว หลายคนหลับตานั่งสมาธิหรือไม่ก็กำลังพูดคุยกัน

ใจกลางนั้นมีชายชราผมขาวซึ่งสวมชุดคลุมยาวสีเขียวและพาดแขนไว้ด้านหลังพลันยิ้มให้กลุ่มที่กำลังเข้ามาใกล้

ชายวัยกลางคนได้พาหวังหลินและคนอื่นๆร่อนลงอย่างช้าๆและมาถึงใจกลางจัตุรัส เขาวางหวังหลินและชายหนุ่มที่ได้รับเหรียญตราลงจากนั้นพูดกับผู้อาวุโสชุดเขียวอย่างเคารพ “ศิษย์รุ่นที่เก้า โจวหลิน ขอคารวะท่านจ้าวสำนัก การรับสมัครศิษย์ของสำนักเมฆาฟ้าในวันนี้มีคนผ่านทั้งหมดหกคน ในเหล่าหกคนนี้มีสามคนได้รับหินหยก สองคนได้รับเม็ดยา และหนึ่งคนได้รับเหรียญตรา เหล่าศิษย์ได้ส่งสตรีที่ได้รับหินหยกคนแรกขึ้นมาบนภูเขาแล้ว”

หลังจากหวังหลินมาถึง เขาตกตะลึงทันทีพลันก้มศีรษะลงต่ำเพราะคนแก่บริเวณนี้ต่างเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด ไม่สงสัยเลยว่าสำนักเมฆาฟ้าจะเป็นสำนักอันดับหนึ่งในแคว้นซู

ชายชราชุดเขียวยิ้มขึ้น “เจ้าไปได้และเตรียมการทดสอบให้กับสามคนที่ได้รับหินหยก หากพวกเขาผ่านให้กลายเป็นศิษย์สายใน”

ชายวัยกลางคนต้องการจะเอ่ยแต่เขาลังเลเล็กน้อยจากนั้นชี้ไปที่หวังหลินและพูดขึ้น “ท่านจ้าวสำนัก ศิษย์ต้องการับผู้เยาว์คนนี้เป็นศิษย์ของข้า เขาได้รับเม็ดยาธาตุวารีซึ่งเป็นวัตถุดิบที่เหมาะสมสำหรับเม็ดยาที่ศิษย์จำเป็นตอนนี้”

ดวงตาผู้อาวุโสชุดเขียวกวาดผ่านหวังหลินทันที ดวงตาแหลมคมราวกับมีดและชัดเจนว่าเขาสามารถมองผ่านหวังหลินทั้งในและนอกได้

หวังหลินเยาะเย้ยในใจ แม้ว่าระดับฝึกฝนของผู้อาวุโสคนนี้จะมีขั้นวิญญาณแรกกำเนิด ทว่าระดับฝึกฝนของร่างกายเขายังเป็นขั้นรวบรวมลมปราณดังนั้นเขาจึงไม่กลัวเลย แต่ร่างกายสั่นเทาและดวงตาเผยความหวาดกลัวไปเท่านั้น

ในพริบตา ผู้อาวุโสถอนสายตาออก เขายิ้มบางและพูดขึ้น “การได้รับเม็ดยา คนผู้นี้ต้องมีวิชาพิเศษบางอย่าง นับว่าดี เจ้าสามารถนำเขาเป็นศิษย์ของเจ้าได้” เขาไม่กลัวว่าศิษย์คนอื่นในสำนักจะได้มันไปเพราะว่าของในสายหมอกนี้จะเลือกเจ้าของด้วยตัวมันเอง และคนที่มีคุณสมบัติจะถูกเลือกนั้นไม่ได้มีความตั้งใจเลวร้ายต่อสำนัก ทว่าเขาไม่รู้เรื่องที่หวังหลินใช้กฎเกณฑ์โบราณเพื่อนำสิ่งของออกมาด้วยกำลัง

สายตาโจวหลินสว่างขึ้นทันที เขาขอบคุณจ้าวสำนักและชำเลืองไปที่หวังหลินเพื่อส่งสัญญาณให้ติดตามเขาไป

แต่ขณะนั้นเองหญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งที่สองด้านขวาได้ลืมตาขึ้น เขาตรวจสอบในกลุ่มและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าต้องการสาวคนนี้!” หญิงชราชี้นิ้วไปที่หญิงสาวที่มาพร้อมกับหวังหลินพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้อง ร่างนางลอยเข้าหาหญิงชราอย่างไม่ได้ตั้งใจ

หญิงสาวเป็นคนฉลาดยิ่งนัก เธอรีบคุกเข่าลงบนพื้นและเอ่ยขึ้น “ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์”

เมื่อคำพูดนั้นเปล่งออกมา ทุกคนที่นั่งรอบๆต่างเผยใบหน้าประหลาดใจทันที แม้หญิงชรายังตกตะลึง หลังจ้องเธออย่างว่างเปล่าไปชั่วขณะ หญิงชรายิ้มขึ้นและกล่าวว่า “เจ้าเป็นหญิงฉลาดจริงๆ เจ้ารู้ไหมว่าศิษย์ทุกคนที่เข้าสำนักครั้งนี้นับเป็นรุ่นที่สิบ?”

