Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 222

Cover Renegade Immortal 1

222. เจ็ดเตาปรุงยาชิงสวรรค์

เม็ดยาเทียนหลี่เป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มโอกาสการสร้างแกนพลังได้ มันเป็นเม็ดยาหายากที่มีเพียงสมาชิกหลักของสำนักหรือสมาชิกที่สร้างคุณประโยชน์แก่สำนักจะมีได้

เม็ดยาเทียนหลี่ห้าเม็ดถือได้ว่ามีจำนวนมหาศาล นอกจากนั้นลี่มู่หวานเป็นเพียงคนเดียว นางต้องใช้ความพยายามเป็นเวลาหลายปีเพื่อสร้างเม็ดยาพวกนี้ได้

หลังหวังหลินมองเม็ดยาเล็กน้อยพลันหยิบขึ้นมาหนึ่งเม็ดใส่ในปาก

เม็ดยาเทียนลี่มีคุณภาพมากกว่าหลายเท่าจากที่ร่างหลักกินไปเมื่อก่อน นอกจากนั้นเม็ดยาเทียนลี่ตอนนั้นยังใช้วัตถุดิบทดแทน

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและยาเทียนหลี่เม็ดแรกล้มเหลว แม้ว่ามันจะล้มเหลวกลับทำให้พลังปราณทั้งหมดของหวังหลินเข้าสู่จุดตันเทียน

เทียนหลี่เม็ดที่สองก็ล้มเหลวเช่นกันแต่พลังปราณในร่างหวังหลินควบแน่นมากกว่าเดิม หากคนอื่นมองจากข้างนอกจะเห็นตันเถียนของหวังหลินเหมือนทะเลและเส้นโลหิตในร่างเหมือนกับสายน้ำ พลังปราณไหลจากเส้นโลหิตเข้าสู่จุดตันเถียนสร้างเป็นน้ำวนในใจกลาง

ทุกครั้งที่น้ำวนหมุนครบหนึ่งรอบ พลังปราณทั้งหมดในร่างกายเขาจะเพิ่มขึ้น กระบวนการดูแปลกประหลาดยิ่งนัก

เม็ดยาเทียนหลี่ก็ยังล้มเหลวเช่นกันแต่น้ำวนในจุดตันเถียนของหวังหลินหมุนเร็วมากขึ้นกว่าเดิม ไม่นานนักหยดสีทองหนึ่งหยดรวบรวมในใจกลางน้ำวน

หวังหลินไม่ได้ใช้เม็ดยาเม็ดที่สี่ทันทีแต่นั่งฝึกฝนอยู่ หลังผ่านไปเวลานานน้ำวนเริ่มหมุนช้าลงและตอนนี้มีหยดสีทองสามหยดในจุดตันเถียน

หยดสีทองทั้งสามหยดนี้ถูกสร้างจากพลังปราณทั้งหมดในร่างกาย ขณะที่หยดที่สามปรากฎขึ้น พลังปราณทุกแห่งในร่างกายหายไปและกระทั่งน้ำวนในจุดตันเถียนก็ค่อยๆช้าลง

หวังหลินใช้กลยุทธ์เทพโบราณมาก่อน อย่างไรก็ตามพลังปราณถูกร่างกายเขาดูดซับแทนและบังคับให้พลังปราณหมุนวนผ่านร่างกาย

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพื้นฐานลมปราณ แกนลมปราณหรือวิญญาณเซียนสำหรับเทพโบราณ นอกจากนั้น พวกเขาไม่มีใครยกเลิกการฝึกฝนภายนอก ดังนั้นนอกจากหวังหลินแล้วจึงไม่มีใครเคยใช้วิธีของเทพโบราณสำหรับพลังงานภายในเลย

ดังนั้นเมื่อพลังปราณในร่างกายของเขาควบแน่นเป็นหยดสีทองสามหยด หวังหลินจึงงุนงงอย่างมากแต่เขาไม่สามารถหาความทรงจำไหนมาอธิบายมันได้

เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าภายในหยดสีทองแต่ละหยดมีพลังปราณเพียงพอต่อเซียนขั้นแกนลมปราณหนึ่งคน เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างมากเหมือนตอนที่อยู่หุบเขาจูหมิงในแคว้นจ้าวและใช้ขอบเขตจวี่ของตัวเองเพื่อสร้างลูกปัดแกนเย็น

