Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 223

Cover Renegade Immortal 1

223. เปิดผนึกเม็ดยา

ต้นกำเนิดของเตาปรุงยาชิงเจ็ดสวรรค์เป็นเรื่องลึกลับมาก ข่าวลือว่าผู้ก่อตั้งสำนักทั้งเก้าคนสร้างมันขึ้นมา มันถูกผนึกใต้ภูเขาสำนักเมฆาฟ้าเพื่อรอให้เหล่าศิษย์สามารถเรียกมันออกมา

แต่ไม่ว่าผู้ก่อตั้งจะแข็งแกร่งเช่นไร เขาก็ยังไม่ใช่ขั้นตัดวิญญาณเนื่องมาจากอันดับของแคว้น แต่พลังของเตาปรุงยาถือว่ามหาศาล ดังนั้นการใช้คำว่า “ชิงสวรรค์” ไม่นับว่าผิดซะทีเดียว

ในบันทึกโบราณของสำนักเมฆาฟ้า เตาปรุงยาชิงสวรรค์ทั้งหมดเก้าเตาเป็นของปลอม ผู้ก่อตั้งของสำนักเมฆาฟ้าเพียงเห็นเตาของจริงเพียงครั้งเดียวและจำเค้าโครงและลวดลายไว้ในใจ จากนั้นจึงสร้างของปลอมขึ้นจากความทรงจำของเขา

เหตุผลที่ทำไมมีเตาปรุงยาถึงเก้าเตาก็เพราะระดับฝึกฝนของผู้ก่อตั้งไม่ได้สูงพอที่จะสร้างเตาปรุงยาที่รวบรวมสิ่งที่เขาจำไว้ทั้งหมดได้ ดังนั้นจึงต้องสร้างเตาปรุงยาเก้าเตาเพื่อรวบรวมไว้ทั้งหมด

เป็นผลให้เตาปรุงยาชิงสวรรค์มีทั้งหมดเก้าเตา

ความลึกลับอีกมุมหนึ่งของเตาปรุงยาชิงสวรรค์ก็คือพวกมันไม่สามารถทิ้งห่างระยะของภูเขาสำนักเมฆาฟ้าได้เลย หากมันอยู่ห่างเทือกเขาจะกลายเป็นเพียงแค่เศษเหล็ก ปรากฎการณ์นี้ทำให้แคว้นอันดับสูงกว่าเข้ามาเพื่อสำรวจแต่กลับไม่พบเจออะไร ทว่าเพราะเหตุนี้พวกเขาจึงยกเลิกความคิดขโมยและสนับสนุนสำนักเมฆาฟ้าแทน

เพราะฉะนั้นสำนักเมฆาฟ้าจึงได้พัฒนาอย่างรวดเร็วและกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในแคว้นซู

ลี่มู่หวานมีใบหน้าเคร่งเครียดขณะที่นางจดจ้องควันที่พ่นออกมาจากมังกรทั้งเจ็ดบนเตาปรุงยา นางกระซิบ “การเปิดผนึกเม็ดยา เราต้องการพลังปราณและวันเวลาที่เหมาะสม เราต้องยืมพลังปราณจากเตาปรุงยาชิงสวรรค์เจ็ดเตาตอนที่มันถูกใช้”

ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่ง เขายืนถัดต่อลี่มู่หวานและมองดูเตาปรุงยาพลันกระซิบขึ้น “สำนักเมฆาฟ้าได้ปรุงเม็ดยาทุกหนึ่งเดือนหรือ?”

ลี่มู่หวานพยักหน้าเบาๆ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ใช่แล้ว เตาปรุงยาชิงสวรรค์สามารถใช้ได้ช่วงเวลาหนึ่งต่อหนึ่งเดือนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด มีเพียงเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้ได้ เม็ดยาหายากบางชนิดต้องการเตาปรุงยาชิงสวรรค์เพื่อปรุงมันขึ้นมา”

หวังหลินพยักหน้าเบาๆ เขาชี้ไปที่เตาปรุงยาที่มีเศียรมังกรเจ็ดหัวเบื้องหน้าและถามขึ้น “นี่ก็คือเตาปรุงยาชิงสวรรค์หนึ่งเตาหรือ?”