ใบหน้าหญิงสาวเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอเล่นกับชายเสื้อ ไม่รู้จะพูดอย่างไร

หญิงชรามองเธอสองสามครั้งอย่างละเอียดและยิ้มขึ้น “ดี ลุกขึ้นเถอะ แม้ว่าข้าไม่สามารถรับเจ้าเป็นศิษย์ของข้าได้ทันที หากเจ้าสามารถสร้างเม็ดยาอันดับสองได้ภายในสามปี ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์กรณีพิเศษ”

ชายชราชุดเขียวส่ายศีรษะเบาๆ สายตากวาดผ่านทั้งกลุ่มและจดจ้องไปที่ชายหนุ่มถือเหรียญตราด้วยใบหน้าสง่าผ่าเผย เขาขบคิดเล็กน้อยจากนั้นพูดกับโจวหลิน “ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว”

โจวหลินตอบสนองอย่างรวดเร็วและส่งสัญญาณให้หวังหลินติดตามเขาไป

ด้านหลังหวังหลินคือสองผู้เยาว์ที่ได้รับหินหยก ทั้งสองต่างรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไรและติดตามเบื้องหลังหวังหลินอย่างรวดเร็ว ขณะที่จากไปสองผู้เยาว์มองหวังหลินและอีกคนที่ได้รับเป็นศิษย์เรียบร้อยแล้ว จึงช่วยไม่ได้ที่จะมองอย่างอิจฉา

หลังออกจากห้องโถงหลัก โจวหลินหันกลับมาหาทั้งสองคนที่ได้รับหินหยกและพูดอย่างสงบนิ่ง “พวกเจ้าทั้งสองรอที่นี่ ไม่อนุญาตให้ออกไปไหน ข้าจะกลับมาในไม่ช้า” เช่นนั้นเขาจับหวังหลินกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า เปลี่ยนเป็นลำแสงสายรุ้งหลากสีและหายไปไกล

ความเร็วของโจวหลินนับว่าเร็วมาก หลังผ่านไปชั่วครู่หวังหลินถูกพามาที่บ้านหลังหนึ่งบนปลายเทือกเขาเรียบร้อย เขาเปิดลานประตูและภายในลานมีสวนสมุนไพรขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ใจกลางสวนเป็นเตาปรุงยาทองแดงสูงขนาดเท่าคนคนหนึ่ง

“สำนักเมฆาฟ้าของเราไม่ได้มีพิธีรีตองสวยงามอันใด ข้ารับยาของเจ้ามา ดังนั้นตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์ของข้าแล้ว จากบันทึการสมัครของเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าชื่อหวังหลิน หวังหลินข้าไม่เคยรับศิษย์มาก่อน เจ้าเป็นคนแรก ดังนั้นนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าจะอาศัยในบ้านหลังนี้ หลังจากข้าเสร็จธุระเรื่องการรับสมัคร ข้าจะกลับมาสอนเจ้าเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการปรุงยา” โจวหลินอธิบายสิ่งอื่นเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยและจากไป

หลังจากโจวหลินจากไป ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น นับตั้งแต่ตอนนี้เขาเป็นสมาชิกของสำนักเมฆาฟ้าแล้ว เขาสูดหายใจลึกและมองไปรอบๆ สวนแห่งนี้มีดอกไม้และพืชพรรณปลูกไว้หลากหลายทั่วบริเวณ ยิ่งมองพวกมันก็ยิ่งตื่นเต้น

ที่นี่คือสวนสมุนไพรของศิษย์รุ่นที่เก้าและสมุนไพรที่เติบโตที่นี่มีคุณค่าอย่างมหาศาล สมุนไพรทั้งหมดต่างมีการเจริญเติบโตและเงื่อนไขที่ดีเยี่ยม หากนับถึงจำนวนพลังปราณที่พวกมันได้รับ ไม่มีสมุนไพรตัวไหนที่สูญเสียผลกระทบเลย

หลังตรวจสอบทุกอย่างหวังหลินจึงถอนหายใจอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ว่าสำนักเมฆาฟ้านั้นหรูหราและรวยจริงๆ

ใช้หยกเพื่อสร้างหิน ยกคุณภาพอสูรวิญญาณเหมือนโรงเลี้ยงสัตว์ ศิษย์รุ่นที่เก้าเท่านั้นถึงจะมีสวนสมุนไพรเช่นนี้ได้ ทั้งหมดนี้ต่างแสดงให้เห็นว่าสำนักเมฆาฟ้าแข็งแกร่งเช่นไร

ขณะเดียวกันจิตใจหวังหลินสัมผัสแรงกระตุ้นเพื่อขโมยเม็ดยาภายในคลังของสำนักเมฆาฟ้าได้ มันต้องมีเม็ดยาหลากหลายอย่างที่ถูกเก็บไว้ที่นี่ดังนั้นหากเขาสามารถได้มันมาไว้ในมือ เขาจะไม่เสียเวลานานจนกว่าจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณ

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจ เขาโยนมันไว้อีกด้านหนึ่งเพราะมันเป็นไปไม่ได้เว้นแต่ว่าร่างหลักจะบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด เช่นนั้นจะไม่ถือว่าเป็นไปไม่ได้

หลังขบคิดเล็กน้อยหวังหลินเก็บความคิดที่ไม่สมจริงทิ้งไป นอกจากนั้นร่างอวตารของเขาเป็นเพียงขั้นรวบรวมลมปราณระดับสามเท่านั้น

สวนสมุนไพรไม่ได้ใหญ่มาก ด้านหลังเป็นบ้านหลายหลังเรียงกันหนึ่งแถว นอกจากบ้านหลังแรกที่มีกฎเกณฑ์ป้องกันเอาไว้ ไม่มีบ้านหลังอื่นที่มีกฎเกณฑ์ป้องกันอันใด

หวังหลินเลือกบ้านหลังสุดท้าย เขาเดินเข้าไปข้างในและกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องพักมีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกวันมิหนำซ้ำยังมีเตาปรุงยาขนาดเล็กใจกลางห้องด้วย

แม้ว่าหวังหลินจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยา เขายังรู้อะไรบางอย่าง เตาปรุงยาที่อยู่ในโถงหลักพวกนั้นคือสมบัติระดับตำนาน

