221. ทะยานการฝึกฝน
หวังหลินจ้องไปที่เตาปรุงยาพลันคิดเกี่ยวกับหยุนเฟย เขาสัมผัสกระเป๋าและนำหินหยกออกมา หินหยกนี้เขาได้รับมาจากหยุนเฟย
เขาวางหินหยกไปบนโต๊ะ “หินหยกนี้มาพร้อมกับคนที่มีเตาปรุงยา ดูสิว่ามีความสัมพันธ์อะไรกันไหม”
ดวงตาสวยงามของลี่มู่หวานสว่างขึ้น นางหยิบหินหยกขึ้นมาและตรวจสอบ ผ่านไปไม่นานนักนางจึงขมวดคิ้วบางและกระซิบ “สำนักฉีฮวง…สิ่งนี้ควรจะมาจากสำนักฉีฮวง สูตรยาภายในหินหยกนี้ชัดเจนว่ามาจากสำนักฉีฮวง พี่หวังท่านได้สิ่งนี้มาจากพื้นที่ส่วนในของทะเลปิศาจหรือ?”
หวังหลินพยักหน้า
ลี่มู่หวานกัดริมฝีปากล่างเบาๆและกล่าวขึ้น “เช่นนั้นมันเป็นสำนักฉีฮวง เดิมทีสำนักฉีฮวงเป็นสำนักจากแคว้นอับดับสี่แห่งหนึ่ง แต่หลังจากขัดแย้งกับสำนักคู่อริ พวกเขาได้อพยพเข้าทะเลปิศาจและหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดูเหมือนว่าเตาปรุงยานี้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักฉีฮวงซึ่งหมายความว่าวิธีเปิดผนึกสูญหายไปแล้ว หวานเอ๋อร์รู้เพียงว่าผนึกนี้ไม่สามารถเปิดอย่างไม่ระมัดระวังได้ มันจำเป็นต้องมีขั้นตอนหลากหลายและจังหวะที่ถูกต้อง หากเปิดด้วยกำลังจะสร้างความเสียหายต่อเม็ดยาข้างใน อีกทั้งหวานเอ๋อร์รู้สึกว่าเม็ดยานั้นยังไม่พร้อม แม้เราจะเปิดมันอย่างถูกต้อง มันอาจจะไม่มีประสิทธิภาพถึงขีดสุด คงดีกว่าหากเราผนึกมันไว้นานกว่านี้”
หวังหลินพยักหน้าเงียบๆ เป็นเหตุผลเดียว่าทำไมหยุนเฟยไม่เปิดมันด้วยตัวเอง แต่พยายามแลกเปลี่ยนเพื่อลบล้างกฎเกณฑ์แทน
ลี่มู่หวานเอ่ยด้วยใบหน้าตั้งอกตั้งใจ “พี่หวัง หวานเอ๋อร์จะออกไปหอสมุดสำนักเมฆาฟ้าเพื่อดูว่ามีข้อมูลอะไรเปิดผนึกได้บ้าง หากเป็นเม็ดยาสำหรับเพิ่มระดับฝึกฝนเช่นนั้นมันจะเพิ่มโอกาสการบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด”
ลี่มู่หวานนำขวดยาหลายขวดออกมาและวางใส่มือหวังหลิน หลังจากนางอธิบายประสิทธิภาพเม็ดยาทั้งหมด หวังหลินจึงจากไป
หวังหลินออกจากลานทิศใต้ด้วยสายตาไม่เต็มใจของลี่มู่หวาน นอกจากนั้นระดับฝึกฝนของหวังหลินต่ำเกินไป หากเขาอยู่กับลี่มู่หวานนานเกินมันจะดึงดูดความสนใจของคนอื่น
ดังนั้นหวังหลินจึงออกจากลานทิศใต้และตัดสินใจปิดด่านฝึกตนในห้องของตัวเอง
เขาและลี่มู่หวานได้ทำสัญญากันไว้เรียบร้อยแล้วและทิ้งหินหยกสื่อสารให้กัน เมื่อนางเปิดผนึกออกได้ นางจะส่งเม็ดยาให้เขา
ในเวลาเดียวกันเรื่องความปลอดภัยของลี่มู่หวาน หวังหลินได้ทิ้งเจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วและปิศาจน้อยเพื่อปกป้องนาง ด้วยการร่วมกันของทั้งสองตัว พวกมันควรจะสามารถถ่วงเวลาเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้เล็กน้อย
ซึ่งจำนวนเวลาเล็กน้อยนั้นเพียงพอให้ร่างหลักของหวังหลินปรากฎตัว อีกทั้งเจ้าปิศาจทั้งสองเชื่อมต่อกับหวังหลินแม้ว่าเขาจะอยู่ในมิติลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าก็ตาม
ขณะที่หวังหลินเดินออกมาจากลานทิศใต้ น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากสายหมอกด้านหลังเขา
“เจ้าชื่อหวังหลินหรือ?”