ลี่มู่หวานเผยรอยยิ้มภูมิใจและกล่าวอย่างมีเสน่ห์ “เตานี้ไม่ใช่เตาปรุงยาชิงสวรรค์ แต่ผลลัพธ์ของมันเหมือนกัน เตาปรุงยานี้หวานเอ๋อร์สร้างขึ้นอย่างลับๆหลังจากใช้เวลาทั้งหมดหลายปีเพื่อเรียนรู้เตาปรุงยาชิงสวรรค์ เดิมทีนี่เป็นแผนต่อต้านสำนักหากพวกเขาตัดสินใจทำร้ายข้า ซึ่งหากพวกเขาทำ หวานเอ๋อร์จะใช้เตาปรุงยานี้ให้ส่งผลต่อเตาปรุงยาเจ็ดเตาระหว่างการปรุงยาเม็ดหนึ่งและเปลี่ยนเม็ดยานั้นให้กลายเป็นฝุ่น ซึ่งจะทำให้ปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดเข้าไปในเตาปรุงยาด้วย จนทำให้เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดยุ่งยากวุ่นวายเพื่อพยายามซ่อมแซมเตาปรุงยา นอกจากนี้เตาปรุงยาเหล่านั้นเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา”

หวังหลินยิ้ม เขาพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอีกขณะจ้องเตาปรุงยา ผ่านไปนานในที่สุดเขาถามขึ้น “เจ้าพึ่งพูดว่าเหนือขึ้นไปที่นี่คือเตาปรุงยาชิงเจ็ดสวรรค์ เช่นนั้นแสดงว่ามีพลังปราณหลายพันปีกักเก็บอยู่ในนั้นหรือ?”

ลี่มู่หวานตกตะลึง นางกล่าวขึ้น “นั่นเป็นเรื่องจริง มีพลังปราณหลายพันปีในเตาปรุงยาเหล่านั้น มีแต่จะมากกว่าและไม่น้อยกว่าเพราะว่าเตาปรุงยาเหล่านั้นได้ใช้ปรุงยามาหลายพันปี หลังปรุงเม็ดยาแต่ละเม็ดจึงมีพลังปราณบางส่วนหลงเหลืออยู่ในเตา”

ดวงตาหวังหลินสว่างสดใสขึ้นทันที เขาหมุนรอบวงกลมที่เตาปรุงยาเจ็ดเศียร จากนั้นสัมผัสอย่างอ่อนโยน มันส่งเสียงคมชัด

เขาไม่ได้หันศีรษะและถามขึ้น “เจ้าสามารถขโมยพลังปราณจากเตาปรุงยาชิงสวรรค์เหนือเราด้วยเตาปรุงยาตัวนี้ได้หรือไม่?”

ดวงตาลี่มู่หวานเบิกกว้างขณะที่นางเข้าใจว่าหวังหลินหมายถึงอะไรและถามขึ้น “ท่านต้องการฝึกฝนในเตาปรุงยานี้หรือ?”

หวังหลินหันไปรอบๆ เขายิ้มให้ลี่มู่หวานและกล่าวขึ้น “ใช่แล้ว หากข้าฝึกฝนในเตาปรุงยานี้มันน่าจะมีประสิทธิภาพทุกอย่าง ทว่ามันไม่ใช่ด้วยร่างอวตารนี้แต่เป็นร่างหลักของข้า”

ใบหน้าลี่มู่หวานกลายเป็นประหลาดใจ ขณะที่นางกำลังจะพูด ปริมาณควันสีม่วงที่ออกมาจากเศียรมังกรเพิ่มขึ้นทันที ควันปริมาณมากมายลอยขึ้นไปสร้างเป็นก้อนเมฆสีครึ้มเหนือเตาปรึงยา

ภายในก้อนเมฆสีดำมีเตาปรุงยาที่มีผนึกเม็ดยาแปะไว้ เตาปรุงยาเรืองแสงสีแดงและผนึกเม็ดยาเริ่มกระพือขึ้นลง

ขณะเดียวกันนั้นบนพื้นดินเหนือห้องนี้ เหล่าผู้อาวุโสสำนักเมฆาฟ้ากำลังจดจ้องบนท้องฟ้าเพื่อคำนวณเวลาระหว่างวัน