แม้แต่เตาปรุงยาขนาดเล็กใจกลางสวนสมุนไพรยังนับว่าเป็นสมบัติหายาก หากอยู่ในทะเลปิศาจราคาในการสร้างมาสักชิ้นคงไม่อาจจินตนาการได้

และในท้ายสุด เตาปรุงยาขนาดเล็กในห้องทำให้เขาตกตะลึงอย่างมาก เตาปรุงยานี้ไม่ได้ด้อยกว่าที่เขาให้ลี่มู่หวานเมื่อก่อนเลย นั่นหมายความว่าเตาปรุงยานี้คุ้มค่าเท่าหนังมังกรทั้งผืน

กล่าวได้ว่ามีสวนหลายแห่งเหมือนกันนี้ในสำนักเมฆาฟ้า และแต่ละสวนมีห้องหลายห้องซึ่งแต่ละห้องมีเตาปรุงยาแบบนี้ นำมารวมกันนั่นหมายความว่ามีเตาปรุงยาแบบนี้จำนวนมากมาย

เป็นเรื่องง่ายว่าเตาปรุงยากพวกนี้ไม่ได้มีคุณค่ามากนักในสำนักเมฆาฟ้า

เพื่อยืนยันการคาดเดาของเขา จึงออกไปตรวจสอบห้องอื่นๆทั้งหมด หวังหลินยืนยันได้ว่าภายในห้องแต่ละห้องมีเตาปรุงยาที่คล้ายคลึงกันนี้หนึ่งเตา

ทุกสิ่งที่เขาเห็นตั้งแต่เข้าสำนักเมฆาฟ้ามาได้แสดงให้เห็นว่าสำนักมีพลังแข็งแกร่งแค่ไหน หวังหลินสูดหายใจลึกและหวาดกลัวพลังอำนาจและความร่ำรวยที่สำนักมี

หวังหลังครุ่นคิดชั่วขณะ เขาส่งกฎเณฑ์หนึ่งออกมาวางบนประตูจากนั้นนั่งลงขัดสมาธิและเริ่มฝึกฝน

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนตกกลางคืน หวังหลินสัมผัสได้ถึงพลังปราณผันผวนพิเศษจากกฎเกณฑ์ที่ได้วางเอาไว้

เขาได้รู้ได้ว่านั่นเพราะโจวหลินกลับมาแล้ว โจวหลินคนนี้มีระดับเพียงขั้นแกนลมปราณระดับต้นดังนั้นจึงไม่สามารถมองผ่านค่ายกลของหวังหลินได้

สำนักเมฆาฟ้าได้แบ่งออกเป็นกิจการภายนอกและภายใน กิจการภายในรับผิดชอบด้านการปรุงยาและกิจการภายนอกรับผิดชอบด้านการปกป้องสำนัก เพราะโจวหลินเป็นศิษย์สำนักภายใน งานหลักของเขาคือการสร้างเม็ดยา

“ออกมาพบข้า!” น้ำเสียงโจวหลินลอยออกมาจากข้างนอก หวังหลินลืมตาขึ้นและเดินออกมาจากห้อง แม้ว่ามันจะเป็นเวลาพลบค่ำ ด้วยแสงของดวงจันทร์ ทุกสิ่งสำหรับเซียนจึงชัดเจนเหมือนตอนกลางวัน

โจวหลินยืนในสวน เมื่อหวังหลินเดินออกมาเขาโยนหินหยกไปให้หวังหลินและกล่าวขึ้น “อาจารย์ของเจ้าจะเข้าไปปิดด่านฝึกตนเพื่อดูดซับเม็ดยาธาตุวารี หากใช้เวลาไม่นานคงไม่กี่เดือนแต่หากใช้เวลาสองสามปี ดังนั้นข้าคงไม่มีเวลามาสอนเจ้าเรื่องการปรุงยา”

“หายในหินหยกนี้คือประสบการณ์ของข้าหลายปีและมีสูตรยาบางส่วน เจ้าควรจะเรียนรู้มันอันดับแรกด้วยตัวเอง หากเจ้ามีปัญหาอะไรให้ไปที่สวนทิศใต้ ในสวนแห่งที่สาม เจ้าจะพบกับอาจารย์ของอาจารย์ข้า ข้าได้บอกนางเอาไว้แล้วว่าข้ารับเจ้าเป็นศิษย์”

หวังหลินรับหินหยก เขาวางมันบนหน้าผากและตรวจสอบหินหยกจากนั้นตกตะลึงทันที เขาไม่คิดว่าโจวหลินจะให้เศษหยกเขาเรื่องนี้ ภายในหยกมีประสบการณ์การปรุงยาของโจวหลินบนเส้นทางศาสตร์การปรุงยาโดยเฉพาะการล้มเหลวและสิ่งที่ทำให้คุณภาพเม็ดยาตกลงไป

หยกนี้บรรจุข้อมูลอย่างละเอียดยิบบ่อย กล่าวได้ว่ามันมันมีค่าอย่างมากกับหวังหลินตอนนี้

เขาและโจวหลินพึ่งเจอหน้ากันดังนั้นจึงไม่เคยคิดเลยว่าอาจารย์ใหม่ของเขาจะให้หินหยกชิ้นนี้มา ความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ที่เขามีกับซุนต้าซื่อได้มีความแตกต่างมหาศาลเกินไป หวังหลินสัมผัสได้ถึงอารมณ์ซับซ้อนขณะที่กำลังถือหินหยก