หวังหลินหยุดเดิน เขาหันกลับมาและเห็นสายหมอกม้วนตัวเป็นชายวัยกลางคนที่เดินออกมา เขาดูหล่อเหลาและดูสะอาดสะอ้านมากอีกทั้งมีกลิ่นอายเหมือนเทพบุตร
คนผู้นี้คือลูกชายของผู้อาวุโสซุน นามว่า ซุนเซินเว่ย
หวังหลินพูดอย่างสงบนิ่ง “ใช่แล้ว”
เซินเว่ยเผยรอยยิ้มเป็นมิตรและหัวเราะ “เจ้าไปหาอาจารย์บรรพชนของเจ้ามาหรือ?”
หวังหลินเยาะเย้ยในใจแต่พยักหน้าอย่างสงบ
ซุนเซินเว่ยมองหวังหลินและยิ้ม “ในสองเดือนข้าจะเป็นคนที่เจ้านับได้ว่าเป็นอาจารย์บรรพชนเช่นกัน เจ้าขยันมากและนั่นเป็นเรื่องดี หากเจ้ามีคำถามเกี่ยวกับการปรุงยา เจ้าสามารถถามอาจารย์บรรพชนของเจ้าได้และหากเจ้ามีคำถามอะไรเกี่ยวกับการฝึกเซียน เจ้าสามารถถามข้าได้”
ใบหน้าหวังหลินมีแววตาสงบนิ่ง “หากไม่มีอะไรแล้ว ศิษย์ยังมีชุดยาที่ต้องการปรุงอยู่”
ซุนเซินเว่ยเริ่มโกรธเกรี้ยวและใบหน้าจมดิ่งแต่เขากลับมายิ้มอีกครั้ง หลังชำเลืองมองหวังหลิน เขานำกระบี่เหินออกมาและพูดขึ้น “กระบี่เหินเล่มนี้เรียกกันว่า วายุเขียว นับว่าเป็นของขวัญการปะกัน รับไว้” เขาสะบัดแขนและกระบี่เคลื่อนเข้าหาหวังหลินลอยเบื้องหน้าเขา
หลังจากหวังหลินรับไป เขาคารวะด้วยสองมือเพื่อขอบคุณจากนั้นหันกลับและจากไป
ซุนเซินเว่ยยังยิ้มอยู่ขณะที่หวังหลินหายไป แสงเยือกเย็นแล่นสายแววตาขณะที่เขาลอบคิด ‘เด็กคนนี้เป็นเพียงขั้นพื้นฐานลมปราณ ดังนั้นมันจะเป็นหลักประกันเพื่อสังเกตการณ์ลี่มู่หวานอย่างสมบูรณ์แบบ ฮึ่มแม้มันจะสงสัยบางสิ่งขึ้น แต่ด้วยระดับฝึกฝนของมันจะไม่สามารถพบเจอสิ่งใดได้’
หวังหลินเดินทางกลับสู่ลานที่เขาพักอาศัย หลังเข้าไปในห้องจึงสร้างกฎเกณฑ์หนึ่งและวางลงบนกระบี่เหิน
กระบี่เหินส่องแสงเยือกเย็น ซุนเซินเว่ยให้กระบี่เหินกับเขานับว่าดี ด้วยการคาดการณ์ของหวังหลินอย่างมากกระบี่เหินนั่นหมายถึงการสอดแนมเขา
หวังหลินเยาะเย้ย กฎเกณฑ์ของเขาไม่เพียงแต่หยุดผลการสังเกตการณ์บนตัวกระบี่แต่อีกทางหนึ่งซุนเวินเว่ยจะไม่รับรู้ได้
หลังจากโยนกระบี่ไว้ด้านข้าง เขาสูดหายใจลึกและเข้าไปในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า หวังหลินรู้ว่าเขามีเวลาสั้นมาก ด้วยลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าเขามีเวลาจำนวนสองปี
ซึ่งเหลืออยู่ไม่มากนัก
หวัวงหลินนั่งขัดสมาธิในมิติลูกปัดและเบื้องหน้าเขาคือขวดยามากกว่าสิบขวด บางขวดถูกผนึกด้วยขี้ผึ้ง
