Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 224

Cover Renegade Immortal 1

224. สร้างวิญญาณเซียน

ลี่มู่หวานจ้องเม็ดยาพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง “มีบางสิ่งผิดปกติ หากมันเป็นเม็ดยาอันดับเจ็ดมันควรจะมีปฏิกิริยาสักอย่าง ทำไมถึงไม่มีปฏิกิริยากัน?”

หวังหลินคว้าอากาศด้วยแขนขวา เม็ดยาลอยเข้าไปในแขนและเขาตรวจสอบมันอย่างละเอียด

เม็ดยานี้เป็นสีฟ้าสว่างและพลังปราณรั่วไหลออกมาจากรอยแตกบนตัวยาซึ่งเพิ่มความหนาแน่นให้กับพลังปราณในห้อง

หวังหลินมองลี่มู่หวานและถามขึ้น “นี่คือเม็ดยาอันดับเจ็ดหรือ?”

ลี่มู่หวานก้าวไปข้างหน้าและยืนถัดจากหวังหลิน นางนำเม็ดยาจากมือเขามาและตรวจสอบอย่างละเอียด นางถอนหายใจและกล่าวออกมา “กล่าวให้พูดต้องเม็ดยานี้คือเม็ดยาอันดับเจ็ดแบบไม่สมบูรณ์ มันสูงกว่าเม็ดยาอันดับหกก็จริง แต่เราเปิดผนึกโดยใช้เวลาคลาดเคลื่อนเยอะเกินไปซึ่งทำให้เม็ดยาเกิดรอยร้าว หากเราเปิดได้ถูกต้อง มันต้องสูงกว่าอันดับเจ็ด สำนักฉีฮวงเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นอันดับสี่ดังนั้นพวกเขาต้องสร้างเม็ดยาที่สูงกว่าอันดับห้าไว้อยู่จากนั้นจึงผนึกมัน จากที่มองดูผนึกแล้วมันต้องถูกผนึกไว้อย่างน้อยหลายพันปี”

ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะที่เขาจ้องเม็ดยา “เจ้ารู้ไหมว่านี่คือยาอะไร?”

ลี่มู่หวานครุ่นคิดชั่วครู่ ดวงตานางสว่างขึ้นและกล่าวออกมา “สำนักฉีฮวงมีเม็ดยาสามชนิดที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย หากหวานเอ๋อร์เดาถูก นี่คือเม็ดยาเมฆาฟ้า ซึ่งควรจะพาท่านทะลวงผ่านขั้นแกนลมปราณได้”

หวังหลินขบคิดเล็กน้อย หลังนำยามาจากลี่มู่หวานเขาจึงกล่าวขึ้น “รอข้านะ!”

ลี่มู่หวานพยักหน้า นางมองหวังหลินอย่างอ่อนโยนและพูดขึ้น “ท่านผ่อนคลายได้ แม้ท่านจะล้มเหลว หวานเอ๋อร์จะทำลายเตาปรุงยาชิงสวรรค์ทั้งเจ็ดเตา หากน้องทำเช่นนั้น พวกเจาจะไม่ตามล่าเราแน่”

แสงเยือกเย็นวาบผ่านดวงตาหวังหลิน เขากล่าวอย่างสงบนิ่ง “เรื่องพวกนี้ไม่ควรจะเป็นเรื่องลำบาก” สิ้นคำเขานั่งลงข้างหน้าเตาปรุงยาพลันชี้นิ้วไปที่คิ้วตนเองและหายไป

ลี่มู่หวานกัดริมฝีปากล่าง หากนางออกจากบ้านเป็นเวลานานจะเกิดความสงสัยขึ้นได้ หลังขบคิดชั่วขณะ นางจึงสะบัดแขนบนกำแพงและค่ายกลหนึ่งปรากฎขึ้น ลี่มู่หวานเดินผ่านค่ายกลและหายไปจากห้อง

ขณะนั้นบนพื้นเหนือห้องลับ การปรุงยาของโอวหยางจื่อได้มาถึงจุดสิ้นสุด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะพึมพำกับตนเอง หลังผ่านไปนานเขาส่งเสียงฮึดฮัดพร้อมกับกระโดดขึ้นไป พลันสะบัดแขนและฝาเตาปรุงยาลอยออกมา

ชั่วขณะนั้นท้องฟ้าได้เปลี่ยนสี ท้องฟ้ามืดก่อนหน้านี้ได้สว่างขึ้นขณะที่เม็ดยาสีทองลอยออกมาจากภายในเตาปรุงยา