โจวหลินไม่รู้ว่าหวังหลินกำลังคิดอะไร เขาขบคิดชั่วขณะจากนั้นพูดต่อ “อาจารย์ของอาจารย์เป็นคนอ่อนโยนมาก ดังนั้นนางจะสอนพื้นฐานการปรุงยาให้เจ้าทั้งหมด เจ้าใช้สมุนไพรในสวนได้อย่างอิสระแต่จำไว้ว่าห้ามถอนรากมันออกเพื่อให้มันเติบโตต่อไปได้ ส่วนเตาปรุงยานั้นจงอย่าสัมผัสมัน การไม่มีระดับปรุงยาถึงจุดหนึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้”

หวังหลินสูดหายใจลึกและพยักหน้า

โจวหลินขบคิดชั่วขณะจากนั้นถอนหายใจ “ความจริงข้าควรจะสอนพื้นฐานการปรุงยาบางอย่างให้กับเจ้าก่อนจะปิดประตูฝึกฝน แต่หากข้ารอนานไปกว่านั้นผลลัพธ์เม็ดยาธาตุวารีจะตกลง เมื่อข้าออกมาจากการปิดด่านฝึกตน ข้าจะสร้างชุดเม็ดยารากฐานที่แข็งแกร่งให้เป็นค่าตอบแทน” จากนั้นเขามองหวังหลิน “ข้าปิดด่านฝึกฝนในภูเขาด้านหลัง เจ้าสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ตลอด ห้องของข้าป้องกันไว้โดยกฎเกณฑ์หนึ่งอย่างดังนั้นจงอย่าสัมผัสมัน”

หลังโจวหลินพูดจบ เขานำเสื้อผ้าหนึ่งชุด เข็มกลัดและกระเป๋าวางไว้ด้านข้าง เขาขบคิดเล็กน้อยจากนั้นนำขวดสีขาวออกมาและกล่าวขึ้น “สิ่งพวกนี้คือของที่ศิษย์รุ่นที่สิบจะได้รับ ส่วนขวดนี้มีเม็ดยาสามเม็ด ให้กินสองเม็ดและใช้เม็ดสุดท้ายเพื่อศึกษาเรียนรู้”

จากนั้นร่างโจวหลินเปลี่ยนเป็นสายรุ้งหลากสีและจากลานสมุนไพรออกไป

หวังหลินยืนเงียบๆอยู่ชั่วขณะ เขาหยิบเสื้อผ้าและเม็ดยาขึ้นมาจากนั้นกลับไปที่ห้องของตัวเอง

การกระทำของโจวหลินทำให้หวังหลินรู้สึกประหลาดมาก วิธีที่เขาดูแลหวังหลินเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิต หลังผ่านไปเวลานานหวังหลินเปิดขวดออก กลิ่นหอมลอยแตะเข้าจมูก

ภายในขวดมีเม็ดยาสีเหลืองสดใสอยู่สามเม็ด แต่ละเม็ดมีขนาดเท่าผลลิ้นจี่ หวังหลินหยิบขึ้นมาหนึ่ง หลังจากมองมันชั่วขณะ เขาไม่ได้กลืนกินมันแต่นำอสูรตัวเล็กออกมาจากกระเป๋า ขณะที่มันปรากฎตัวมันกระพือปีกและส่งเสียงคำราม

หวังหลินพลิกนิ้วและเม็ดยาเข้าไปในปากอสูร ดวงตาเขาเคร่งขรึมขณะที่สังเกตมัน

หลังผ่านไปนาน ไม่เพียงแต่เจ้าอสูรไม่แสดงปฏิกิริยาลบใดๆ มันกลับมีชีวิตชีวาขึ้นแทน แม้แต่ศีรษะก็ดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นเล็กน้อย

หวังหลินสังเกตจากนั้นสะบัดแขนและอสูรตัวเล็กกลับเข้ากระเป๋า

เขาตั้งใจว่าจะสังเกตมันอยู่หลายวัน หากอสูรตัวเล็กไม่แสดงอาการทางลบใดๆ เมื่อนั้นเขาจะกินเม็ดยา

หวังหลินฝึกฝนอย่างเงียบๆตลอดคืน

เขาตื่นจากการฝึกฝนในตอนเช้า หวังหลินพบว่าพลังปราณในร่างเพิ่มขึ้นมามหาศาล สำนักเมฆาฟ้ามีพลังปราณอยู่หนาแน่นมากดังนั้นการฝึกฝนหนึ่งคืนจึงมีประสิทธิภาพอย่างมาก

หวังหลินยืนขึ้นและสวมใส่ชุดศิษย์สำนักเมฆาฟ้า มันเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวปักด้วยเตาปรุงยาสีแดงบนข้อมือ เขานำเข็มกลัดยืนยันคนและขวดสีขาวเก็บไป จากนั้นตบกระเป๋าและของอีกชิ้นปรากฎขึ้นบนฝ่ามือ แม้ว่าขวดสีขาวนี้เหมือนกับอันก่อน แต่ของข้างในมีมูลค่ามากกว่าเม็ดยาพวกนั้นหลายเท่า

หลังจากหวังหลินดื่มน้ำพลังปราณ เขานั่งลงและเริ่มฝึกฝน ทั้งสองมือเคลื่อนไหวสร้างเป็นวงกลมมายาเบื้องหน้า น้ำพลังปราณเปลี่ยนเป็นพลังปราณเข้าสู่ร่างกายและเดินทางผ่านเข้าสู่ฝ่ามืออย่างรวดเร็ว

ฝ่ามือหวังหลินจึงค่อยๆเร็วขึ้นและเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนคิ้ว จากนั้นร้องคำรามทันที “ไป!”