เหล่าผู้อาวุโสคือปรมาจารย์ด้านการปรุงยาของสำนักเมฆาฟ้าและหนึ่งในนั้นเป็นหนึ่งในสามนักปรุงยาอันดับห้า โอวหยางจื่อ

โจวหยางจื่อเดิมทีเป็นศิษย์ของหัวหน้าสำนักภายใน แต่เขาเต็มใจยกเลิกโอกาสการกลายเป็นหัวหน้าสำนักเพื่อเพ่งความสนใจทั้งหมดบนศาสตร์แห่งการปรุงยาแทน

ความชอบทางด้านการปรุงยาของเขาได้บรรลุถึงระดับที่จินตนาการไม่ถึง เขาไม่สนใจเกี่ยวกับระดับฝึกฝนหรือพลัง กล่าวได้ว่าเขาไม่ใส่ใจสิ่งใดเลยนอกเหนือจากการปรุงยา

เป้าหมายในชีวิตของโอวหยางจื่อก็คือการปรุงเม็ดยาอันดับเก้าในตำนาน

แต่เป้าหมายของเขาไกลเกินจะเอื้อมถึง แม้กระทั่งแคว้นเซียนอันดับหกเพียงปรุงได้แค่เม็ดยาอันดับหก มีอัจฉริยะจำนวนน้อยนิดที่บางครั้งสามารถสร้างเม็ดยาอันดับเจ็ดขึ้นมาได้

เพราะความยากของการปรุงยาคือความแม่นยำ สำนักเมหาฟ้าถูกปกป้องโดยสำนักมารยักษ์จากแคว้นอันดับสี่ กล่าวได้ว่าเม็ดยาอันดับห้าเป็นขีดจำกัดที่แคว้นอันดับสี่สามารถปรุงขึ้นมาได้

ความสามารถทั้งหมดนี้ได้แสดงถึงความสำคัญของสำนักเมฆาฟ้าต่อสำนักมารยักษ์

โอวหยางจื่อเป็นนักปรุงยาอันดับห้าที่บรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้น หากเขาไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การปรุงยา เขาคงได้บรรลุระดับปลายไปแล้วและกลายเป็นหนึ่งในบรรพชนของสำนัก

แม้ว่าเขาจะมีเพียงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้น แต่สถานะของเขาสูงส่งมากกว่าลี่มู่หวานที่เป็นคนนอก

วันนี้เขากำลังปรุงยาอันดับห้า เขาได้เตรียมการเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว นอกจากเขาเองก็ยังขอให้อีกหกคนมาช่วยเขาด้วยบวงสรวง

การบวงสรวงเป็นวิชาปรุงยาวิชาหนึ่งที่โอวหยางจื่อคิดค้นขึ้นเอง

ในความคิดเขาการปุงยาเป็นการกระทำที่ท้าทายสวรรค์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องบวงสรวงซึ่งมันคล้ายกับพิธีบวงสรวงสรวรรค์ของเทพโบราณ​เพียงแต่การบวงสรวงนี้เขาทำเพื่อสร้างเม็ดยา

โอวหยางจื่อมีศีรษะที่เต็มไปด้วยผมสีขาวและดูแก่ชรามาก แต่ดวงตาเปล่งประกายแสงปิศาจ เขาปล่อยกลิ่นอายอันลี้ลับที่ทำให้นักปรุงยาอีกหกไม่มีใครกล้ามองเขาตรงๆ

กล่าวได้ว่าแสงปิศาจนี้เป็นความสามารถที่มีผลต่อวิญญาณ แต่หากใช้ในการปรุงยามันจะทำให้คนผู้นั้นสามารถเห็นภายในเตาปรุงยาได้

เขาได้รับความสามารถนี้มาตอนที่กินเม็ดยาเนตรปิศาจ เม็ดยาเนตรปิศาจเป็นเม็ดยาที่ลึกลับมาก มีเพียงหนึ่งในสิบคนที่กินเม็ดยาจะสามารถได้รับสายตาแบบนี้ได้ ทุกคนที่ล้มเหลวจะตาบอด

เม็ดยาที่โหดร้ายเช่นนั้นกลับมีประสิทธิภาพดีมาก หากสามารถดูดซับเม็ดยาเนตรปิศาจได้สำเร็จก็จะได้เนตรปิศาจมา