เม็ดยาเหล่านี้คือเม็ดยาที่ดีที่สุดที่ลี่มู่หวานปรุงขึ้นในสองร้อยปีที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้เหมาะสมกับเขาและเพิ่มโอกาสการบรรลุขั้นแกนลมปราณ
หวังหลินทำตามการนำแนะของลี่มู่หวานและวางขวดเป็นลำดับที่เขาต้องการใช้งานจากขวาไปซ้าย เขาหยิบขวดหนึ่งขึ้นและเปิดผนึกขี้ผึ้ง กลิ่นหอมรุนแรงของเม็ดยาลอยออกมาจากขวด ข้างในเป็นเม็ดยาขนาดเท่าผลลิ้นจี่สิบเม็ด
เม็ดยานี้เรียกกันว่าเม็ดยาฉีจั้ว มันเป็นเม็ดยาวิญญาณอันดับสอง ใช้ส่วนผสมหายากจำนวนมาก ไม่เพียงแต่มันจะให้พลังปราณจำนวนมาก มันยังช่วยกรุยเส้นชีพจรให้กว้างขึ้น
เม็ดยาฉีจั้วเป็นหนึ่งในสิบแปดเม็ดยาในสำนักลั่วเหอเก่าของนาง ในโลกแห่งเซียนมันเป็นเม็ดยาที่หายากมากและคุณภาพเหนือกว่าเม็ดยาสร้างพื้นฐาน
สิ่งที่ทำให้เม็ดยานี้หายากก็คือผลลัพธ์ในการกรุยเส้นชีพจร แม้กระทั่งภายในสำนักเมฆาฟ้าก็ไม่มีเม็ดยาที่กรุยเส้นชีพจรมากนั้นและเม็ดยาพวกนั้นเป็นเม็ดยาอันดับสี่ สำหรับเม็ดยาอันดับสองเม็ดเดียวที่เพิ่มขยายเส้นชีพจรถือได้ว่าเป็นของหายากอย่างยิ่ง
ในสำนักเมฆาฟ้ามีเพียงยี่สิบหรือน้อยกว่านั้นและทั้หงมดถูกสร้างจากลี่มู่หวาน
หวังหลินหยิบหนึ่งเม็ดขึ้นมาและวางมันใส่ในปาก จากนั้นจึงเริ่มฝึกฝนทันที พลังปราณท่วมท้นในร่างกายและเขาสังเกตได้นทันทีถึงความแตกต่างของเม็ดยาสร้างพื้นฐาน เม็ดยาฉีจั้วมีพลังปราณมากกว่าเม็ดยาสร้างพื้นฐานถึงสองเท่า
พลังปราณสงบลงอย่างช้าๆเมื่อถูกกลยุทธ์เทพโบราณดูดกลืนไม่มีที่สิ้นสุด หลังผ่านไปชั่วขณะหวังหลินจึงกลืนเม็ดอื่น
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและระดับการฝึกฝนของหวังหลินได้บรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลายหลังจากใช้ไปเม็ดยาฉีจั้วไปทั้งหมด วิธีการบริโภคเม็ดยาโดยไม่คำนึงถึงผลเสียในอนาคตแบบนี้เป็นสิ่งเดียวที่หวังหลินยินดีที่จะทำ
กล่าวได้ว่าปกติคนธรรมดาใช้เม็ดยาพิเศษสองสามเม็ดในวิธีการฝึกฝนเซียน ไม่มีใครใช้ยามากมายขนาดนี้ในช่วงเวลาอันสั้น เรื่องแรกก็คือการดูดซับเป็นปัญหาใหญ่มาก เวลาในการดูดซับแตกต่างกันขึ้นอยู่กับเม็ดยาแต่อย่างน้อยมันใช้เวลาไม่สองสามวันหรือนานกว่านั้นเพื่อดูดซับพลังปราณทั้งหมดอย่างสมบูรณ์เพื่อไม่ให้เม็ดยาสูญเปล่า