ทันใดนั้นวงกลมมายาทั้งหมดที่ถูกฝ่ามือของเขาสร้างขึ้นได้ก่อร่างเป็นกฎเกณฑ์วงกลมชิ้นหนึ่งและร่อนลงบนพื้น

รัศมีวงกลมปรากฎบนพื้นดินและเริ่มกระพริบ

หวังหลินปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก ด้วยระดับฝึกฝนของร่างอวตาร เขาสามารถสร้างกฎเกณฑ์ได้หนึ่งอย่าง แต่การสร้างกฎเกณฑ์วงกลมนั้นเขาจำเป็นต้องมีตัวช่วยจากน้ำพลังปราณและนั่นเป็นการแบกภาระร่างกายอย่างหนัก

หลังวงกลมกฎเกณฑ์วางไว้บนพื้น เสี้ยวความหนาวเย็นรั่วไหลออกจากวงกลม หลังจากนั้นชั่วขณะร่างหลักหวังหลินจึงปรากฎผ่านวงกลมมาได้

หลังจากวงกลมได้ถูกทดสอบแล้ว ร่างหลักของหวังหลินจึงจมกลับเข้าไปในวงกลม

ยามที่เขาปิดด่านฝึกตนและสร้างร่างอวตารร่างนี้ เขาได้พิจารณาไว้แล้วว่าหากร่างอวาตารนี้อยู่ข้างนอกด้วยตัวเอง มันอาจจะเผชิญอันตรายได้ ด้วยการใช้ความทรงจำของเทพโบราณพร้อมกับหินน้ำหมึกสองก้อน จึงสร้างกฎเกณฑ์ที่สามารถเคลื่อนย้ายร่างหลักได้ตราบใดที่เขาถือหินน้ำหมึกไว้

แต่ก่อนที่ระดับฝึกฝนจะถึงจุดหนึ่ง เขาจะใช้เวลาชั่วขณะเพื่อสร้างกฎเกณฑ์วงกลมไว้ก่อน

สองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วและโจวหลินยังไม่กลับมา ลานที่หวังหลินอาศัยอยู่ได้เปล่าเปลี่ยวอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครมาหา หวังหลินอ่านทุกสิ่งในหินหยกที่โจวหลินทิ้งไว้ให้อย่างละเอียด ข้อมูลในหินหยกมีรายละเอียดมากและหลังจากเขาอ่านจบ หวังหลินยืนยันได้ว่าโจวหลินไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเนื้อหาภายในหินหยก

ขณะที่เจ้าอสูรซึ่งกินเม็ดยามัน มันแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าตัวที่เหลืออย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งพลังปราณก็มีความแข็งแกร่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าเม็ดยาไม่มีผลลัพธ์อันตรายอย่างใด

ทำให้จิตใจหวังหลินสับสนอย่างยิ่ง เขายืนยันได้ว่าโจวหลินนับหวังหลินเป็นศิษย์โดยแท้จริง

ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์นี้สร้างขึ้นภายใต้ข้ออ้างที่ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ หวังหลินไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องแต่ความรู้สึกนี้เป็นบางสิ่งที่หวังหลินไม่เคยสัมผัสมาก่อน

ในช่วงเวลาสองเดือนการฝึกฝนของหวังหลินก้าวจากระดับสามไปเป็นระดับแปด นอกจากน้ำพลังปราณแล้วศาสตร์การปรุงยาก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หวังหลินเพิ่มระดับฝึกตนได้รวดเร็ว

เดิมทีเขามที่นี่สำนักเมฆาฟ้าแห่งนี้เพื่อเอาเม็ดยาแต่ตอนนี้เขามีวิธีปรุงยาและวัตถุดิบจากสวน หวังหลินใช้เวลามากขึ้นเพื่อปรุงเม็ดยาให้ตัวเอง

เส้นทางแห่งการปรุงยานั้นยาวไกลนัก นอกจากต้องการพรสวรรค์จำนวนมาก สิ่งสำคัญที่สุดก็คือตรากตรำทำงานหนัก เส้นทางการปรุงยามีความยากมากกว่าการฝึกฝนหลายเท่านัก

เมื่อคนผู้หนึ่งเริ่มฝึกการปรุงยา โอกาสล้มเหลวนับว่าสูงยิ่ง หวังหลินพยายามปรุงยาหลายครั้งนับไม่ถ้วนระหว่างสองเดือนนี้และสามารถสำเร็จเพียงสองสามครั้ง

ครั้งหนึ่งเขาใช้สมุนไพรไปจำนวนมากเพื่อบังคับสร้างชุดเม็ดยาช่วยฝึกฝนเจ็ดเม็ด ด้วยเม็ดยาเหล่านั้น น้ำพลังปราณและลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า เขาจึงสามารถกระโดดจากระดับสามไปเป็นระดับแปดได้ภายในสองเดือน

วันหนึ่งเสียงดังขึ้นให้ได้ยินจากลานที่หวังหลินพักอยู่ คลื่นแสงราวกับระลอกน้ำลอยข้ามผ่านลานกว้างจากนั้นทุกสิ่งกลับเป็นปกติ

หวังหลินเดินออกจากห้องที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่น เขายิ้มแหยๆ การปรุงยาครั้งล่าสุดล้มเหลวอีกครั้ง

เวลานี้เขาไม่สามารถควบคุมความแข็งแกร่งของอัคีได้ดังนั้นมันจึงทำให้เตาปรุงยาเสียหายและวัตถุดิบปรุงยาทั้งหมดเสียเปล่า

เป็นเรื่องดีที่สำนักเมฆาฟ้าไม่ใช่ตระหนี่โดยเฉพาะเตาปรุงยา ในสองเดือนหวังหลินได้ทำเตาปรุงยาเสียไปแล้วสี่เตาจากทั้งหมดเจ็ดเตา ตอนนี้เหลือเพียงสาม

หวังหลินเดินออกจากลานบ้านด้วยใบหน้าครุ่นคิด ทุกห้องถูกเปลี่ยนไปเป็นไฟไหม้ ไฟถูกควบคุมด้วยพลังปราณ ความแข็งแกร่งของพลังปราณไม่สำคัญแต่มันขึ้นอยู่กับการควบคุมจุดเล็กๆอย่างคงที่

ใช้พลังปราณของตัวเองเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างอัคคีและเตาปรุงยาซึ่งจำเป็นต้องมีความสามารถในการรักษาความเสถียรของเปลวไฟได้ หากไม่สามารถรักษาความเสถียรของเปลวไฟไว้ได้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเตาหลอม

เมื่อระดับความเสถียรเปลี่ยนไป การปรุงยาถือว่าล้มเหลวและหากมากเกินไปเตาปรุงยาจะพังเสียหาย

สิ่งนี้คือด่านที่ยากที่สุดสำหรับนักปรุงยาเริ่มต้น ทว่าหากบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเมื่อนั้นสามารถใช้ไฟวิญญาณของตัวเองได้และไม่จำเป็นต้องมีความต้องการแบบนี้

นอกจากการควบคุมไฟแล้ว ความเข้าใจและความสัมพันธ์ของวัตถุดิบก็เป็นสิ่งสำคัญ เพียงแค่มีสูตรยายังนับว่าไม่เพียงพอ ศาสตร์การปรุงยาไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้

เป็นไปไม่ได้ที่คนหนึ่งร้อยคนจะสร้างเม็ดยาเหมือนกันหนึ่งร้อยเม็ดแม้จะมีสูตรยาเหมือนกัน

ไม่ว่าสูตรยาหนึ่งเม็ดจะมีรายละเอียดอย่างไร มันเป็นแค่แนวทางเท่านั้น ในการฝึกฝนการปรุงยามีตัวแปรนับไม่ถ้วนเช่นจำนวนพลังปราณที่อยู่ในรอบบริเวณ การเปลี่ยนแปลงรอบๆด้าน สิ่งเจือปนของวัตถุดิบ และปฏิกิริยาหลายอย่างระหว่างที่วัตถุดิบแสดงออกมาในกระบวนการปรุงยาซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สูตรยาได้ระบุไว้

หากต้องการกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การปรุงยานับว่ายากมาก

ในสองเดือนที่หวังหลินอยู่สำนักเมฆาฟ้า เขาพบว่าคุณภาพเม็ดยาแบ่งออกเป็นเก้าระดับ เช่นเดียวกับนักปรุงยา อันดับของนักปรุงยาจะบอกถึงระดับยาที่พวกเขาสามารถปรุงขึ้นมาได้

ตอนนี้มีเพียงแค่นักปรุงยาระดับห้าในสำนักเมฆาฟ้าและหนึ่งในนั้นคืออาจารย์ของโจวหลิน

คนผู้นี้เป็นสตรีและไม่ใช่ศิษย์สายตรงของสำนักเมฆาฟ้า นางมาจากแคว้นซวนหวู่ หลังนางเข้าร่วมสำนักเมฆาฟ้าจึงกลายเป็นสมาชิกหลักของสำนักทันที หลังจากนั้นหลายปีจึงได้กลายเป็นผู้อาวุโส

ด้วยเหตุนี้เองแม้โจวหลินจะเป็นเพียงศิษย์รุ่นที่เก้าแต่เขาสามารถจัดการกับการรับสมัครคนได้ ผู้อาวุโสหลายคนพยายามตอบสนองความต้องการของโจวหลิน นอกจากนั้นแม้พวกเขาจะไม่เผชิญกับโจวหลินตรงๆ แต่ก็ต้องเผชิญกับอาจารย์ของเขา

หวังหลินเดินรอบๆลานบ้านพลันคิดเรื่องทำไมเขาถึงล้มเหลว ตลอดกระบวนการเขาอย่างดีแต่ในจังหวะสุดท้ายเปลวไฟหลุดจากการควบคุมและทำให้ทุกอย่างพังทลาย

หวังหลินคิด “หรือมันเป็นไปได้ว่าทุกครั้งการปรุงเม็ดยาจนใกล้จะสำเร็จ เปลวไฟจะเพิ่มขึ้นและหลุดจากการควบคุม?” แต่ในไม่ช้าเขาจำได้ว่าในสองเดือนที่ผ่านมาปรุงสำเร็จอยู่ครั้งหนึ่งและมันไม่ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น

หลังขบคิดเล็กน้อย หวังหลินรวบรวมวัตถุดิบเม็ดยาและเริ่มปรุงอีกครั้ง

ครั้งนี้เขากำลังจะสำเร็จ ทันใดนั้นเปลวไฟเพิ่มขึ้นและหลุดออกจากการควบคุม ไม่ว่าเขาพยายามแค่ไหนเปลวไฟยังคงกระจายออกจากนั้น ปัง! เตาปรุงยาระเบิดอีกครั้ง

หวังหลินมองไปที่เตาปรุงยาที่มีวัตถุดิบหมดคุณค่าอยู่ภายในด้วยใบหน้ามืดขรึม

เขาครุ่นคิดชั่วขณะจากนั้นพยายามอีกสองครั้ง ทว่าทั้งสองเตาปรุงยาระเบิดออก ดังนั้นในสองเดือนนี้เตาปรุงยาทั้งเจ็ดเตาแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั้งหมด

หวังหลินยิ้มอย่างบูดบึ้ง เขาถอนหายใจและคิดขึ้น ‘หากแค่ปรุงยาล้มเหลวมันคงจะดีเพราะข้าจะสามารถพยายามจนกว่าจะสำเร็จได้เสมอ แต่ตอนนี้เตาปรุงยาแตกเสียหายไปหมดแล้ว’ หากสถานการณ์เช่นนี้ไม่ถูกแก้ไขโดยด่วน หวังหลินกลัวว่าเขาอาจจะเป็นคนแรกที่ถูกเตะออกจากสำนักเพราะทำเตาปรุงยาแตกเยอะเกินไป

