214. ความทุกข์ใจ
ดวงตาหวังหลินเคร่งขรึม ผู้อาวุโสลี่ ศิษย์สำนักลั่วเหอจากแคว้นฮัวเฝิน…สองประโยคผุดขึ้นในใจและชื่อหนึ่งปรากฎในความคิด
“เป็นไปไม่ได้…” หวังหลินลอบคิด ทำไมโลกนี้มันกลมนัก หญิงสาวจากเมื่อกลายจะเป็นผู้อาวุโสสำนักเมฆาฟ้าได้อย่างไร?
หวังหลินแกล้งเผยรอยยิ้มและคิดมากไปกว่านั้น
เฉิงเซียนพูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ “ผู้อาวุโสลี่เป็นอัฉริยะในรุ่นของนาง ในแคว้นฮัวเฝินเมื่อก่อนนางมีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่แคว้นฮัวเฝินถูกรุกรานจึงทำให้สำนักลั่วเหอล่มสลายและศิษย์ทั้งหมดกระจายกันออกไป หากไม่ใช่เรื่องนั้นผู้อาวุโสลี่คงไม่มาที่นี่”
หวังหลินพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไรขณะเดินตรงไป
เฉิงเซียนกระพริบตาไม่กี่ครั้งและติดตามหวังหลินอย่างรวดเร็วพลันถามขึ้น “พี่ชาย เมื่อไหร่เราจะไปลานกว้างทิศตะวันตกเล่า?”
หวังหลินมองท้องฟ้าและเอ่ยขึ้น “หลังจากข้าเจออาจารย์ ข้าจะพาเจ้าไปลานกว้างทิศตะวันตก แต่เหมือนที่ข้าบอกเจ้าไปแล้ว ข้าไม่รู้จักสตรีคนนั้น ข้าไม่รู้กระทั่งชื่อของนาง หากไม่เกี่ยวข้องก็คงดี”
เฉิงเซียนตกตะลึงจากนั้นเขาเบือนหน้า “ไม่มีปัญหา ข้ารู้จักชื่อนาง ทั้งหมดที่ท่านต้องทำก็คือถามหาเธอ พี่ชายเชื่อในสัญชาตญานของข้า สตรีคนนั้นจะออกมาหาท่านแน่ๆ”
หวังหลินไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปขณะเดินเข้าไปทางลานกว้างทิศใต้
ตลอดการเดินทางเฉิงเซียนแทบไม่หยุดพูด ชัดเจนว่าเขาเป็นคนที่พูดดีมากกว่า เขาแบ่งปันข่าว เรื่องซุบซิบและเรื่องเล่าลือทั้งหมดของสำนักเมฆาฟ้าให้หวังหลินฟัง
เรื่องที่เขาพูดมีชีวิตชีวาอย่างมากดังนั้นหวังหลินจึงไม่รู้สึกประสาทเสียเวลาฟังเขา ขณะนั้นทั้งสองมาถึงลานกว้างทิศใต้
“กล่าวได้ว่าผู้อาวุโสลี่ไม่อยู่ในสำนักมานานแล้ว นางเพียงอยู่ที่นี่ร้อยปีแต่วิชาปรุงยาของนางเกินความมหัศจรรย์ ข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสลี่แข่งขันกับนักปรุงยาอันดับห้าอีกสองคนในสำนัก เธอไม่ได้ตกท้ายพวกเขาและปรุงยาอันดับห้า ฝึกฝนมาร ได้สำเร็จซึ่งเป็นหนึ่งในสามสมบัติของสำนักเรา” เมื่อเขาพูดเรื่องการปรุงยา แววตาเฉิงเซียนเผยความชื่นชม
“เม็ดยาฝึกฝนมาร?” หวังหลินตกตะลึง ชื่อของเม็ดยานี้ประหลาดเกินไป กล่าวได้ว่าหากเขาบริโภคมัน จะกลายเป็นมารงั้นหรือ?