นอกจากเรื่องที่ว่าวัตถุดิบของเม็ดยาเป็นเรื่องหายากแล้ว เหล่าเซียนไม่ต้องการสิ้นเปลืองดังนั้นพวกเขาจึงดูดซับพลังปราณให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่เม็ดยามีพลังปราณบรรจุไว้จำนวนมากอยู่แล้ว หากดูดซับเข้าไปในครั้งเดียวทีละมากๆ ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยอะไรแต่มันจะไปเพิ่มโอกาสของปิศาจในการเข้าสู่ร่างเซียนได้
และหากมีการบริโภคหลายเม็ดในช่วงเวลาอันนั้นหรือกล่าวได้ว่าหากระดับฝึกฝนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น เมื่อนั้นแม้ร่างกายจะไม่อันตรายแต่มันจะเกิดผลลัพธ์เลวร้ายในอนาคต
แต่ไม่มีปัญหาพวกนี้สำหรัยหวังหลิน อันดับแรกด้วยกลยุทธ์เทพโบราณ พลังปราณในเม็ดยาจะดูดซับอย่างรวดเร็วมาก ส่วนผลลัพธ์ในอนาคต มันเป็นเพียงร่างอวตารและไม่ใช่ร่างหลัก ความจริงร่างอวตารพื้นฐานของมันเป็นเพียงสุดยอด ‘เม็ดยา’ ในอีกทางหนึ่งอยู่แล้ว
ทว่าจำนวนพลังใน ‘เม็ดยา’ นี้เกินกว่าเม็ดยาธรรมดาสามัญจะมีได้ มันเป็นเม็ดยารูปร่างคนที่ช่วยให้ร่างหลักบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด
หลังจากใช้เม็ดยาฉีจั้วทั้งหมด หวังหลินจึงหยิบขวดที่สองขึ้น เขาไม่แน่ใจว่าร่างอวตารของเขาจะบรรลุขั้นแกนลมปราณยากขนาดไหน กล่าวได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ใช้วิถีนรก เขาสร้างแกนรองสามแกนขึ้นจากนั้นรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างแกนพลังระยะเริ่มแรก จากนั้นจึงใช้เม็ดยาจากลี่มู่หวานจึงบรรลุขั้นแกนลมปราณได้
ลี่มู่หวานไม่ได้บอกชื่อเม็ดยานี้แต่พูดว่าหวังหลินจะรู้เมื่อเขาเห็นมัน หวังหลินทำลายผนึกขี้ผึ้งจากนั้นมองข้างในขวดและยิ้มเบาบาง
ภายในขวดเป็นเม็ดยาสีม่วงห้าเม็ด หวังหลินจดจำสิ่งนี้ได้ทันทีเนื่องจากมันเป็นเม็ดยาเทียนหลี่ที่เขาใช้เมื่อก่อน
ดูเหมือนลี่มู่หวานจะใช้แรงกายและหยาดเหงื่ออย่างมากในสองร้อยปีนี้เพื่อปรุงเม็ดยาเทียนหลี่อีกครั้ง ความจริงนับว่าถูกต้องแล้ว เม็ดยาเทียนลี่เป็นเม็ดยาอันดับสามและวัตถุดิบสูญพันธุ์จากแคว้นฮัวเฝิน มีเพียงหลังจากเข้าสำนักเมฆาฟ้าและใช้สถานะผู้อาวุโสของนางจึงทำให้ลี่มู่หวานจัดการได้วัตถุดิบมาเพื่อปรุงอีกครั้ง
ทว่าแม้แต่สำนักเมฆาฟ้าก็ไม่ได้มีวัตถุดิบพวกนั้นมากนัก หลังจากปรุงไปได้ห้าเม็ด วัตถุดิบจึงถูกใช้ไปจนหมด
ความจริงวัตถุดิบส่วนใหญ่ในเม็ดยาที่หวังหลินบริโภคคือวัตถุดิบที่ลี่มู่หวานได้มาจากสำนักเมฆาฟ้า กล่าวได้ว่าราคาการฝึกเซียนของหวังหลินตอนนี้จ่ายด้วยทั้งสำนักเมฆาฟ้า