นอกจากนั้นหวังหลินรู้มูลค่าของเตาปรุงยาชิ้นหนึ่งเป็นอย่างดี ทุกครั้งที่เตาปรุงยาเสียหาย หัวใจเขาจะเจ็บปวด

ขณะเดียวกันหวังหลินจำได้ว่ามีนักปรุงยาหลายคน จำนวนของปรุงปรุงยาชั้นยอดมีน้อยมาก นอกจากนั้นนักปรุงยาถือได้ว่าเป็นคนที่มีค่าใช้จ่ายการฝึกฝนแพงที่สุด

การเป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยาต้องใช้วัตถุดิบและเตาปรุงยาจำนวนมหาศาล

ซึ่งทำให้สำนักธรรมดาไม่สามารถยังชีพปรมาจารย์ปรุงยาได้ มีเพียงสำนักเช่นเมฆาฟ้าเท่านั้นที่พยายามเอาใจใส่นักปรุงยาหลายคน

หวังหลินยิ้มอย่างบูดบึ้งขณะทำความสะอาดเตาปรุงยาที่แตกกระจายพร้อมกับเดินออกจากลานบ้าน

เตาปรุงยาทั้งหมดไม่มีแล้ว เขาจำเป็นต้องได้รับมาเพิ่มก่อนจะฝึกฝนการปรุงยาต่อไป ทว่าโจวหลินยังไม่กลับมาดังนั้นหวังหลินต้องออกไปหาอาจารย์ของโจวหลิน

นอกจากนี้เขาวางแผนจะถามเรื่องเกี่ยวกับทำไมเตาปรุงยาได้ถึงระเบิดขณะที่เขากำลังปรุงยา หวังหลินต้องแก้ไขปัญหานี้ก่อนจะเรียนรู้การปรุงยาต่อไป

สำนักเมฆาฟ้าแบ่งออกเป็น ภาคเหนือ ใต้ ตะวันออกและตวันตก สร้างเป็นวงกลมที่มีโถงหลักอยู่ตรงกลาง

หวังหลินผ่านสำนักเมฆาฟ้าพร้อมกับติดเครื่องหมายไว้ที่เอวตัวเอง แม้เขาจะเดินผ่านคนอื่นแต่กลับไม่มีใครพูดคุยกับเขาและทำเพียงพยักหน้าให้ขณะทักทาย

ขณะที่หวังหลินเดินไป เสียงกระเรียนดังออกมาจากพื้นที่ห่างไกลตามมาด้วยกระเรียนสีขาว เมื่อผ่านเหนือหวังหลินไปเสียงหัวเราะดังออกมาจากฝูงกระเรียนจากนั้นเสียงคมชัดดังขึ้น “โอ้ นั่นเจ้านี่นา”

หวังหลินเงยศีรษะขึ้นและเห็นผู้หญิงน่ารำคาญที่เดินขึ้นภูเขามาพร้อมกัน ศีรษะของนางโผล่ออกมาจากกระเรียนพร้อมกับใบหน้าภาคภูมิใจ ก่อนที่เธอจะได้ทันเอ่ยอะไร น้ำเสียงฟังชัดดังออกมาจากด้านข้าง “แม่นางน้อย หากเจ้าช้ากว่านี้ เจ้าจะสายอีกครั้งและอาจารย์จะให้เจ้าขัดถูเตาปรุงยาอีก”

หญิงสาวบุ้ยปาก เธอมองหวังหลินอีกครั้งและบินไปไกล

หวังหลินถอนสายตา ขณะที่กำลังจะก้าวต่อไป แสงเยือกเย็นพลันข้ามผ่านสายตา เขาหันศีรษะและมองไปด้านหลังเห็นแต่เพียงชายหนุ่มใบหน้าดูเจ้าเล่ห์พร้อมกับร่างอีกครึ่งซ่อนอยู่หลังต้นไม้ เขามองตรงไปที่ฝูงกระเรียนด้วยแววตาหลงไหล จากนั้นสูดหายใจลึกและพึมพำ “สตรีกลุ่มนั้นยิ่งเหมือนกันนางฟ้า โดยเฉพาะสตรีคนใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมไป”

เขาสังเกตการจ้องของหวังหลินได้และเผยรอยยิ้มซุกซน พลันกระโดดจากต้นไม้และพยายามตบไหล่หวังหลินเบาๆแต่หวังหลินก้าวถอยหลังและหลบไปได้

เขาตกตะลึงแต่ฟื้นคืนมาได้อย่างรวดเร็วและกระซิบอย่างลึกลับ “สหาย เจ้ารู้จักสตรีคนนั้นไหม?”

หวังหลินสงบนิ่งและส่ายศีรษะ

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นและเอ่ยออกมา “น้องชายอย่าใจแคบไปเลยน่า สตรีนางนั้นทำท่าเหมือนนางจะรู้จักเจ้า น้องชายอย่ากังวล ข้าไม่สนใจนางหรอก คนที่ข้าชอบมีเพียงคนเดียวคือพี่สาวที่งดงามสง่า หวังถง เท่านั้น”

หวังหลินมองเขาและเอ่ยขึ้น “ข้าไม่รู้จักนางจริงๆ” ขณะนั้นเขากำลังจะจากไป

ชายหนุ่มรีบไล่ตามและเดินพร้อมกับหวังหลิน “ข้าขอถามน้องชายว่าเจ้าชื่ออะไร? พี่ชายอยู่ที่นี่เป็นศิษย์ของลานกว้างทิศใต้ มองจากทิศทางที่เจ้ากำลังจะไปแล้ว เจ้ากำลังไปลานกว้างทิศใต้หรือ?”