เนตรปิศาจเป็นหนึ่งเหตุผลที่เขาสามารถก้าวได้ไกลบนเส้นทางการปรุงยา

ปัจจุบันโจวหยางจื่อกำลังสวมชุดคลุมยาวสีเทาขณะจ้องไปบนท้องฟ้า หลังจากนั้นเขาขมวดคิ้วและกล่าวขึ้น ”ตอนที่ข้าปรุงเม็ดยา ข้าเกลียดคนที่กำลังเฝ้าดู จ้าวสำนักหนุ่มน้อย เจ้าไม่รู้เรื่องนี้หรือ?”

คนสามคนเดินออกมาจากโถงหลัก หนึ่งในนั้นเป็นจ้าวสำนักของสำนักภายใน เขายิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวขึ้น “ข้าไม่ได้บอกพวกท่านแล้วหรือว่าตอนที่ท่านพี่อาวุโสปรุงเม็ดยา เขาไม่อนุญาติให้คนอื่นเฝ้าดู”

เช่นนั้นเขาคารวะโอวหยางจื่อและกล่าวขึ้น “ท่านพี่อาวุโส แขกสองคนนี้เป็นเซียนจากแคว้นเทียนหวู่ พวกเขาต้องการเห็นการปรุงยาของท่านพี่อาวุโส ท่านพอจะบอก…”

สองคนเบื้องหลังเขาทั้งคู่ผอมสูงแต่เปล่งกลิ่นอายที่ทรงพลังมาก เป็นเรื่องแน่นอนว่าระดับฝึกฝนของทั้งสองคนสูงอย่างยิ่ง

โอวหยางจื่อขมวดคิ้ว เขากล่าวอย่างเย็นชา “ไปซะ!”

ใบหน้าจ้าวสำนักคงเดิมแต่แขกอีกสองคนเปลี่ยนสีหน้า พวกเขาเผยใบหน้าเยาะเย้ยแต่ไม่ได้ทำอะไรและจากไป

จ้าวสำนักเมฆาฟ้านามว่า หยวนเทียน ได้บอกทั้งสองก่อนหน้านี้แล้วแต่กลับยืนยันที่จะมา หลังถอนหายใจออก เขาก็มากับทั้งสองคนและเริ่มสนทนากัน

ในสายตาของเขา ทั้งสองคนมาที่นี่เพื่อซื้อเม็ดยาและข้อเสนอที่น่าสนใจอย่างมาก ดังนั้นเขายังจำเป็นต้องอำนวยความสะดวกสักเล็กน้อย

หลังจากทั้งสามจากไป โอวหยางจื่อคำนวณเวลาต่อ ผ่านไปสิบลมหายใจดวงตาจึงสว่างขึ้น ฝ่ามือสร้างผนึกหลายชุดขณะกระโดดขึ้นไปบนอากาศและปล่อยลำแสงเจ็ดเส้นไปบนเตาปรุงยาทั้งเจ็ดเตา

เส้อคลุมยาวพัดกระพือในสายลมสร้างภาพลักษณ์ที่ดูยิ่งใหญ่ นักปรุงยาทั้งคนหกมองเขาด้วยความยกย่อง

เตาปรุงยาชิงสวรรค์ทั้งเจ็ดเตาเริ่มขยับหลังจากแสงส่องไปถึง พวกมันหมุนในวงกลมราวกับมีมือยักษ์ข้างหนึ่งเคลื่อนไหวจากข้างบน

เตาปรุงยาหกเตาหมุนเป็นวงกลมพร้อมกับเตาที่เจ็ดอยู่ใจกลาง

ในเวลาเดียวกันในห้องลับใต้ผืนดิน เตาปรุงยามังกรของลี่มู่หวานก็ตอบสนองด้วยเช่นกัน

ลี่มู่หวานสูดหายใจลึก นางกัดนิ้วเล็กน้อยและสร้างผนึกหลายอย่างขึ้นทันที นางส่งผนึกไปที่เตาปรุงยาเจ็ดมังกร มังกรทั้งเจ็ดเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตและลอยรอบห้อง พวกมันทั้งหมดม้วนขึ้น

ในไม่ช้ามังกรเจ็ดตัวเปลี่ยนเป็นเตาปรุงยาลวงตา มังกรหกตัวสร้างเป็นวงกลมหนึ่งขณะที่ตัวที่เจ็ดรวมเข้ากับเตามังกรของลี่มู่หวาน

ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นโดยไม่ต้องพูด เขาสะบัดแขนและส่งวงกลมมายาไปที่พื้น จากนั้นสร้างผนึกพร้อมกับตะโกน “ร่างหลักปรากฎ!”