ทว่าในตอนจบ ร่างหวังหลินถูกทำลายและขอบเขตจวี่รวมเข้ากับวิญญาณของตัวเอง หวังหลินจึงไม่เคยใช้วิชาลูกปัดแกนเย็นอีกครั้ง

ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะที่เขามองหยดสีทองทั้งสามหยด เขาหยิบขวดที่สามขึ้นมา ขวดนี้ไม่มีขี้ผึ้งผนึกไว้และมีเม็ดยาภายในมากกว่าสามสิบเม็ด

เม็ดยานี้เรียกกันว่าเม็ดยาซั่วหมิง ลี่มู่หวานกล่าวว่าเม็ดยานี้ควรจะกินหลังจากบรรลุขึ้นแกนลมปราณ หากขั้นพื้นฐานลมปราณกินเข้าจะทำให้ร่างกายบวมเป่งและพลังปราณจะปั่นป่วน

หวังหลินหยิบเม็ดยานี้ขึ้นมาและโยนเข้าปากโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นเสี้ยวพลังปราณปรากฎในจุดตันเถียนอันว่างเปล่า ไม่นานนักภายใต้ผลลัพธ์ของกลยุทธ์เทพโบราณ ร่างกายหวังหลินจึงเต็มไปด้วยพลังปราณอีกครั้ง

เขารีบหมุนพลังปราณในร่างเข้าสู่จุดตันเถียนอีกครั้ง น้ำวนที่กำลังจางหายเริ่มหมุนช้าๆจนมันหมุนเร็วมากขึ้น

หลังผ่านไปโดยไม่รู้เวลา หยดสีทองในจุดตันเถียนเพิ่มมาถึงห้าหยด

ความรู้สึกบวมเป่งปรากฎขึ้นฉับพลันในจุดตันเถียนของหวังหลิน ดวงตาเขาสว่างขึ้นขณะที่กินเม็ดยาเทียนหลี่สองเม็ดและเริ่มฝึกฝน

เม็ดยาเทียนหลี่สองเม็ดพรั่งพรูผ่านร่างหวังหลินราวกับคลื่นยักษ์ แรงกดดันที่ถูกคลื่นสร้างขึ้นได้กดทับลงบนหยดสีทองทั้งห้าหยด

ทันใดนั้นหยดสีทองทั้งห้าหยดเดิมทีอยู่ห่างกันได้เริ่มเข้าใกล้ชิดกันจนปะทะกันและรวมเข้าด้วยกัน

ขณะเดียวกันนั้นภายใต้ประสิทธิภาพของเม็ดยาเทียนหลี่สองเม็ด ตันเถียนของหวังหลินเกิดรอยร้าว รอยร้าวไม่หยุดตัวและในไม่นานนักทั้งตันเถียนของหวังหลินแตกกระจาย

เศษตันเถียนที่แตกกระจายเหล่านี้รวมกับเป็นหยดสีทองพร้อมกับพลังปราณจากเม็ดยาเทียนหลี่ ในไม่ช้าทุกอย่างรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างแกนสีทองที่มีขนาดเท่ากำปั้นในท้องของหวังหลิน

มีเส้นนับไม่ถ้วนกำลังเชื่อมต่อกับแกนสีทองเข้าสู่กระแสโลหิต เมื่อแกนสีทองหมุนหนึ่งครั้งเกิดพลังปราณมหาศาลปะทุขึ้น

ในเวลาเดียวกันหวังหลินลืมตาขึ้น ดวงตาเปล่งประกายสดใสขณะที่เขาข้ามผ่านธรณีประตูระหว่างขั้นพื้นฐานลมปราณและแกนลมปราณมาได้

ระหว่างเรื่องทั้งหมดนี้ ลี่มู่หวานอยู่ที่หอสมุดมามากกว่าหนึ่งเดือน ในเดือนนี้นางแทบไม่เคยจากไปไหนขณะที่ค้นหาทั้งหอสมุดเพื่อหาทางเปิดผนึก

ความจริงนางพบสามวิธีสำหรับเปิดผนึกเม็ดยาแล้ว ทว่าแต่ละวิธีนี้มีโอกาสทำให้ผลลัพธ์เม็ดยาลดลงหรือทำให้เม็ดยาไร้ประโยชน์

ลี่มู่หวานไม่อาจยอมรับความเสี่ยงนี้ได้ นางรู้สึกว่าเม็ดยานี้เป็นกุญแจที่ทำให้หวังหลินทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิด

ซุนเซินเว่ยจับตาดูการกระทำของลี่มู่หวาน เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งประหลาดเกิดขึ้นกับนางเพราะนางอยู่ในหอสมุดเป็นเวลานานแล้ว

แต่ไม่ว่าเขาจะเดาและวิเคราะห์อย่างไรก็ไม่อาจหาสิ่งใดเจอได้ ส่วนเรื่องศิษย์ชื่อหวังหลินนั้นเขาได้ปิดประตูฝึกฝนมาหนึ่งเดือนแล้วและไม่ได้ออกมาพบลี่มู่หวานเลย

กระบี่เหินที่ซุนเซินเว่ยให้หวังหลินยังไม่มีการตอบสนองใดๆ แม้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะดูปกติ ซุนเซินเว่ยยังรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งถูกปิดบังไว้

แต่เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนก่อนจะมีพิธีจับคู่ฝึกฝน เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนจากสำนักเข้ามายินดีกับเขา เขาจึงบังคับให้ทักทายด้วยและไม่ใส่ใจเรื่องนี้อีก

เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดไม่กี่คนจากสำนักเมฆาฟ้าต่างรู้ว่าลี่มู่หวานไม่ชอบความคิดการจับคู่ฝึกฝน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ตั้งคำถามว่าทำไมนางถึงได้อยู่ในหอสมุดเป็นเวลานาน พวกเขากระทั่งเปิดพื้นที่ลับที่เดิมทีเป็นเขตหวงห้ามไว้เพื่อลดความห่างเหิน

ห่างจากพิธีจับคู่ฝึกฝนอีกยี่สิบวัน ในที่สุดลี่มู่หวานก็พบวิธีหนึ่งซึ่งมีโอกาสสูงจะสำเร็จ

นางคำนวณอย่างละเอียดในใจ ด้วยวิธีนี้มีโอกาสห้าในสิบส่วนที่จะเปิดโดยไม่ทำให้เม็ดยาได้รับความเสียหาย แม้มันจะไม่สำเร็จ อันตรายต่อเม็ดยาไม่ถือว่าใหญ่มาก แต่อย่างน้อยๆโอกาสที่เม็ดยาจะไร้ประโยชน์ไปเลยก็น้อยกว่าวิธีอื่นทั้งหมด

เมื่อเห็นว่าเวลาใกล้ขึ้นมา นางตัดสินใจใช้วิธีนี้

หลังตัดสินใจ นางบันทึกวิธีนี้ไว้อย่างรวดเร็ว ทว่านางไม่ได้จากไปทันทีแต่อ่านสิ่งอื่นอีกเล็กน้อยก่อนจะออกไป

ความจริงลี่มู่หวานบันทึกหลายสิ่งหลายอย่างระหว่างพำนักอยู่หอสมุดนี้ นางได้อ่านสิ่งที่สัมพันธ์กับผนึกเม็ดยาอยู่หลายอย่าง

เหตุผลที่นางทำเรื่องนี้ก็เพื่อหลอกคนอื่น ลี่มู่หวานไม่ใช่เด็กใหม่ในโลกแห่งเซียน ความจริงหลังจากพบประสบการณ์มามากมาย ความไหวพริบของนางแหลมคมและเยือกเย็นยิ่งขึ้น

หากนางไม่ทำเช่นนี้คงเป็นเรื่องยากมากที่จะเอาชีวิตรอดเป็นสตรีคนหนึ่งในโลกเซียนอันโหดร้ายนี้ได้

ความระมัดระวังนี้ความจริงมาจากหวังหลิน กล่าวได้ว่าลี่มู่หวานได้ความระมัดระวังจากหวังหลินระหว่างที่อยู่ในทะเลปิศาจด้วยกัน ซึ่งความระมัดระวังได้ช่วยชีวิตนางไว้หลายครั้งหลังจากทั้งคู่จากกัน

นางรู้ได้ว่าในสำนักเมฆาฟ้า มีผู้คนหลากหลายโดยเฉพาะซุนเซินเว่ยที่ต้องการรู้ว่านางกำลังค้นหาอะไรที่นี่เป็นเวลานานนัก

ซึ่งทำให้ความระมัดระวังของลี่มู่หวานต้องเล่นบทใหญ่ แม้จะมีใครสักคนมาสังเกตการณ์นางก็คงยากนักจะค้นหาได้ว่านางกำลังค้นหาอะไรอยู่จริงๆ