เฉิงเซียนเห็นใบหน้าหวังหลิน เขายิ้มอย่างภูมิใจ “ฮี่ฮี่ เม็ดยานั้นไม่ได้แปลกแค่ชื่อ เมื่อมันถูกสร้างขึ้นท่านบรรพชนถามผู้อาวุสี่เพื่อคิดชื่อ หลังผู้อาวุโสลี่ขบคิดนางจึงได้ชื่อนั้นมา แม้ว่าชื่อเม็ดยาคือฝึกฝนมาร มันไม่ได้เป็นการฝึกฝนเพื่อเป็นมารอันใด”
“เม็ดยานี้มีผลเช่นไร?” หวังหลินคิดถึงมันอย่างแปลกประหลาด เม็ดยานี้ถูกเรียกว่าฝึกฝนมารและผู้อาวุโสลี่ก็มาจากแคว้นฮัวเฝินและจากสำนักลั่วเหอ เรื่องนี้ต้องมีบางสิ่งเชื่อมกัน
“ผลลัพธ์ของเม็ดยานี้ยิ่งใหญ่มาก แต่ข้าไม่รู้ประสิทธิภาพของเม็ดยาจริงๆ” เฉิงเซียนยักไหลและกล่าวขึ้น “ด้วยตำแหน่งของข้าจะไปรู้ผลลัพธ์เม็ดยาได้อย่างไร? เม็ดยานั่นนับว่าเป็นหนึ่งในสามมหาสมบัติของสำนักเชียวนะ”
หวังหลินไม่คิดมาก เขาพยักหน้าหลังจากนั้นชั่วครู่ทั้งสองก็มาถึงด้านนอกลานกว้างทิศใต้ สิ่งที่ปรากฎเบื้องหน้าหวังหลินคือสะพานโค้งพร้อมกับน้ำไหลเอื่อยข้างใต้ น้ำพวกนั้นเปล่งคลื่นพลังปราณไปด้วย
ภายในน้ำมีปลาคาร์ฟเจ็ดสีนับไม่ถ้วนว่ายอย่างสบายๆ
เฉิงเซียนหยุดเบื้องหน้าสะพานและยิ้มขึ้น “มีอีกคำเล่าลือหนึ่งเกี่ยวกับเม็ดยาฝึกฝนมาร พี่ชายต้องการฟังมันไหม?”
“สองหูข้าฟังอยู่” ดวงตาหวังหลินจรดตามสะพานไปสู่ลานกว้าง ทว่ามีกฎเกณฑ์หนึ่งป้องกันเขาไม่ให้มองไปลึกกว่านี้ เขาสามารถเห็นสภาพแวดล้อมข้างในได้อย่างเลือนราง มันราวกับสวนอีเดนบนสรวงสวรรค์
เฉิงเซียนพูดอย่างภูมิใจ “ลือกันว่าผู้อาวุโสลี่อาศัยในทะเลปิศาจชั่วขณะหนึ่ง ชื่อของเม็ดยาจึงสัมพันธ์กับเหตุกรณ์ที่เธอพบเจอ แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นแค่ข่าวลือ ความจริงมีข่าวลือหลายเรื่องเกี่ยวกับผู้อาวุโสลี่ในสำนัก เราต้องพูดเรื่องนี้กันทีหลัง”
หลังหวังหลินได้ยินเรื่องนี้ ใบหน้าเขาสงบนิ่งพลันคารวะสองมือต่อเฉิงเซียนและเดินเข้าหาสะพาน
เฉิงเซียนตะโกนอย่างรวดเร็ว “พี่หวังหลิน ข้าจะรอท่านที่นี่ โปรดอย่าลืมว่าเรามีบางสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้นะ!”