หวังหลินมองชายคนนั้น เขาเผยรอยยิ้มเบาบางและเอ่ยขึ้น “ข้าหวังหลิน”

ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มซุกซนและกล่าวขึ้น “พี่ชายนามว่าเฉิงเซียน งั้นเจ้ากำลังจะไปลานกว้างทิศใต้หรือ?”

หวังหลินพยักหน้า

“ลานกว้างทั้งสี่ของสำนักเมฆาฟ้าแบ่งออกจากกันอย่างชัดเจน น้องหวังหากเจ้าต้องการจะเข้าลานกว้างทิศใต้มันอาจจะยากมากไปหน่อย ข้าคิดว่าไปลานทิศตะวันตกทุกวันจะง่ายกว่า เจ้าควรจะรู้ไว้มีหญิงงามอุดมสมบูรณ์เหมือนก้อนเมฆที่นั่น หากข้าได้มาสักหนึ่งหรือสองคนเพื่อเป็นคู่ฝึกฝน เช่นนั้นข้าไม่ต้องคิดเรื่องการฝึกเซียนอีกเลย” เฉิงเซียนหยุดพูดแฝงไปด้วยความเสียใจจากนั้นเล่าต่อ “งั้นเจ้าจะไปลานกว้างทิศใต้ทำไมกัน? ข้าอาจจะช่วยได้”

หลังจากหวังหลินได้ยินความฝันของเฉิงเซียน เขาหัวเราะและเอ่ยขึ้น “นั่นไม่จำเป็น ข้าไม่คิดว่าการเดินทางในลานกว้างของข้าจะถูกหยุดลงหรอก”

เฉิงเซียนตกตะลึง เขามองหวังหลินเล็กน้อยพลันตบหน้าผากทันทีและเอ่ยขึ้น “เจ้านามสกุลหวัง และชื่อว่าหวังหลิน ข้าจำเจ้าได้แล้ว เจ้าเป็นคนที่อาจารย์ลุงโจวหลินรับเป็นศิษย์ เจ้า…เจ้าโชคดีเหลือเกิน เจ้ารู้ไหมว่ามีกี่คนที่ต้องการเป็นศิษย์เขา?”

หวังหลินเผยใบหน้าประหลาดใจและถามขึ้น “ทำไมกัน? วิชาการปรุงยาของอาจารย์สูงส่งหรือ?”

เฉิงเซียนมีความชมเชยในแววตาและกล่าวขึ้น “แม้ว่าวิชาการปรุงยาของเขาไม่ได้ต่ำไม่ได้สูงเท่าไหร่ เขาสามารถปรุงยาได้ถึงระดับสามซึ่งนับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าสามารถปรุงได้ถึงระดับสองแล้ว ข้าเชื่อว่าข้าจะสามารถปรุงยาได้ถึงระดับสามในไม่ช้านี้”

หวังหลินพยักหน้า เขาเดินไปข้างหน้าลานทิศใต้ขณะฟังเฉิงเซียนพูดไปด้วย

แต่เฉิงเซียนหยุดพูด เขาเผยใบหน้าซุกซนและรอยยิ้ม “น้องชาย ข้าจะบอกเจ้าก็ได้แต่เจ้าต้องสัญญาก่อนว่าจะพาข้าไปลานกว้างทิศตะวันตกสักครั้ง ว่าอย่างไร?”

ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งและเอ่ยขึ้น “หากท่านไม่ต้องการจะพูด นั่นก็ดี”

เมื่อเฉิงเซียนเห็นหวังหลินไม่คล้อยตาม จึงรีบพูด “ดูพี่หวังสิ ตอนนี้ข้าจะเรียกท่านว่าพี่ สิ่งที่ท่านทำทั้งหมดก็แค่พูดไม่กี่คำและข้าจะพาเข้าไปลานทิศใต้ นั่นนับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย”

หวังหลินหันศีรษะและพูดกับเขา “ท่านต้องการให้ข้าเข้าไปถามหาหญิงคนนั้น จากนั้นท่านจะใช้เรื่องนั้นขอโทษเพื่อพบกับหวังถงที่เป็นความฝันของท่านงั้นหรือ?”

เฉิงเซียนตกตะลึงแต่รีบยิ้มอย่างรวดเร็ว “ใช่แล้วๆ มันเป็นเรื่องเล็กมาก จะว่าเช่นไรพี่ชาย?”

หวังหลินเอ่ย “ทำไมทุกคนต้องการเป็นศิษย์ของโจวหลิน?”

เฉิงเซียนกล่าวด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ “เพราะว่าโจวหลินเป็นอาจารย์ที่ดี หวังหลินเจ้าต้องรู้ว่าเมื่อพูดถึงสาวงามอันดับหนึ่งในสำนักเมฆาฟ้า นางไม่ได้อยู่ในลานทิศตะวันตกแต่อยู่ในลานทิศใต้ ผู้อาวุโสลี่ของลานทิศใต้ไม่เพียงแต่เป็นสาวงามแต่ยังเป็นหนึ่งในสามนักปรุงยาอันดับห้าในสำนักเมฆาฟ้า เมื่อคิดเรื่องนี้การเป็นศิษย์ของโจวหลินนั่นหมายถึงเจ้าเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสลี่ ไม่เพียงแต่เจ้าได้เห็นนางฟ้า แต่เจ้ายังได้สิทธิ์เข้าถึงเม็ดยาและสูตรยาทุกอย่าง แล้วใครจะไม่ต้องการเช่นนั้นเล่า?”

หวังหลินพึมพำกับตัวเอง “ผู้อาวุโสลี่?”

“พูดกันว่าผู้อาวุโสลี่คนนี้เป็นศิษย์ของสำนักลั่วเหอจากแคว้นฮัวเฝิน…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version