วิญญาณหกดวงปรากฎออกมารอบเม็ดยาอย่างช้าๆ ดวงวิญญาณทั้งหมดนี้คือคนที่บวงสรวงตนเอง พวกเขานั่งขัดสมาธิพร้อมกับลอยรอบๆเม็ดยา

ใบหน้าโอวหยางจื่อมีความเคร่งขรึมพร้อมกับคารวะสองมือและตะโกนก้อง “ทั้งหมดต้องขอบคุณสหายเซียนทั้งหกที่ช่วยสร้างเม็ดยาของข้าได้สำเร็จ ข้าไม่สามารถตอบแทนพวกท่านได้เพียงพอ เม็ดยานี้จะเรียกว่าเม็ดยาวิญญาณหกเต๋า สื่อถึงชื่อเสียงของพวกท่าน”

ขณะที่ประโยคนี้กล่าวออกไป ดวงวิญญาณทั้งหกดวงมีสีหน้ายินดี บางส่วนมองเม็ดยาด้วยความไม่เต็มใจขณะที่ทั้งหมดหายวับไป

ขณะเดียวกันเม็ดยาเคลื่อนลงอย่างช้าๆและถูกโอวหยางจื่อคว้าไว้ แม้ว่าใบหน้าจะสงบนิ่งแต่เขาตื่นเต้นในใจและคิดขึ้น “ในที่สุดข้าก็สำเร็จ! ตอนนี้ข้าจะสามารถปรุงเม็ดยาอันดับหกได้แล้ว!”

สำหรับหวังหลิน เขานั่งในมิติลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า ฝึกฝนพร้อมกบจ้องเม็ดยาในฝ่ามือ หลังผ่านไปชั่วครู่ เขาเผยใบหน้ามุ่งมั่นและโยนเม็ดยาเข้าไปในปาก

ขณะที่เม็ดยาเข้าไปในปากพลันเปลี่ยนเป็นพลังปราณสีฟ้าหนึ่งเส้น เส้นสีฟ้าได้เดินทางผ่านร่างกายของหวังหลิน กลยุทธ์เทพโบราณต่างดูดกลืนพลังปราณอันไร้ที่สิ้นสุดของเส้นสีฟ้านี้

ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันที่แกนพลังของหวังหลินหมุนตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับเติบโตขึ้น

เสี้ยวพลังปราณสีม่วงค่อยๆปรากฎในแกนพลังของเขาช้าๆ พลังปราณสีม่วงถูกรวบรวมในแกนพลังมากขึ้นและมากขึ้น ในที่สุดระดับฝึกฝนของเขาก็มาถึงขั้นแกนลมปราณระดับปลายสูงสุด

ตอนนี้ระดับฝึกฝนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมๆกับแกนพลังเติบโตใหญ่ขึ้น ไม่นานนักของเหลวสีทองหยดออกมาจากแกนพลังราวกับกำลังละลาย

ร่างกายกลายเป็นโปร่งใสเพื่อให้เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกาย

หวังหลินสงบนิ่งมากขณะที่เพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การฝึกฝนพร้อมกับรอให้เกิดการสร้างวิญญาณเซียน

สำหรับหวังหลินแล้วความหมายของการสร้างวิญญาณเซียนของเขาแตกต่างกับคนอื่นอย่างมาก

เมื่อเขาสร้างวิญญาณเซียนของตนเองได้สำเร็จ แผนการของเขาก้าวแรกจะสำเร็จไปด้วย หลังจากนั้นเขาจะรวมร่างอวตารเข้ากับร่างหลัก จากนั้นใช้ร่างอวตารของตนเองนี้เพื่อทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิดบนร่างหลัก

เมื่อร่างหลักสามารถทะลวงผ่านเข้าสู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้ เมื่อนั้นขอบเขตจวี่ของเขาจะเกิดการพัฒนาครั้งแรกเช่นกัน ถึงตอนนั้นเขาจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นซู

แม้กระทั่งในทะเลปิศาจ เขาจะมีความสามารถในการก่อตั้งสำนักของคนเองและต่อต้านเซียนขั้นตัดวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบ

สิ่งสำคัญก็คือเขามีความสามารถในการกลับไปแคว้นจ้าวเพื่อแก้แค้นได้ เถิงฮว่าหยวน ชื่อนี้เป็นชื่อที่หวังหลินเกลียดมามากกว่าสี่ร้อยปี ความเกลียดของเขาไม่สามารถอธิบายได้อีกต่อไป หากใครกล้าขวางเส้นทางของเขา คนผู้นั้นจะต้องจ่ายราคาด้วยโลหิต

หวังหลินไม่รู้ว่าผ่านมาสี่ร้อยปีเถิงฮว่าหยวนจะมีระดับฝึกฝนที่ขั้นไหน แต่ตราบใดที่เขาไม่ได้บรรลุขั้นตัดวิญญาณ เมื่อหวังหลินผ่านถึงขั้นวิญญาณแรกกำเนิด โชคชะตาของเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

หวังหลินไม่เชื่อว่าในสี่ร้อยปี เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นจะสามารถทะลวงไปถึงขั้นตัดวิญญาณได้ กล่าวได้ว่าหลังจากขั้นวิญญาณแรกกำเนิด แม้จะเป็นเพียงด่านเล็กๆมันก็ยากที่จะทะลวงได้

โลกแห่งเซียนเหมือนกันพีรามิด ยิ่งขึ้นไปสูงก็ยิ่งมีคนอยู่น้อย

ในระดับชั้นการฝึกเซียนเจ็ดขั้นซึ่งก็คือขั้นรวบรวมลมปราณ พื้นฐานลมปราณ แกนลมปราณ วิญญาณแรกกำเนิด ตัดวิญญาณ แปลงวิญญาณ และแสวงหาสวรรค์ ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเป็นกำแพงที่หากใครสามารถผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้นั่นหมายถึงได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเซียนที่แท้จริงและสามารถไปถึงยอดแห่งโลกเซียนได้

นอกเหนือจากการแก้แค้น มีสิ่งหนึ่งที่เร่งเร้าให้เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นนั่นก็คืออันตรายจากชายผมแดงในดินแดนเทพโบราณ

เขาเชื่อว่าด้วยความคิดอันชาญฉลาดของชายผมแดง เขาจะค้นหาทางเพื่อหนีออกจากดินแดนเทพโบราณได้ เมื่ออกมาได้สิ่งแรกที่เขาจะทำคือค้นหาหวังหลิน

หลังรวมกับมรดกแห่งปัญญา หวังหลินรู้สึกได้ว่ามีความคิดเขาได้เปลี่ยนไปอย่างช้าๆในทุกวัน มันคือการเปลี่ยนแปลงทางความคิดซึ่งทำให้เขามีเส้นแบ่งความคิดของเทพโบราณมากขึ้นและมากขึ้น

ก่อนที่เขาจะเข้าสู่โลกแห่งการฝึกตน ความฝันใหญ่สูงสุดของหวังหลินคือการผ่านการสอบภูมิภาค ทำให้ครอบครัวภูมิใจและมีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดี แต่เมื่อลุงสี่ให้โอกาสเขาไปเป็นเซียน ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนไป ก่อนหน้านั้นเขาคิดว่าเมืองที่อยู่ใกล้หมู่บ้านเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด ส่วนเมืองหลวงเขาไม่เคยคิดถึงหรือเคยเห็นมันมาก่อน

เมื่อเขาเข้ามาในโลกแห่งการฝึกตน เป้าหมายของเขาคือการเป็นเซียน ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้เรียนรู้ว่าแคว้นจ้าวเป็นเพียงแคว้นเล็กๆในดาวเคราะห์แห่งนี้เท่านั้น

จากนั้นมีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างได้บังคับให้หวังหลินหาเส้นทางที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเสมอ เป้าหมายของเขาคือกลับไปแคว้นจ้าวและแก้แค้น หลังผ่านแคว้นหนึ่งไปอีกแคว้นหนึ่ง เส้นขอบฟ้าของหวังหลินขยายออกกว้างขึ้น เขาพบว่าพื้นดินที่ยืนอยู่เรียกกันว่าดาวเคราะห์ซูซาคุและแคว้นจ้าวเป็นเพียงแคว้นเซียนอันดับสามเท่านั้น เหนือจากนั้นยังมีอันดับสี่ อันดับห้าและกระทั่งแคว้นอันดับหก