หวังหลินไม่ได้ตอบ เขาเดินข้ามสะพานไป
หลังเข้าไปในลานกว้างทิศใต้ หมอกเริ่มหนาขึ้น เขาไม่สามารถเห็นสิ่งใดได้ชัดเจนมากกว่าสามฟุตเบื้องหน้า หากร่างหลักหวังหลินอยู่ที่นี่ มันจะไม่รบกวนเขาได้เลย สิ่งที่ต้องทำก็แค่กระจายสัมผัสวิญญาณออกและเขาจึงจะเห็นทุกสิ่งได้
แต่ตอนนี้ร่างอวตารของหวังหลินมีเพียงระดับแปด ดังนั้นเขาจึงเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ยิ่งเขาเดินไปลึกขึ้นยิ่งมีหมอกหนาแน่นขึ้น วิสัยทัศน์ของเขาลดลงจากสามฟุตเหลือหนึ่งฟุต
เสียงหนึ่งลอยออกมาจากสายหมอก
“ลานทิศใต้เป็นพื้นที่ต้องห้าม หากศิษย์ภายนอกไม่มีเครื่องหมาย เจ้าไม่อาจเข้าไปได้”
หวังหลินหยุดลง เขาตอบกลับ “ศิษย์หวังหลินมาที่นี่เพื่อคารวะท่านอาจารย์ของอาจารย์ ผู้อาวุโสลี่”
น้ำเสียงขบคิดชั่วครู่จากนั้นสายหมอกเบื้องหน้าหวังเปิดออกราวกับมีมือคู่ยักษ์กระจายมันออกไป เส้นทางที่นำเข้าลานกว้างลึกว่านี้ปรากฎขึ้น
“เส้นทางนี้จะพาเจ้าไปถึงที่พำนักของผู้อาวุโสลี่ ไปได้” น้ำเสียงปรากฎขึ้นอีกครั้งและหวังหลินทั้งได้ยินน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความอิจฉา
หวังหลินเดินตามเส้นทางโดยไม่ได้กล่าวอะไร เสียงดนตรีดังออกมาในพื้นที่ห่างไกล หลังจากนั้นไม่นานหวังหลินได้มาถึงสุดเส้นทางที่ซึ่งหวังหลินรอคอย
มองเข้าไปในหน้าต่างมีร่างสตรีนางหนึ่ง เบื้องหน้านางเป็นพินหนึ่งคัน ทว่าระหว่างม่านหน้าต่างบางๆนั้นหวังหลินไม่สามารถเห็นใบหน้าเธอได้
ขณะที่หวังหลินปรากฎ เสียงที่ออกมาจากที่พำนักและเข้าหังใจหวังหลินเหมือนกับแม่น้ำไหลเอื่อยๆ
หวังหลินไม่ได้กล่าวอะไรแต่ยืนอยู่ที่นี่และฟังเสียงเพลง หลังเสียงเพลงจบลง น้ำเสียงไพเราะดังออกมาจากที่พำนัก “เจ้าคือหวังหลินหรือ?”
ขณะที่น้ำเสียงลอยเข้าหูหวังหลิน เขาตกตะลึงทันที ใบหน้าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินแต่รีบฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว หลังจากขบคิดเป็นเวลานานเขาตอบกลับ “ใช่แล้ว”
ขณะที่เสียงของเขาเปล่งออกมา เสียงป๊อกดังขึ้นจากในห้องขณะที่หญิงสาวทำด้ายบนพินขาด จากนั้นประตูได้เปิดขึ้นทันที ร่างของเธอทำให้หัวใจทุกคนเต้นรัวราวกับกลอง
ใบหน้าสวยงามราวกับดอกไม้และร่างละเอียดราวกับหยก กล่าวได้ว่ารูปร่างเธอราวกับดอกไม้และน้ำเสียงราวกับวิหคที่ไพเพราะ วิญญาณราวกับจันทราและผิวหนังราวกับหยก
สายตานางจรดลงบนหวังหลิน หลังจากมองหวังหลินชั่วครู่นางจึงเผยแววตาเศร้าโศก เธอวางม่านลงและคืนความสง่างาม