ร่างหวังหลินผมสีขาวและมีดวงดาวสีม่วงบนหน้าผากปรากฎผ่านวงกลมมายาขึ้นโดยไร้สิ้นเสียง

ขณะที่ปรากฎตัว ทั้งห้องลับกลายเป็นหนาวเย็น กระทั่งเตาปรุงยาลวงตาในอากาศได้พร่ามัวเล็กน้อย

ลี่มู่หวานจ้องร่างหลักของหวังหลินด้วยความปรารถนา ไม่นานนักสายตานางสว่างขึ้น นี่เป็นคนที่นางรอคอยมามากกว่าสองร้อยปี ร่างอวตารห่างไกลกับร่างหลักของเขามากนัก

หลังจากร่างหลักปรากฎกาย เขาเดินไปที่ใจกลางห้อง เมื่อมาถึงเบื้องหน้าเตาปรุงยามังกร เขาหันมามองลี่มู่หวาน หัวใจลี่มู่หวานรู้สึกหนาวเหน็บหลังจากมองสายตาเย็นชาดวงนั้น นางคุ้นเคยอย่างมากกับสายตาคู่นี้ มันเป็นสายตาเดียวกันที่หวังหลินมีตอนที่ทั้งคู่พบเจอกันเมื่อสองร้อยปีก่อน หลังผ่านมาสองร้อยปีดวงตาอันหนาวเหน็บนี้ยิ่งรุนแรงมากกว่าเมื่อก่อนนัก

ลี่มู่หวานสูดหายใจลึกและรีบสร้างผนึก ภายใต้การควบคุมของนาง ฝาครอบเตาปรุงยาค่อยๆเลื่อนออกด้านข้าง

ร่างหลักของหวังหลินกระโดดเข้าไปในเตาปรุงยาและเริ่มฝึกฝนโดยไม่ลังเล ไม่นานนักฝาครอบเตาปรุงยาได้ปิดลงอีกครั้ง

เวลานี้ที่พื้นด้านบนห้องลับ โอวหยางจื่อยกแขนทั้งสองข้างและอ้าแขนกว้างขึ้น จากนั้นเขาพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง เพียงครู่เดียวเขาจ้องไปที่เตาปรุงยาในใจกลาง ทันใดนั้นควันสีเขียวออกมาจากเตาจนมันสร้างเป็นแขนยักษ์ที่เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

โอวหยางจื่อสูดหายใจลึกและนำกระเป๋าออกมา เขาโยนสมบัติสวรรค์เข้าไปในแขนยักษ์นับไม่ถ้วน

จากนั้นแขนยักษ์ปิดลงและกลายเป็นควันสีเขียวพร้อมกับกลับเข้าไปในเตา

ดวงตาโอวหยางจื่อสว่างขึ้นพลันร้องตะโกน “บวงสรวงเม็ดยา! บวงสรวงแรก เม็ดยาโลหิตมารอันดับสี่!”

เมื่อกล่าวจบ หนึ่งในนักปรุงยาหกคนก้าวมาเยื้องหน้าและตบกระเป๋า ขวดหยกสีขาวปรากฎออกมาจากกระเป๋า เขาเดินมาถึงหนึ่งในหกเตาและทำลายผนึกบนขวด เขารินเม็ดยาสีแดงโลหิตอย่างระมัดระวัง ขณะที่เม็ดยาปรากฎ พื้นที่ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

ขณะนี้ใบหน้าชายคนนั้นซีดเล็กน้อย แขนขวาสั่นเทาขณะกุมเม็ดยา แต่ว่าเขากัดฟันกรอดและวางเม็ดยาเข้าไปในเตาหนึ่งในหกนั้น