แม้พวกเขาจะแกะรอยการบันทึกวิชาของนาง พวกเขายังไม่อาจหาอะไรเจอได้มากนัก ระหว่างที่นางอยู่ที่นี่ลี่มู่หวานได้บันทึกหลายอย่างและสิ่งที่กล่าวถึงผนึกเม็ดยาดันเป็นเพียงจุดเล็กๆ

หลังจากนางจากไปไม่นานนัก ซุนเซินเว่ยเดินเข้าไป เขานำตราสีม่วงออกมามีคำว่า “เมฆา” ถูกขีดเขียนไว้ชัดเจน

ขณะที่ตรานี้ปรากฎ พื้นที่สามเมตรเบื้องหน้าเขาบิดเบือนทันทีขณะที่มีบุรุษสองคนในชุดคลุมสีเทาเดินออกมา ทั้งสองมองไปที่ตราและคุกเข่าลงบนพื้น “ศิษย์สำนักภายนอกขอคารวะคำสั่งเมฆา”

“หอคัมภีร์แห่งนี้ถูกป้องกันด้วยสำนักภายนอกเสมอมา พวกเจ้าพบอะไรบ้างระหว่างที่สะกดรอยลี่มู่หวานที่นี่?” ใบหน้าซุนเซินเว่ยไม่อ่อนโยนอีกแต่เผยแววลึกลับ

หนึ่งในชายชุดเทากระซิบขึ้น “ผู้อาวุโสลี่ค้นหาทุกพื้นที่ตั้งแต่สูตรยาไปจนถึงผลกระทบของตัวยา จากการสังเกตการณ์ของศิษย์ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น”

ซุนเซินเว่ยขมวดคิ้ว เขาไม่เชื่อว่าลี่มู่หวาจะเสียเวลาเป็นเดือนเพื่อหาอะไรสุ่มๆ เขาขบคิดเล็กน้อยจากนั้นถามขึ้น “นางบันทึกอะไรไหม?”

ชายชุดเทาอีกคนกล่าวขึ้น “นางบันทึกแต่ว่าเป็นไปแบบสุ่มพอๆกัน ราวกับผู้อาวุโสลี่ไม่ได้มีเป้าหมายจริง ทว่ามีความเป็นไปได้อีกอย่าง”

ดวงตาซุนเซินเว่ยเรืองแสงขึ้น “กล่าวมา”

ชายชุดเทากล่าวอย่างใจเย็น “ผู้อาวุโสลี่ฉลาดและระมัดระวังตัวมาก นางรู้เสมอว่ามีคนสอดแนมนางดังนั้นจึงจงใจซ่อนการค้นหาของนางไว้ในของเหล่านั้น หากเรื่องนี้เป็นความจริงนับว่านางทำสำเร็จ”

ซุนเซินเว่ยหายใจออก เขาเดาบางอย่างขึ้นได้แล้วแต่นึกขึ้นได้ว่าเหลือเวลาอีกยี่สิบวัน เขาต้องการจะเห็นจริงๆว่าลี่มู่หวานจะทำอะไรได้

ซุนเซินเว่ยไม่ได้กลัวสหายของลี่มู่หวานอีกต่อไป ระหว่างพิธีจับคู่ฝึกฝนจะมีบรรพชนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดในตอนนั้นอีกหลายคน หากคนผู้นั้นพยายามสร้างปัญหา ท่านบรรพชนต้องไม่นิ่งดูดายแน่

หลังจากหวังหลินบรรลุขั้นแกนลมปราณ เขาใช้เม็ดยาอีกหลายขวด ขณะที่กลยุทธ์เทพโบราณได้ดูดซับพลังปราณทั้งหมดในเม็ดยา ระดับฝึกฝนของเขาก็พุ่งทะยานและผ่านขั้นแกนลมปราณระดับต้นไปสู่ระดับกลาง

แต่หวังหลินยังรู้สึกว่าความเร็วนี้ช้าเกินไป เขาเมินเฉยผลลัพธ์ที่ตามมาและใช้เม็ดยาต่อไปแต่กลับรู้สึกว่าประสิทธิภาพของเม็ดยาลดลง

ลี่มู่หวานบอกเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่ใช้เม็ดยามากเกินไป(tl: ติดยาแล้วหวังหลิน) ปรากฎการณ์เป็นสิ่งลึกลับอย่างมากแม้ว่าพลังปราณทั้งหมดยังอยู่ในเม็ดยา แต่ขณะที่พลังปราณเข้าไปในร่างหวังหลิน พลังปราณส่วนใหญ่จะหายไปก่อนที่กลยุทธ์เทพโบราณจะถูกกระตุ้นเสียอีก