ใบหน้าหวังหลินยังคงสงบนิ่งราวกับแม่น้ำ ขณะที่หญิงสาวเอ่ยออกมาเขาจดจำร่างเธอได้ชัดเจน หวังหลินไม่คาดคิดว่าหลังผ่านมานานหลายปีหญิงคนนั้นกลายเป็นอาวุโสในสำนักเมฆาฟ้าไปแล้ว
แม้ว่าระดับฝึกฝนของร่างอวตารหวังหลินไม่ได้สูงนัก เขายังมีไหวพริบดี หวังหลินสามารถได้บอกได้ว่าระดับฝึกฝนของนางอยู่ที่ขั้นแกนลมปราณระดับต้น ในสำนักอื่นๆมันเป็นเรื่องประหลาดที่อาจารย์ของลูกศิษย์จะมีระดับฝึกฝนเท่ากัน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกในสำนักเมฆาฟ้า
ลานภายในวัดกันด้วยคุณค่าของวิชาปรุงยา ไม่ใช่ระดับฝึกฝน
เป็นผลให้ลานภายในสำนักเมฆาฟ้าเกิดกรณีอาจารย์มีระดับฝึกฝนต่ำกว่าลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก นั่นเป็นเพราะสำนักเมฆาฟ้ามีมาตราวัดที่แตกต่างกับคนอื่นๆอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าเม็ดยาบางเม็ดจำเป็นต้องมีระดับฝึกฝนถึงจุดหนึ่งถึงจะปรุงขึ้นมาได้ ดังนั้นเพื่อเม็ดยาพวกนั้น บางคนจำเป็นต้องเพิ่มระดับฝึกฝนของตนเอง
ในโกลนี้มีคนส่วนน้อยเช่นลี่มู่หวานที่สามารถสร้างเม็ดยาระดับห้าได้เป็นปกติซึ่งบางคนจำเป็นต้องมีระดับฝึกฝนถึงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดจึงจะสามารถปรุงขึ้นมาได้
หวังหลินลอบถอนหายใจ เวลาได้เปลี่ยนแปลงคนผู้หนึ่งจนเป็นเช่นนี้ สองร้อยปีไม่ได้นานแต่ก็ไม่สั้นนัก
นางสวยมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า สองร้อยปีให้ความรู้สึกเหมือนพึ่งเป็นวันวาน ทว่ายังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างทั้งสองคน ช่องว่างนั้นหวังหลินไม่สามารถข้ามผ่านได้ง่ายๆ
หวังหลินไม่มีแผนใดจะเปิดเผยตนเอง ภาพลักษณ์ของเขาแตกต่างจากตอนที่เขาพบกับลี่มู่หวานครั้งแรกดังนั้นนางจึงคิดไม่ออกว่ามันเป็นเขาจากเพียงแค่มอง
“เกิดอะไร?” น้ำเสียงลี่มู่หวานยังเต็มไปด้วยความเสียใจ
หวังหลินสูดหายใจลึกและยิ้มขมขื่นในใจ เขาเอ่ย “ศิ…ศิษย์…” เผชิญหน้ากับสหายเก่าหวังหลินแทบไม่สามารถเอ่ยคำว่า ‘ศิษย์’ ออกมาได้
เมื่อลี่มู่หวานได้ยินน้ำเสียงหวังหลินอีกครั้ง ร่างกายเธอสั่นสะท้าน เธอสะบัดแขนและผ้าคลุมหน้าสีม่วงปรากฎบนใบหน้าเธอ เธอเดินออกมาจากที่พำนักและมองหวังหลิน
ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งและพูดอย่างช้าๆ “เตาปรุงยาของศิษย์แตกเสียหาย”
ลี่มู่หวานมองหวังหลินชั่วครู่ เธอเผยใบหน้าซับซ้อนและถามขึ้น “เจ้ามาจากแคว้นซูหรือไม่?”