เขารู้ได้ว่าผู้คุมกฎตัวจริงของดาวเคราะห์ซูซาคุก็คือแคว้นซูซาคุ

หลังได้รับมรดกแห่งปัญญามา เส้นขอบฟ้าจึงขยายออกอีกครั้ง จักรวาลอันกว้างใหญ่มีดาวเคราะห์นับไม่ถ้วนเหมือนดาวเคราะห์ซูซาคุ ขนาดและพลังอำนาจของเทพโบราณสามารถทำลายดาวเคราะห์ได้อย่างง่ายๆซึ่งทำให้หวังหลินรู้สึกมึนชา

ในขณะนั้นความคิดหวังหลินเปลี่ยนไปและเป้าหมายของเขาคือแสวงหาระดับฝึกตนที่สูงขึ้น มีเพียงการกลายเป็นผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะเอาตัวรอดในโลกแห่งการฝึกฝนนี้ได้

กล่าวได้ว่าชั่วขณะนั้น หวังหลินได้ทำลายเป้าหมายการแก้แค้นของเขาและเปลี่ยนมันเป็นเป้าหมายของการบรรลุถึงระดับฝึกตนที่สูงขึ้น เป็นความคิดของคนที่ดื้อรั้นจะก้าวขึ้นไปและเป็นคนที่ต้องการแสวงหาขีดจำกัดความแข็งแกร่งตนเอง

ความคิดนี้คือสิ่งที่คนแข็งแกร่งต้องมีตลอดเวลา

หลังผ่านไปสิบวัน หวังหลินออกมาจากมิติฝืนลิขิตฟ้า ขณะที่เขาปรากฎตัวได้รวมเข้ากับร่างกายหลักในเตาปรุงยา ขณะนั้นเองเศษเสี้ยวพลังปราณได้เริ่มดึงลงมาจากเตาปรุงยาชิงสวรรค์ทั้งเจ็ดเตาเหนือพื้นที่ห้องลับ

ร่างหลักและร่างอวตารอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการรวมร่าง หากเกิดบางสิ่งผิดปกติที่นี่ ความพยายามทั้งหมดที่ทำมาจะสูญเปล่า ตอนนี้หวังหลินสงบนิ่งอย่างมาก เขาดูดซับการหลอมรวมร่างหลักและร่างอวตารอย่างสมบูรณ์แบบ

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ นอกจากขอบเขตจวี่ มีอีกสิ่งหนึ่งที่ป้องกันหวังหลินไว้ก็คือพรสวรรค์ของเขาเอง ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ ไม่มีใครรู้แน่ชัดจริงๆ

พลังปราณหลายพันปีที่ถูกเก็บไว้ในเตาปรุงยาชิงสวรรค์ทั้งเจ็ดเตาได้ค่อยๆถูกหวังหลินสูบเข้ามา กลยุทธ์เทพโบราณของเขาดูดซับพลังปราณทั้งหมดราวกับหลุมดำ

ขณะที่ร่างหลักรวมเข้ากับร่างอวตาร กลยุทธ์เทพโบราณได้เปลี่ยนแปลงขนานกันไปด้วย ในระดับแรกของกลยุทธ์เทพโบราณมีเพียงแค่การกลืนกินเท่านั้น

ระดับสองคือการดูดซับ

การกลืนกินและการดูดมีระดับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การกลืนกินหมายถึงพลังงานทุกรูปแบบที่เข้ามาในร่างกายจะถูกกลืนไปและถูกหวังหลินใช้ สิ่งนี้นับเป็นการใช้โดยอัตโนมัติหรือที่เรียกกันว่าสภาวะติดตัว

การดูดซับเป็นสภาวะกระตุ้นที่ให้คนผู้หนึ่งสามารถดูดซับได้นอกเหนือจากการฝึกตน

ความจริงเหตุผลที่เทพโบราณแข็งแกร่งเป็นเพราะกลยุทธ์เทพโบราณที่พวกเขาครอบครองไว้ เทพโบราณทุกตนเมื่อตื่นขึ้นหลังจากการเกิด พวกเขาจะมีกลยุทธ์เทพโบราณประทับไว้ในใจอยู่แล้ว

สำหรับเทพโบราณตนหนึ่ง มีเพียงหลังข้ามมาถึงกลยุทธ์เทพโบราณระดับสองเท่านั้นจึงจะมีความสามารถในการโจมตีแข็งแกร่งเพียงพอ พลังปราณทั้งหมดภายในระยะหลายลี้จะถูกดูดซับโดยใช้วิชาระดับสองและใช้การกลืนกินจากขั้นแรกเพื่อหมุนวนไม่รู้จบ