ปรากฎการณ์นี้เรียกกันว่ากำแพงร่างกาย

นี่คือปัญหาหนึ่งที่ใครก็ตามบริโภคเม็ดยาเข้าไปจำนวนมากจะพบเจอและวิธีแก้ทางเดียวคือใช้เม็ดยาล้ำมากขึ้น

ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางอื่น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหนกำแพงนี้จะยังคงอยู่ในร่างกาย

หลังบริโภคเม็ดยาต่อเนื่องกันหลายวัน กำแพงร่างกายจึงเกิดขึ้นในร่างหวังหลินแต่เขาไม่ได้หยุดใช้เม็ดยาในตอนนั้นและลี่มู่หวานยังรับเรื่องนี้ไปวิเคราะห์ด้วย

ความจริงด้วยปรมาจารย์ด้านการปรุงยาเช่นลี่มู่หวาน หวังหลินไม่จำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับเม็ดยาเลยเพราะนางได้เตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างเพรียบพร้อมหมดแล้ว

หวังหลินหยิบขวดหนึ่งจากบนพื้นขึ้นมา ขวดนี้เป็นกุญแจสำคัญในการผ่านกำแพงร่างกาย ชื่อของขวกนี้เรียกขานกันว่าเม็ดยาทำลายกำแพงร่างกาย แม้ว่าจะถูกเรียกเช่นนั้นแต่มันไม่ได้ลบกำแพงร่างกายออกจริงๆ มันเป็นเพียงแค่เม็ดยาที่ลี่มู่หวานสร้างขึ้นจากวัตถุดิบบางส่วนที่หายากมากซึ่งช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซับผลของเม็ดยาได้ดีขึ้น

หากมองเพียงแค่อันดับ เม็ดยานี้เป็นเพียงเม็ดยาอันดับหนึ่งแต่หากมองคุณสมบัติของมันนับได้ว่าผลลัพธ์มหัศจรรย์ทีเดียว

หลังใช้เม็ดยานี้ หวังหลินจึงนำหลายขวดขึ้นมาและกลืนเม็ดยาทั้งหมดข้างในอย่างรวดเร็ว แม้ว่าความเร็วที่พลังปราณจะกระจายตัวออกไม่ได้ช้าลง แต่อัตราที่ร่างกายหวังหลินดูดซับพวกมันได้เพิ่มขึ้นมหาศาล

สำหรับคนธรรมดาแล้วแม้ว่ามันจะเพิ่มอัตราการดูดซับ แต่ก็เพียงรู้สึกได้ว่าการดูดซับพลังปราณเร็วขึ้นเล็กน้อย

แต่ด้วยกลยุทธ์เทพโบราณของหวังหลิน อัตราที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นนั้นเพียงพอให้ดูดซับพลังปราณขนาดใหญ่ได้ซึ่งตามปกติมันจะสูญหายไป

ด้วยวิธีนี้ระดับฝึกตนของหวังหลินก้าวกระโดดจากขั้นแกนลมปราณระดับกลางไปสู่ระดับปลาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ถึงจุดสูงสุดของระดับปลายแต่เขาก็ใกล้กับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดอย่างมาก

แต่เม็ดยาที่ลี่มู่หวานให้เขามาทั้งหมดถูกใช้ไปแล้ว

วันนี้หวังหลินตื่นจากการฝึกฝนในมิติลูกปัด เขาสัมผัสได้ว่ามีการเรียกจากเจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋ว จากการตกลงกันไว้กับลี่มู่หวานจึงรู้ได้ว่านั่นหมายถึงนางพบหนทางการเปิดผนึกแล้ว

หวังหลินยืนขึ้นและก้าวไปข้างหน้า ร่างกายพลันจางหายไปราวกับทะลวงผ่านช่องว่างและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

ในสวนแห่งหนึ่งของลานทิศเหนือ เศษแสงสีทองปรากฎจากพื้นที่ร่างและรวมกันกลายเป็นรูปร่างมนุษย์คนหนึ่ง ในไม่ช้าร่างนั้นชัดเจนขึ้นจนเผยออกมาเป็นร่างหวังหลิน