เมื่อเม็ดยาเข้าไปในเตาปรุงยา เสียงคำรามดังก้องออกมาจากเตาหลังจากนั้นแสงสีแดงโลหิตพุ่งขึ้นมาบนอากาศทันทีสร้างเป็นเสาแสงทะลุสู่ท้องฟ้า

ฉากเหตุการณ์เดียวกันนี้ปรากฎในห้องลับเมื่อหนึ่งในเตาปรุงยาลวงตาซึ่งสร้างจากหนึ่งในมังกรพวกนั้นได้ปล่อยเสาสีแดงออกมาหนึ่งเสา นอกจากขนาดนแล้วแสงสีแดงของเสาเหมือนกับที่อยู่ข้างนอก

ดวงตาหวังหลินลุกวาวขณะมองฉากเบื้องหน้า “นี่มันวิชาปรุงยารูปแบบไหนกัน?”

ดวงตาลี่มู่หวานเต็มไปด้วยนับถือขณะที่นางกระซิบ “วิธีปรุงยานี้โอวหยางจื่อคิดค้นขึ้นมาเอง เขาเรียกมันว่าการบวงสรวง โดยพื้นฐานแล้วเขาใช้เม็ดยาอันดับสี่หลายชนิดเพื่อสร้างเม็ดยาอันดับห้า แม้ว่าโอกาสสำเร็จไม่ได้สูงมากแต่มันยังสูงกว่ากรรมวิธีปกติ”

ณ ตอนั้นที่เหนือพื้นดิน ดวงตาโอวหยางจื่อสว่างขึ้นและตะโกน “บวงสรวงครั้งที่สอง เม็ดยาลั่วหลินอันดับสี่”

อีกคนหนึ่งมาถึงเตาปรุงยาถัดไป เขานำเม็ดยาสีน้ำเงินออกมาและวางในเตาอย่างระมัดระวัง

ทันใดนั้นเสาแสงสีน้ำเงินปรากฎจากเตาปรุงยานั้น

หลังจากนั้นโอวหยางจื่อให้คนทั้งหมดออกมาและวางเม็ดยาอันดับสี่อีกสี่เม็ดไว้ในเตา ตอนนี้เสาแสงหกต้นได้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เสาแสงนี้สามารถเห็นได้แม้กระทั่งนอกเทือกเขาสำนักเมฆาฟ้า

โอวหยางจื่อกังวลอย่างมาก เขาจ้องไปที่เตาปรุงยาตรงกลางและพึมพำ “มันต้องสำเร็จ! มันต้องสำเร็จ! หากข้าสำเร็จจะมีเม็ดยาอันดับห้าสามเม็ด รวมกับเม็ดยาอันดับห้าอีกสามเม็ดที่จ้าวสำนักมี ข้าจะมีหก ด้วยจำนวนนี้ข้าสามารถใช้การบวงสรวงเม็ดยาอันดับห้าและอยากจะลองชิมเม็ดยาอันดับหกเหลือเกิน”

เขาจ้องเตาปรุงยาด้วยแววตาเรืองแสงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังสูดหายใจลึกไปหนึ่งคราจึงตะโกนขึ้น “ทั้งหกคน การปรุงยาเริ่มขึ้นแล้ว!”

นักปรุงยาหกคนเผยแววตาตื่นเต้น หากครั้งนี้สำเร็จเขาจะมีส่วนช่วยสร้างเม็ดยาอันดับห้าซึ่งเป็นเรื่องที่นักปรุงยาทั้งหมดใฝ่ฝัน

ทั้งหกคนกระโดดขึ้นไปบนอากาศและลอยเหนือเตาปรุงยาของตน พวกเขานั่งขัดสมาธิในเสาแสงและพลังปราณในร่างกายเคลื่อนไหวรุนแรง

โอวหยางจื่อไม่ลังเลเลย ร่างกายร่อนลงบนยอดเตาปรุงยาอันสุดท้ายและหลับตาลง

ขณะนั้นในห้องใต้ดิน เตาปรุงยาลวงตาทั้งหกเตาเปล่งเสาแสงออกมาด้วยตัวเองเช่นกัน

ใจกลางเสาแสงเหล่านี้เป็นเตาปรุงยาที่มีผนึกเม็ดยาแปะไว้ ข้างล่างผนึกเม็ดยาเป็นเตาปรุงยาที่ลี่มู่หวานสร้างขึ้นพร้อมกับมีร่างกายหลักของหวังหลินอยู่ข้างใน