แต่กลยุทธ์เทพโบราณเป็นสิ่งที่เป็นของเหล่าเทพโบราณเท่านั้น หากหวังหลินได้รับสืบทอดมรดกแห่งอำนาจ เขาจะสามารถบรรลุระดับสองได้เลย แต่ด้วยร่างมนุษย์ธรรมดาของเขานับว่ายากเกินไป

แม้ว่ากลยุทธ์เทพโบราณของหวังหลินมีบางสิ่งแตกต่างกันหากเทียบกับระดับสองของจริง มันนับว่าไม่มีอะไรเลย

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและก็ถึงวันที่ลี่มู่หวานและซุนเซินเว่ยจะทำพิธีจับคู่ฝึกฝน

ในวันนี้ทั้งสำนักเมฆาฟ้าเต็มไปด้วยบรรยากาศรื่นเริง ไม่มีก้อนเมฆในระยะหลายลี้ในสำนัก ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและแสงนับไม่ถ้วนลอยเข้าหาสำนัก

สำนักแทบทุกแห่งและตระกูลเซียนทุกตระกูลในแคว้นซูต่างรวมตัวกันที่นี่ ทุกคนที่มาที่นี่คือผู้อาวุโสและคนสำคัญของแต่ละสำนักหรือตระกูลเท่านั้น บรรยากาศรูปแบบนี้เป็นสิ่งที่สำนักเมฆาฟ้ามีเท่านั้น หากเป็นสำนักอื่นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้น

เป็นเพราะมีแขกหลายคนเกินไป ค่ายกลป้องกันสำนักเมฆาฟ้าจึงขยายออกเพื่อปกคลุมทั้งเทือกเขา ศิษย์สำนักส่วนนอกจำนวนมากมายต่างส่งออกมาลาดตระเวณขณะที่ทำความเคารพเหล่าแขกทั้งหมดไปด้วย

กล่าวได้ว่าตำแหน่งของลี่มู่หวานในสำนักเมฆาฟ้าค่อนข้างพิเศษ นอกจากนั้นนางยังเป็นหนึ่งในสามนักปรุงยาอันดับห้าของสำนัก ตำแหน่งซุนเซินเว่ยเป็นที่รู้จักกันอย่างดี เขาเป็นถึงลูกชายของผู้อาวุโสสำนักชั้นนอกซึ่งมีระดับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลางและเป็นเพียงคนเดียวในรอบหลายสิบปีที่อาจจะทำลวงผ่านไปถึงขั้นปลายได้ซึ่งจะกลายเป็นหนึ่งในบรรพชนของสำนัก

นอกเหนือจากเรื่องทั้งหมดนี้ สำนักชั้นนอกต่างคาดหวังซุนเซินเว่ยไว้สูง เมื่อเขาบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด จะมีเรื่องให้เขาทำหลายอย่าง พร้อมกันนั้นจะเป็นนหนึ่งในตัวเลือกหัวหน้าสำนักชั้นนอกคนต่อไป หากพ่อของเขากลายเป็นบรรพชนของสำนักได้สำเร็จ เช่นนั้นการเป็นหัวหน้าสำนักชั้นนอกเป็นเรื่องที่แน่นอน

ไม่เช่นนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจับคู่ลี่มู่หวานสำหรับพิธีจับคู่ฝึกฝนได้ อีกนัยยะหนึ่งสำนักชั้นในได้ผูกมัดลี่มู่หวานไว้เพื่อให้สำนักชั้นนอกปูทางซุนเซินเว่ยให้กลายเป็นหัวหน้าสำนักชั้นนอก

แขกผู้มาเยี่ยมทั้งหมดต่างรู้เรื่องนี้ดี กล่าวได้ว่าพิธีนี้คือการที่สำนักชั้นในและชั้นนอกได้สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน

นอกจากนั้นสำนักเมฆาฟ้าได้แบ่งออกเป็นสองส่วน สำนักชั้นในฝึกฝนศาสตร์การปรุงยา ขณะที่สำนักชั้นนอกฝึกฝนระดับบ่มเพาะ มีเพียงเพราะการที่ทั้งสองสำนักร่วมมือกันจึงทำให้สำนักเมฆาฟ้าสูงส่งมาจนถึงวันนี้