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและพยักหน้า
ลี่มู่หวานถอนหายใจ อารมณ์ของเธอกลับมาเป็นปกติ “เตาปรุงยาแตกเสียหายต้องเป็นเพราะระดับฝึกฝนของเจ้าเพิ่มขึ้นมารวดเร็วเกินไปและเจ้าไม่สามารถควบคุมพลังปราณในร่างได้ดีพอที่จะชักนำเปลวไฟได้ เรื่องเช่นนี้ธรรมดามาก ที่เจ้าต้องทำก็คือฝึกฝนไปเรื่อยๆและมันจะแก้ปัญหาได้เอง”
“ตั้งแต่ที่เจ้าเป็นศิษย์ของโจวหลิน ข้าจะให้เตาปรุงยานี้เป็นของขวัญแก่เจ้า เตาปรุงยานี้ป้องกันการแตกสลายได้ร้อยครั้ง หลังจากร้อยครั้งเจ้ายังไม่สามารถควบคุมเปลวไฟได้ นั่นหมายความว่าเจ้าไม่มีพรสวรรค์ด้านการปรุงยาและเจ้าควรจะยอมแพ้และออกไปสำนักข้างนอก”
หลังลี่มู่หวานพูดจบ เธอส่งเตาปรุงยาออกมาและมันลอยไปเบื้องหน้าหวังหลิน
หวังหลินเก็บเตาปรุงยาไว้ในกระเป๋าทันที แม้ว่าใบหน้าสงบนิ่งแต่เขามีอารมณ์ซับซ้อนผุดขึ้นในใจ ทุกวินาทีที่เขาอยู่ที่นี่พลันรู้สึกเหมือนจุกใจลำคอ เขาคารวะด้วยสองมือและหันหน้าเพื่อจากไป
ลี่มู่หวานพูดขึ้นทันที “หม่าเหลียง….”
หวังหลินเผยใบหน้าตื่นตกใจ เขาหันกลับมาและมองลี่มู่หวานด้วยความงุนงง
ลี่มู่หวานลอบถอนหายใจและกล่าวขึ้น “เจ้าไปได้ หากเจ้ามีคำถามใดเจ้าสามารถเข้ามาถามข้าได้” หลังจากนั้นเธอกลับไปที่พักของตัวเองและเสียงพิณเริ่มดังออกมาอีกครั้ง
เวลานี้เป็นเสียงเพลงแห่งความเศร้าโศกเสียใจและความเหงาโดดเดี่ยว
หวังหลินมีใบหน้าอันซับซ้อน เขามองดูคนในที่พำนักอย่างครุ่นคิดพลางลอบถอนหายใจและหันกลับเพื่อจากไป
ในที่พำนัก ลี่มู่หวานวางเครื่องดนตรีลง นางขบคิดชั่วขณะจากนั้นมองผ่านหน้าต่างสู่พื้นที่ห่างไกล หลังผ่านไปเวลานานนางขมวดคิ้วและกล่าวขึ้น “บางสิ่งไม่ถูกต้อง ตนสองคนจะมีน้ำเสียงเหมือนกันได้อย่างไร? แม้จะเป็นเรื่องจริงนั่นก็ไม่มีทางที่ท่าทางของเขาจะเหมือนกันอย่างนั้น อีกทั้งใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งเช่นกัน คนธรรมดาไม่สามารถเผยออกมาได้”
แสงกระพริบผ่านดวงตาของเธอและชี้ไปที่คิ้ว หยดโลหิตลอยออกมาจากหน้าผาก โลหิตเป็นสีแดงและปลดปล่อยกลิ่นอายทำลายล้าง
สิ่งนี้เป็นของขวัญที่หวังหลินให้เธอไว้ตอนที่เขาจากไป หยดโลหิตนี้มีเศษเสี้ยววิญญาณขอบเขตจวี่ หวังหลินให้เธอไว้เพื่อป้องกันอันตรายจากชีวิตหลังจากนั้น หากไม่ใช่โลหิตหยดนี้ ลี่มู่หวานคงไม่สามารถหนีจากการทำลายแคว้นฮัวเฝินได้
“หากมันเป็นเขาจริงๆ ทำไมโลหิตนี้ไม่ตอบสนองต่อเขา?” ลี่มู่หวานกัดริมฝีปากและถอนหายใจ
ขณะนั้นเองเสียงหนึ่งดังออกมาจากนอกที่พำนัก “แม่นางน้อย เจ้าจะออกมาสักครู่นึงได้หรือไม่?”