แม้ว่าร่างกายหลักของหวังหลินจะอยู่ข้างในเตาแต่ตอนนี้ไม่ได้ดูดซับพลังปราณอันใดขณะที่ทุกสิ่งได้ถูกเตรียมพร้อมเพื่อเปิดผนึกเม็ดยาไว้อยู่แล้ว เรื่องการดูดซับพลังปราณหวังหลินจะรอจนกว่าผนึกเม็ดยาได้เปิดออก

ใบหน้าลี่มู่หวานเคร่งเครียด ฝ่ามือนางสร้างผนึกอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเข้าไปในเตาปรุงยาตามลำดับ หลังจากนั้นไม่นานเศษแสงนับไม่ถ้วนออกมาจากเสาแสงทั้งหมดและเข้าสู่ผนึกเม็ดยาที่อยู่ตรงกลาง

เศษพลังปราณเหล่านี้ถูกลี่มู่หวานขโมยมาจากการบวงสรวงเม็ดยาอันดับสี่ และเป็นเหตุผลเรื่องการใช้พลังปราณจำนวนมากเปิดผนึกได้ถูกแก้ไข

ความจริงแล้วลี่มู่หวานเพียงต้องการสองสิ่งเพื่อเปิดผนึกเม็ดยา หนึ่งในนั้นคือสถานที่ นางจำเป็นต้องใช้สถานที่หนึ่งซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังปราณ ปัญหานี้จึงถูกแก้ไขโดยโอวหยางจื่อ

ตอนนี้ทั้งสองต้องรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อเปิดผนึก

นอกจากเรื่องสถานที่ สิ่งจำเป็นอย่างที่สองก็คือเวลา โดยต้องเปิดผนึกในเวลาเดียวกันตอนที่มันถูกผนึกเท่านั้นถึงจะเป็นเวลาที่เหมาะสม

ยิ่งเวลาแตกต่างกันเล็กน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเกิดความเสียหายต่อเม็ดยาได้น้อยมากขึ้น ยิ่งเวลาแตกต่างกันมากจะยิ่งเกิดความเสียหายมาก

หวังหลินรู้เรื่องทั้งหมดนี้หลังจากลี่มู่หวานอธิบาย คำถามของเขาตอนนี้ก็คือ แล้วเวลาที่ถูกต้องในการเปิดผนึกคือเวลาอะไรกันหล่ะ?

ลี่มู่หวานตรวจสอบหนังสือหลายเล่มและพบเวลาหนึ่ง นั่นคือเวลาเลยเที่ยงคืนมาสี่สิบห้านาที

กล่าวได้ว่าเวลาที่ดีที่สุดในการปรุงยาหรือผนึกเม็ดยานั้นเป็นเวลาที่หยินและหยางแยกออกจากกัน และนั่นคือเวลาผ่านเที่ยงคืนมาสี่สิบห้านาที

แน่นอนว่าวิธีนี้ใช้เฉพาะตอนที่ปรุงเม็ดยาที่ล้ำค่ามากๆ สำหรับเม็ดยาธรรมดา ผู้คนไม่คิดจะใส่ใจมันด้วยซ้ำ

แต่การคาดเดานี้ไม่ได้แม่นยำมากนัก ความจริงมีนักปรุงยาบางคนที่กลัวคนอื่นโขมยเม็ดยาของตนเอง พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงเวลาตอนผนึกเม็ดยา ซึ่งทำให้แม้จะมีคนขโมยผนึกเม็ดยาไปได้ พวกเขาจะไม่มีสามารถเปิดมันได้โดยไม่รู้เวลาที่ถูกต้อง

วิธีการของลี่มู่หวานก็คือใช้วิธีการชักนำพลังปราณจำนวนมหาศาลให้กดดันตัวยาไว้เกินขีดจำกัด ซึ่งจะทำให้การเปิดผนึกเม็ดยาจะลดประสิทธิภาพตัวยาลงเล็กน้อย