ซุนเซินเว่ยกำลังสวมชุดคลุมยาวสีแดง ความสูงและท่วงท่าตรงทำให้เขาดูสุภาพพร้อมกับบรรยากาศเยือกเย็น เขากำลังยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสของสำนักชั้นในและชั้นนอกเพื่อต้อนรับการมาเยือนของเหล่าแขก

แม้ว่าเขากำลังยิ้มแต่สายตาชักกระตุก ความจริงยิ่งเข้าใกล้วันงานพิธีเขายิ่งเคร่งเครียดราวกับมีภัยพิบัติกำลังจะเข้ามา

เขารู้สึกว่าสัมผัสนี้เป็นเรื่องไร้สาระ วันนี้เหล่าบรรพชนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายทั้งหมดออกมาจากการปิดด่านฝึกฝนเพื่อเข้าร่วมงานพิธี หากมีใครกล้าสร้างปัญหา ความตายเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่

เว้นแต่ว่าระดับฝึกฝนจะเป็นขั้นตัดวิญญาณ

แต่ซุนเซินเว่ยไม่เชื่อว่าเซียนขั้นตัดวิญญาณคนหนึ่งจะก้าวมายุ่งกับเรื่องสำนักเมฆาฟ้า ซึ่งมีสำนักมารยักษ์เฝ้าระวังอยู่เบื้องหลังสำนักเมฆาฟ้าแห่งนี้

ทำให้ซุนเซินเว่ยไม่อาจหาเหตุผลที่ทำให้เขาหงุดหงิดได้ เขาลอบยิ้มและคิดว่าตัวเองกำลังคิดมากเกินไป

แต่แม้ว่าเขาเขาจะกล่าวเรื่องนี้ในความคิด ก็พลันนึกถึงสายตาเยือกเย็นของคนที่พูดคุยกับลี่มู่หวาน

ชั่วขณะนั้นชายชราคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีเทาก้าวเดินมาเบื้องหน้าซุนเซินเว่ยและกระซิบ “เซินเว่ย อย่าคิดมากนักเลย หากคนที่รู้จักอาวุโสลี่ปรากฎตัวขึ้นเมื่อนั้นข้าจะทำให้เขาจ่ายอย่างสาสม ไม่ว่ามันจะมีระดับฝึกตนแข็งแกร่งเช่นไรนับว่าไร้ประโยชน์ ข้าได้พูดคุยเรื่องนี้กับจ้าวสำนักแล้ว ดังนั้นเจ้าสบายใจได้”

ชายชราพูดน้ำเสียบราบเรียบแต่แฝงไปด้วยบรรยากาศอันภาคภูมิใจ คนผู้นี้คือพ่อของซุนเซินเว่ยและเป็นผู้อาวุโสของสำนักชั้นนอก

ซุนเซินเว่ยตอบอย่างเคารพ แม้ว่าเขาจะโกหกทุกคนเกี่ยวกับเรื่องหวังหลินแต่เขาไม่ได้โกหกพ่อของตนเอง เขาได้เล่ากับพ่อตอนที่เขาเผชิญหน้ากับหวังหลินไปแล้ว

เมื่อได้ยินว่าท่านจ้าวสำนักเกี่ยวข้องด้วย เขาจึงรู้สึกมั่นใจอย่างมากพลันยกศีรษะขึ้นไปมองท่านจ้าวสำนัก เขาเห็นชายชราผมขาวหันกลับมายิ้มบางๆให้

คนผู้นี้คือจ้าวสำนักชั้นนอก ลิ่วเฟย ระดับฝึกตนของเขาลึกลับอย่างมาก กล่าวได้ว่าเขาต้องกินเม็ดยาเพื่อซ่อนระดับฝึกตนและมีระดับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดแล้ว เว้นแต่ว่ามีบางคนระดับฝึกตนสูงกว่าเขาไปหนึ่งก้าว ซึ่งนับว่ายากมากที่จะเห็นระดับฝึกตนของเขา

คนที่ยืนถัดจากชายชราคนนี้คือผู้อาวุโสผมขาวอีกคน เขาเป็นจ้าวสำนักชั้นใน ซงฉิง เบื้องหลังเขาเป็นกลุ่มผู้คนที่มีระดับฝึกตนหลากหลายระดับ แต่หากพวกเขาอยู่ในสำนักไหนก็ตาม พวกเขาจะกลายหัวหน้านักปรุงยาสำนักนั้นภายในหนึ่งวัน