ขณะที่หวังหลินปรากฎกาย ดวงตาสว่างขึ้นขณะที่เขามองกระบี่เหินที่ทิ้งไว้บนพื้น เขาสะบัดแขนและหยิบกระบี่ขึ้น มันมีกฎเกณฑ์ที่สร้างจากสัมผัสวิญญาณวางไว้บนตัวกระบี่เหิน กฎเกณฑ์ค่อนข้างฉลาด แต่เขาสงสัยว่ากฎเกณฑ์นี้ไว้สำหรับสังเกตการณ์

หวังหลินโยนกระบี่ออกไปและมันติดอยู่ในพื้น เขาเปิดประตูห้องพร้อมกับเดินออกไปทางประตูทางเข้าลาน

แต่ขณะเดียวกันนั้น การก้าวของเขาหยุดลงเมื่อประตูได้เปิดขึ้นอย่างเงียบๆและโจวหลินเดินเข้ามา

หลังเขาเห็นหวังหลิน สายตาจึงเพ่งพินิศทันที เขาตรวจพบว่าความแตกต่างในตัวหวังหลินทันที กล่าวได้ว่าก่อนที่เขาจะปิดด่านฝึกตน หวังหลินมีระดับเพียงแค่ขั้นรวบรวมลมปราณระดับสาม แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถมองเห็นระดับฝึกตนของหวังหลินได้ แม้ตอนนี้หากหวังหลินไม่มีระดับขั้นแกนลมปราณระดับปลาย เขาจะคิดว่าอย่างน้อยก็ขั้นกลางแน่ๆ เขายิ้มอย่างขื่นขมและกล่าวขึ้น “ตอนนี้อาจารย์กำลังถูกเฝ้าดู นางบอกให้ข้าพาเจ้าเพื่อไปพบ”

หวังหลินมองโจวหลินอย่างสงบนิ่งและพยักหน้า

โจวหลินเดินเข้ามาในสวนและปิดประตู เขามองหวังหลินด้วยใบหน้าซับซ้อนและกล่าวขึ้น “นี่…ข้าควรเรียกว่าท่านลุง…ยังสิ…ลืมซะเถอะ นับที่ท่านเป็นสหายของอาจารย์ ท่านก็คือลุงของข้า ท่านลุงโปรดมาทางนี้”

โจวหลินส่ายศีรษะ ตามจริงเขายังปิดประตูฝึกฝนอยู่แต่ได้รับข้อความหนึ่งจากลี่มู่หวานให้ออกมาก่อนกำหนด โจวหลินเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกลี่มู่หวานช่วยชีวิตไว้และเขาติดตามนางมานับตั้งแต่นั้น เขาเต็มไปด้วยความเคารพและความกตัญญูต่อลี่มู่หวาน

จากประโยคของลี่มู่หวาน เขาจึงตระหนักได้ว่าศิษย์ที่เขารับมาคือสหายของนาง จึงทำให้เขาใช้เวลานานมากเพื่อเรียบเรียงความคิดทั้งหมดนี้ในหัว จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมหลังจากเขาเห็นระดับฝึกฝนของหวังหลินจึงเพียงแต่ตกใจและไม่ประหลาดใจ เขาเพียงแค่คาดเดาว่าระดับฝึกตนของหวังหลินเป็นเช่นนี้เสมอและเขาซ่อนไว้ครั้งก่อน

โจวหลินมาถึงข้างหน้าห้องของตัวเอง เขาสะบัดแขนและประตูส่องแสง หลังจากนั้นจึงเปิดออกมา

โจวหลินหันไปมองหวังหลินและเดินเข้าห้อง

หวังหลินไม่ได้ขยับเยื้อนแต่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและลอบวางกฎเกณฑ์ที่เขาสามารถกระตุ้นเวลาไหนก็ได้บนร่างโจวหลิน เพียงหลังจากทำเช่นนั้นจึงเดินเข้าไปในห้อง

หวังหลินระวังตัวต่อทุกๆคน แม้โจวหลินจะดีกับเขามาก่อนและเป็นศิษย์ของลี่มู่หวาน เมื่อถึงคราวต้องระวังตัวเขาไม่เคยสะเพร่า

ภายใต้การตรวจสอบของสัมผัสวิญญาณ​เขาพบเพียงความผันผวนพลังปราณจากเตาปรุงยาและนอกจากนั้นดูปกติดี