ลี่มู่หวานขมวดคิ้วเล็กน้อยและเปิดประตู เธอเห็นเซียนวัยกลางคนดูหล่อเหลากำลังเดินเข้าหาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า
เมื่อเขาเห็นลี่มู่หวานพลันเผยแววตาแห่งความรักอย่างตรงไปตรงมาและพูดอย่างอ่อนโยน “แม่นาง ไม่กี่เดือนก่อนข้าได้ยินว่าเจ้าต้องการหลงหยานจื่อ ข้าค้นหามาทั้งแคว้นซูและในที่สุดข้าก็พบหนึ่งชิ้น” เช่นนั้นเขานำกล่องหยกออกมา ภายในกล่องหยกมีของสีม่วงล้วนที่มีขนาดเท่าแขน
ใบหน้าลี่มู่หวานซึมเซา นางไม่ได้มองกล่องหยกและเอ่ยขึ้น “ขอบคุณพี่ซุนอย่างมากสำหรับความเมตตาของท่านแต่ข้าได้พบสิ่งของทดแทนและปรุงเม็ดยาได้แล้ว พี่ซุนควรเก็บมันไว้เถอะ”
ชายวัยกลางคนปล่อยรอยยิ้มอบอุ่น เขาวางกล่องหยกไว้ด้านข้างและพูดอย่างอบอุ่น “แม่นางน้อย ท่านบรรพชนเจตจาดี นอกจากนั้นเจ้าไม่ใช่ศิษย์สำนักเมฆาฟ้าตรงๆ หากเจ้าหวังว่าจะได้รับวิชาปรุงยาที่ดีกว่าเจ้าต้องเลือกศิษย์สายตรงเพื่อฝึกฝนเป็นคู่ เจ้าและข้าต่างรู้จักกันและกันมานานแล้ว ข้ามั่นใจว่าแม่นางเข้าใจความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้า”
แสงกระพริบเย็นวาบผ่านดวงตาลี่มู่หวาน เธอจ้องชายวัยกลางคนและกล่าวขึ้นทีละคำ “อย่านำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้ง!”
ชายวัยกลางคนมองลี่มู่หวานอย่างเงียบเชียบ หลังผ่านไปนานเขาพูดอย่างสงบนิ่ง “แม่นาง หากไม่ใช่ว่าข้าช่วยเจ้าตอนที่แคว้นฮัวเฝินถูกโจมตี เจ้าคงตายไปแล้ว ข้ามาหาเจ้าหลายปีมานี้เล่า? ข้าต้องการรู้ว่าทำไมเจ้าถึงได้ต่อต้านข้า”
ลี่มู่หวานขบคิดชั่วขณะ ร่างของคนผู้หนึ่งผุดขึ้นมาในใจเธออย่างไม่รู้ตัว เธอหยุดคิดเรื่องนั้นและกล่าวขึ้น “ไม่มีเหตุผล…”
ชายวัยกลางคนถอนหายใจ น้ำเสียงยังอ่อนโยน “แม่นาง ท่านบรรพชนมีคำสั่งมาด้วยตัวเอง ทุกสิ่งได้ตั้งไว้หมดแล้วดังนั้นโปรดพิจารณาอีกครั้ง” เช่นนั้นเขามองลี่มู่หวานอย่างลึกซึ้งพลันหันร่างและยิ้มอย่างขมขื่นและจากไป
ลี่มู่หวานยืนด้านนอกบ้านของเธอชั่วขณะอย่างเงียบๆ จากนั้นหันตัวกลับเพื่อเข้าไป เบื้องหลังนางดูเศร้างใจและโดดเดี่ยว