“จ้าวสำนักเฮ่าหรัน ซือหม่าหยุนนานและผู้อาวุโสซิ่วลี่มาที่นี่เพื่อยินดีกับโอกาสนี้ด้วย” น้ำเสียงหนึ่งดังขึ้นจากพื้นที่ห่างไกลได้ยินตลอดทั้งเทือกเขา

ขณะเดียวกันสายรุ้งสองเส้นมาถึงพร้อมกัน สายรุ้งทั้งสองร่อนลงภายในสำนักเผยเป็นร่างสองร่าง หนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมสีม่วงและเต็มไปด้วยบรรยากาศโบราณ

คนผู้นี้คือจ้าวสำนักเฮ่าหรันนามว่า ซือหม่าหยุนนาน หลังจากเขามาถึงพลันหัวเราะและกล่าวขึ้น “พี่ซ่งและพี่ลิ่ว ยินดีด้วย!”

คนที่มาพร้อมกับเขาคือซิ่วลี่ซึ่งสวมชุดคลุมสีเขียวสว่าง ด้วยสถานะของซิ่วลี่เขาไม่สามารถกล่าวอะไรได้จึงเพียงแค่ยิ้มและคำนับ

จ้าวสำนักชั้นนอก ลิ่วเฟย พลันหัวเราะและก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว เขาคำนับ “สหายซือหม่า เราไม่ได้เจอกันมามากกว่าสิบปีแล้วสิ หากว่าสำนักข้าไม่ได้ส่งคำเชิญชวนออกไป ข้าไม่คิดว่าจะได้เห็นท่านอีกครั้งแล้ว”

จ้าวสำนักชั้นในซ่งฉิง พลันลูบคางและลก่าวขึ้น “ตาเฒ่าซือหม่า เจ้ารับคำเรื่องผลซูพันปี วันนี้ได้นำมาไหม?”

ซือหม่าหยุนนานหัวเราะ “พวกท่านทั้งสองอย่าทำให้ข้าต้องอึดอัดใจนักเลย ลืมมันไปซะเถอะ นับที่ท่านความจำดีเลิศข้าจึงนำผลซูติดตัวมาด้วย แต่ว่าข้ามีหลานชายคนหนึ่งที่กำลังสร้างแกนพลัง เช่นนั้นคงดีถ้าหากว่าท่านนำเม็ดยาธัญพืชสัก 180 เม็ดมาให้ ไม่เช่นนั้นข้าให้ผลซูไม่ได้หรอก”

ทั้งสามคนส่งเสียงหัวเราะขณะสนทนากัน หลิวเฟยสะบัดแขนและซุนเซินเว่ยรีบนำทางซือหม่าหยุนนานไปห้องโถงหลัก

ซือหม่าหยุนนานศึกษาซุนเซินเว่ยอย่างละเอียดและกล่าวขึ้น “เจ้าเป็นคนฉลาดจริงๆ ทั้งหนุ่มและยังบรรลุมาถึงประตูสู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดแล้ว เยี่ยมมาก ภายในร้อยปีสำนักเมฆาฟ้าจะมีขั้นวิญญาณแรกกำเนิดอีกคน”

ซุนเซินเว่ยยิ้มอย่างสุภาพและกล่าวขึ้น “ผู้อาวุโสใจดีเกินไปแล้ว ผู้น้อยไม่กล้ารับคำยกย่อง”

ซือหม่าหยุนหนานพยักหน้าและเดินเข้าไปห้องโถงหลักพร้อมกับซิ่วลี่

โต๊ะหลายตัวถูกจัดวางตำแหน่งในห้องโถงหลักซึ่งเต็มไปด้วยเหล้าชั้นดีและผลไม้ มีคนอยู่ข้างในหลายคนซึ่งกำลังสนทนาอยู่อย่างเป็นกันเอง

หลังซือหม่าหยุนนานมาถึงจึงช่วยไม่ได้ที่พูดคุยกับใครหลายคนพร้อมกับซิ่วลี่ ซุนเซินเว่ยก้าวถอยหลังมาอย่างเงียบเชียบและจากห้องโถง

หลังเขาจากมา ซือหม่าหยุนนางและซิ่วลี่นั่งลงบนโต๊ะใกล้ๆ พวกเขามองหน้ากันเองและซือหม่าหยุนนานถามขึ้นด้วยช่องส่งเสียงลับ “เจ้าพูดว่าคนผู้นั้นกำลังซ่อนตัวอยู่ในสำนักเมฆาฟ้าหรือ?”