ขณะที่โจวหลินเข้าไปในห้อง เขาจับกระเป๋าและนำหยกสามชิ้นออกมา พลันวางไว้ใต้เตาปรุงยา เขาก้าวถอยหลังเล็กน้อยขณะสร้างผนึกไม่กี่อย่างขึ้นและพุ่งเข้าหาเตาปรุงยา เตาปรุงยาเรืองแสงและจมลงไปสามนิ้วบนพื้น

โจวหลินสูดหายใจลึกและคว้าเตาปรุงยา หลังหมุนเตาปรุงยาไม่กี่ครั้ง ลำแสงหนึ่งปรากฎบนกำแพงเบื้องหน้าเขา

ลำแสงนี้เคลื่อนไหวราวกับมังกรตัวหนึ่งกำลังสะบัดหาง มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและในไม่ช้าก็สร้างค่ายกลขึ้นมาแห่งหนึ่ง

โจวหลินก้าวถอยหลังสองสามก้าวและกล่าวอย่างเคารพ “ค่ายกลนี้เชื่อมต่อกับห้องลับที่อาจารย์ได้เตรียมไว้และไม่มีคนนอกรู้เรื่องนี้ ท่านลุงโปรดเข้าไป ศิษย์จะยืนระวังภัยไว้ที่นี่และรายงานต่อท่านลุงหากเกิดอะไรผิดปกติ”

หวังหลินไม่เคลื่อนไหวแต่จ้องไปที่ค่ายกลบนกำแพง ผ่านไปชั่วขณะเขาจึงมองโจวหลิน “อาจารย์ของเจ้าอยู่ในห้องลับหรือ?”

โจวหลินลอบถอนหายใจ เขารู้ว่าหวังหลินไม่เชื่อเขาพลันยิ้มอย่างขมขื่นขณะนำหินหยกก้อนหนึ่งขึ้นมา “นี่เป็นหินหยกที่อจารย์ให้ศิษย์ไว้ ท่านลุงโปรดดู”

หวังหลินมองดูหินหยกและตรวจสอบ เขามองโจวหลินจากนั้นเดินเข้าหากำแพง ขณะที่สัมผัสกับกำแพง ร่างกายเขาหายวับไปทันที

ใบหน้าของโจวหลินเป็นปกติเหมือนเดิมขณะที่เขาหมุนเตาปรุงยาและทำให้ค่ายกลหายไป เขาวางสมุนไพรบางส่วนเข้าไปในเตาปรุงยาและเริ่มจดจ่อกับการปรุงยา แต่ในความจริงเขากระจายสัมผัสวิญญาณออกเพื่อหากมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเขาจะแจ้งอาจารย์ทันที

โจวหลินไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของหวังหลินกับอาจารย์ตนเอง แต่เขารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีตอนนี้มาจากลี่มู่หวาน ดังนั้นหากลี่มู่หวานต้องการให้เขาทำอะไร เขาจะทำทั้งหมดด้วยความเต็มใจ

เขารู้ได้ว่าอาจารย์ต้องทำบางสิ่งลึกลับที่เกี่ยวข้องกับพิธีจับคู่ฝึกตนในอีกยี่สิบวัน เมื่อเขาเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว เขาจะถูกลากเข้าไปสู่เรื่องนี้เช่นกัน

เมื่อหวังหลินปรากฎตัวอีกครั้ง เขาเห็นลี่มู่หวาน

เบื้องหน้าเขาคือห้องหนึ่งห้อง แม้ว่าห้องนี้ไม่ได้กว้างมากแต่สายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่สิ่งหนึ่งในห้องนั่นก็คือเตาปรุงยา บนยอดเตาปรุงยามีมังกรดำเจ็ดตัว ตอนนี้มังกรทั้งเจ็ดกำลังพ่นควันม่วงขึ้นไปเบื้องบนอย่างช้าๆและควบแน่นกลายเป็นบอลม่วงหนึ่งลูก

ภายในบอลม่วงคือเตาปรุงยาขนาดเล็กที่มีกระดาษสีเหลืองใบหนึ่งแปะไว้ สายตาลี่มู่หวานจดจ้อไปที่เตาปรุงยา ใบหน้านางเคร่งเครียด เมื่อนางเห็นหวังหลินจึงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ข้างบนคือห้องโถงหลักสี่เหลี่ยมของสำนักเมฆาฟ้า การเปิดผนึกเม็ดยานี้เราจะเป็นจะต้องยืมพลังของเจ็ดเตาปรุงยาชิงสวรรค์”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version