หวังหลินออกจากลานทิศใต้ด้วยความรู้สึกซับซ้อนในใจ ขณะที่กำลังเดินข้ามผ่านสะพาน เขาเห็นเฉิงเซียนรออยู่ เฉิงเซียนรีบขึ้นไปหาและถามว่า “พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
หวังหลินมองเขาและกล่าวขึ้น “ไปเถอะ”
เฉิงเซียนรอคำพูดนี้ เขายิ้มออกมาและกล่าวอย่างรวดเร็ว “พี่ชาย วันแทบหมดสิ้นแล้วเช่นนั้นเราควรจะรีบไปให้เร็ว รอสักครู่ ข้าจะเรียกสัตว์ขี่สองตัว” จากนั้นเขาวางสองนิ้วไว้ในปากและเสียงหวีดหวิวกระจายไปไกล
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงคำรามอสูรดังออกมา หวังหลินมองขึ้นและเห็นเงาเล็กและเงาใหญ่พุ่งเข้ามาทางเขา
ไม่นานนักหลังจากเงาเข้ามาใกล้ เมื่อห่างจากเฉิงเซียนสิบฟุต หวังหลินจึงเป็นวานรทั้งสองตัวอย่างชัดๆ ตัวใหญ่สูงเมตรครึ่งขณะที่ตัวเล็กสูงหนึ่งเมตร ทั้งสองตัวดวงตาสีแดง มาตามเสียงเฉิงเซียน
เฉิงเซียนกระแอมเล็กน้อย “ข้าได้ยืมบางอย่างจากพวกเจ้า เราต่างรู้จักกันและกันมาหลายสิบปีนับว่าดีเยี่ยม พาเราไปที่ลานทิศตะวันตกและข้าจะคืนสิ่งนั้นให้”
สองวานรหายใจหนักขณะร้องรั่นใส่กันชั่วครู่ จากนั้นหนึ่งในสองตัวคว้าเข้าหาเฉิงเซียน
เฉิงเซียนไม่หลบและยอมให้มือจับมัน วานรตัวใหญ่คว้าเสื้อเฉิงเซียนและดึงไว้บนหลัง มันวิ่งอย่างรวดเร็วและกระโดดไปไกล
ตัวเล็กกว่ามองหวังหลินเผยแววตาแห่งความโกรธ มันคว้าหวังหลินแต่หวังหลินหลบกรงเล็บและกระโดดไปบนหลังมันเอง เจ้าวานรดูไม่คิดมากและตามหลังตัวใหญ่ไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองตัวเดินทางอย่างรวดเร็ว การขี่วานรเหมือนนั่งบนก้อนเมฆ เฉิงเซียนดูเหมือนจะชอบใช้วิธีนี้ หลังการโห่ร้องสองสามครั้ง เขานำน้ำเต้าพันด้วยเถาวัลย์และดื่มลงไปหนึ่งดึก จากนั้นหัวเราะ “ขี่วานรวิญญาณไปลานตะวันตก ทั้งสำนักเมฆาฟ้ามีเพียงข้าที่ทำเรื่องนี้ได้! ฮ่าฮ่า!”
หวังหลินยิ้มบูดบึ้ง แม้ว่าเฉิงเซียนจะดูซุกซนมากแต่เขาดูไม่น่าเบื่อ แม้ว่าจะเสียเวลารอกับหวังหลินไปมาก หวังหลินไม่ได้ใส่ใจมากนัก ความจริงเป็นเพราะเฉิงเซียนทำให้การไม่ชอบปฏิสัมพันธ์ผู้คนของหวังหลินจึงลดลงเล็กน้อย
เฉิงเซียนโยนน้ำเต้ากลับให้หวังหลิน หวังหลินรับไว้และมองมันชั่วขณะ เขาคิดถึงใบหน้าลี่มู่หวานและดื่มไปอึกใหญ่