ใบหน้าซิ่วลี่ยังคงปกติและตอบด้วยการส่งเสียงเช่นกัน “ท่านจ้าวสำนัก นั่นเป็นเพียงการคาดเดาของข้าซึ่งไม่ได้แม่นยำนัก คนผู้นั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายปิศาจ อีกทั้งสามเดือนก่อนมีคนลึกลับผู้หนึ่งปรากฎตัวในสำนักเมฆาฟ้าและเขาสามารถหนีออกมาภายใต้ไล่ติดตามของเซียนชั้นวิญญาณแรกกำเนิดสามคนของสำนักเมฆาฟ้า จากรายละเอียดของหน่วยสอดแนม ข้าเชื่อว่ามันเป็นคนที่ข้าเคยเจอ ส่วนเรื่องคนผู้นั้นจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่หรือไม่ ข้าไม่มั่นใจนัก”

ซือหม่าหยุนนานขบคิดเล็กน้อยและคิดขึ้น ‘หากคนผู้นี้เป็นอย่างที่ซิ่วลี่พูด เช่นนั้นเขาต้องเป็นปิศาจร้ายจากทะเลปิศาจ ฮี่ฮี่ สำนักเมฆาฟ้าได้รับความสนใจจากปิศาจร้ายจากทะเลปิศาจ แล้วจะไม่เป็นเรื่องดีต่อสำนักเฮ่าหรันของข้าได้อย่างไร?’

“เทียนยีเจิ้นเหรินและผู้อาวุโสซื่อเทียนหลาย จากสำนักลั่วเย่ขอแสดงความยินดีกับโอกาสนี้ด้วย” น้ำเสียงดังก้องดังออกมาจาทำให้ซือหม่าหยุนนางมองออกไปข้างนอก

ณ ขณะนั้นสำนักและตระกูลเซียนทั้งหมดได้มาถึง นอกจากสำนักใหญ่ที่ซุนเซินเว่ยต้อนรับด้วยตัวเอง ทุกคนต่างเริ่มมาถึงห้องโถงหลักแล้ว

ไม่นานนักทั้งห้องโถงหลักจึงเกือบจะแน่นขนัดขณะที่มีเสียงพูดคุยกันดังออกมา คนบางส่วนที่เข้าสังคมน้อยได้นั่งลงในมุมหนึ่งกับพวกตนเองหรือไม่ก็หลับตาฝึกฝนไปด้วย

รอบๆกำแพงของโถงหลักมีศิษย์สำนักชั้นนอกยืนอยู่หนึ่งแถวซึ่งทั้งหมดเป็นเซียนขั้นแกนลมปราณหรือระดับสูงกว่า พวกเขายืนหลังตั้งตรงกับต้นสนขณะที่มองไปข้างหน้า

หลังจากนั้นไม่นานหลิวเฟยและซ่งฉิงเดินเข้าสู่โถงหลัก เบื้องหลังเขาเป็นผู้อาวุโสหลายสิบคน ตามมาโยซุนเซินเว่ยรวมถึงลี่มู่หวานที่มีผ้าคลุมหน้าสีม่วง

หลังจากพวกเขาเข้ามา เหล่าแขกของสำนักและตระกูลเซียนหลากหลายทั้งหมดต่างหยุดพูดคุยและหันไปมองพวกเขา

ในห้องโถงหลัก หลิวเฟยมองไปที่ซ่งฉิง เขายิ้มขึ้นและก้าวถอยหลังเล็กน้อย ซ่งฉิงพยักหน้า สายตากวาดผ่านทั้งโถงหลักและกล่าวขึ้น “สหายเซียนทั้งหลาย วันนี้เป็นวันหนึ่งของการเฉลิมฉลองสำหรับสำนักเมฆาฟ้าของข้า…”

เขายังไม่ทันได้พูดจบก่อนที่พื้นดินจะเริ่มสั่นไหวขณะที่แรงกดดันขนาดมหึมาปรากฎจากใต้พื้นดิน ภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดในห้องโถงต่างยืนขึ้นด้วยความหวาดกลัว พวกเขากระจายสัมผัสวิญญาณของตัวเองลงไปใต้พื้นดินเพื่อมองหาว่าเกิดอะไรขึ้น

สายตาลี่มู่หวานเผยแววตาอ่อนโยน นางรู้ว่าหวังหลินมาแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version