ด้วยวิธีนี้ ตราบใดที่เวลาไม่แตกต่างกันมากจากตอนถูกผนึก ผนึกเม็ดยาจะลบออกและเม็ดยาข้างในจะได้รับความเสียหายน้อยลงอย่างมากเมื่อเทียบกับวิธีปกติ แต่หากเวลาแตกต่างกันมากเกินไปมันจะทำให้เม็ดยาไร้คุณค่าไปเลย

ใบหน้าลี่มู่หวานเคร่งเครียดขณะที่นางกระซิบหาหวังหลิน “เพราะการคงอยู่ของเตาปรุงยานี้จะทำให้โอกาสสำเร็จของโอวหยางจื่อไม่สูงนัก จากนิสัยของเขา เขาจะใช้วิชาบวงรวงโลหิตซึ่งจะเกิดพลังปราณระเบิดออกมา และนั่นจะเป็นเวลาเปิดผนึกของเรา”

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ตอนนี้ที่พื้นดินด้านบน โอวหยางจื่อลืมตาขึ้น เขารับรู้ได้ว่าพลังปราณในบริเวณนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่มีพลังปราณเพียงพอที่จะสร้างเม็ดยาอันดับห้า

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญกับสถานการเช่นนี้ ตอนนี้เขาถึงจุดสำคัญในกระบวนการปรุงยา ดังนั้นเขาไม่มีเวลาพอจะคิดเรื่องอื่น แสงอันหนาวเหน็บวูบวาบผ่านนัยน์ตาขณะที่เขาตะโกนก้อง “บวงสรวงโลหิต!”

ใบหน้าของนักปรุงยาหกคนรอบๆต่างเปลี่ยนไปแต่ในไม่ช้าพวกเขาพลันมีท่าทีมุ่งมั่น พวกเขาทั้งหมดต่างระเบิดแกนพลังของตนเองโดยไม่ลังเล เสียงระเบิดเกิดขึ้นออกมาเป็นชุดพร้อมกับพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหมอกโลหิต เป็นผลให้พลังปราณเพิ่มขึ้นในทันที

พลังปราณในบริเวณนี้พุ่งทะลุถึงขีดสูงสุด ดวงตาโอวหยางจื่อสว่างขึ้นขณะที่ฝ่ามือสร้างผนึกแห่งหนึ่งและส่งมันไปที่เตาปรุงยาเบื้องหน้า เตาปรุงยาเริ่มดูดซับพลังปราณในบริเวณรอบๆอย่างบ้าคลั่ง ในไม่นานแม้กระทั่งแสงจากเสาทั้งหกต้นได้เริ่มบรรจบเข้าหาเตาปรุงยาตรงกลาง

ใบหน้าโอวหยางจื่อเคร่งเครียดมากกว่าเดิม ตอนนี้อยู่ในช่วงระหว่างความสำเร็จและล้มเหลว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการให้มีการผิดพลาดเกินขึ้น เขาล้มเหลวหลายครั้งมาก่อนดังนั้นจึงป้องกันความผิดพลาดไว้

ขณะนั้นเองในห้องใต้ดิน ลี่มู่หวานชี้ไปที่คิ้วตนเองและพ่นหยดของแกนโลหิตออกมา หยดโลหิตนี้ลอยขึ้นไปใจกลางเตาปรุงยาทั้งหกเตา ทันใดนั้นเตาปรุงยาทั้งหมดสั่นระริกขณะที่เสาแสงพุ่งชนกันและเคลื่อนเข้าหาเตาปรุงยาตรงกลาง

เตาปรุงยาปลดปล่อยแสงสีรุ้งออกมา ภายใต้แรงกดดันของพลังปราณทั้งหมด ผนึกเม็ดยาจึงค่อยๆม้วนขึ้นจนมันม้วนออกจากเตาปรุงยาในที่สุด

ในเวลาเดียวกันเกิดแรงกดดันจำนวนที่ไม่อาจจินตนาการได้ออกมาจากพลังปราณในเตาปรุงยา เป็นผลให้เตาปรุงยาระเบิดและเม็ดยาสีฟ้าทรงกลมได้ปรากฎออกมา

แต่ขณะนั้นเสียงปริแตกเกิดขึ้นและรอยร้าวปรากฎบนตัวยา

“เม็ดยาวิญญาณอันดับเจ็ด!!!” ลี่มู่หวานเบิกตากว้าง แม้ว่านางจะเตรียมตัวไว้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version