Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 225

Cover Renegade Immortal 1

225. นำสิ่งนี้ไปปรุงยา

ในห้องลับใต้โถงหลักสี่เหลี่ยมข้างบน รอยร้าวปรากฎบนฝาเตาปรุงยาที่ลี่มู่หวานสร้างขึ้น เสียงดังปัง รอยร้าวขยายออกจากฝาลงสู่ตัวเตาปรุงยา

ในเวลาเดียวกันลำแสงสายรุ้งรั่วไหลออกมาจากรอยแตก ลำแสงสว่างขึ้นและสว่างขึ้นพร้อมกับที่รอยร้าวแตกมากขึ้น ทั่วทั้งห้องลับปกคลุมไปด้วยแสงสีรุ้ง ขณะนั้นทั้งห้องราวกับแดนสวรรค์ปกคลุมไปด้วยแสงสีรุ้งไร้ที่สิ้นสุด

เสียงดังออกมามากขึ้นและรอยร้าวปรากฎบนเตาปรุงยามากกว่าเดิม แขนข้างหนึ่งยื่นออกมาจากเตาปรุงยาพร้อมกับเสียงปัง! เตาปรุงยาระเบิดกระจัดกระจายไปทั้งห้อง

ชายหนุ่มผมสีขาวปลิวไสวออกมาจากเตาปรุงยา ร่างกายสลับระหว่างโปร่งใสและเด่นชัด เขาหลับตาขณะที่วงกลมแสงนับไม่ถ้วนรวบรวมไว้รอบๆหลัง หากมองใกล้ๆแล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายโปร่งใสวูบวาบจะเห็นคนตัวเล็กที่ดูเหมือนเขาอยู่ใจจุดตันเถียน คนตัวเล็กนี้เรืองแสงสีรุ้งและดูลึกลับอย่างมาก

ร่างกายกำลังเปลี่ยนไประหว่างโปร่งใสและชัดเจนพร้อมๆับเปล่งแรงกดดันจำนวนมหาศาล หลังเวลาผ่านไปนานชั่วครู่ร่างกายจึงหยุดเปลี่ยนไปและเริ่มชัดเจนมากขึ้น

ทันใดนั้นเขาลืมตาซึ่งพร้อมกับคนตัวเล็กลืมตาเช่นกัน สายตาของคนตัวเล็กไม่มีรูม่านตาแต่ดูเหมอืนจะถูกสายฟ้าแดงทดแทน มันไม่ใช่เพียงแค่สายฟ้าสายเดียวแต่เป็นก้อนเมฆสายฟ้าแดง

พลังทำลายล้างสายหนึ่งออกมาจากสายฟ้าแดงและแสงสีรุ้งทั้งหมดในห้องหายไปทันที พวกมันหนีขึ้นไปข้างบน

ลำแสงสายฟ้าแดงนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวรอบห้องกว้างขึ้น เศษเตาปรุงยาที่แตกกระจายพลันเปลี่ยนเป็นฝุ่นผงทันที

เมื่อเหล่าเซียนในห้องโถงหลักข้างบนรับรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น พวกเขาต่างกระจายสัมผัสวิญญาณออกเพื่อตรวจสอบว่าเกิดอะไรกันแน่ ทว่าขณะที่สัมผัสวิญญาณถูกส่งออกมาใต้พื้นดิน กลับถูกแรงกดดันอันทรงพลังต้านทานไว้ทำให้ทั้งหมดต้องถอนสัมผัสวิญญาณออกมาด้วยความตกใจ

ท้องฟ้าเหนือทั้งสำนักเมฆาฟ้าเปลี่ยนไปขณะที่แรงกดดันอันทรงพลังปะทุออกมาจากพื้นดิน มันให้ความรู้สึกราวกับทั้งสำนักเมฆาฟ้ากำลังสั่นสะเทือน

ก้อนเมฆสีรุ้งได้รวบรวมกันในท้องฟ้าและทั้งโถงหลักเริ่มสั่นเทา

เหล่าสำนักแตกต่างกันและตระกูลเซียนทั้งหลายได้เปลี่ยนสีหน้า มีไม่กี่คนที่เห็นเหตุการณ์เบื้องหน้านี้ต่างอุทานขึ้น “นี่มัน…มีใครบางคนกำลังบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด?”

เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา นอกจากเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดในห้อง คนอื่นๆต่างไม่เชื่อสายตา กล่าวได้ว่าการบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากและปกติแล้วต้องมีคนป้องกันท่านไว้ระหว่างกระบวนการนี้

ตอนนี้มีคนที่พึ่งจะบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดในสำนักเมฆาฟ้า ความคิดแรกของทุกคนคือสำนักเมฆาฟ้าจะได้รับเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดอีกคนแล้ว

ขณะที่สำนักรอบๆและตระกูลเซียนกำลังพูดถึงเรื่องความยินดี ซือหม่าหยุนนานหัวเราะออกมา “ยินดีกับสำนักเมฆาฟ้าที่จะมีขั้นวิญญาณแรกกำเนิดอีกคน ข้าสงสัยว่าข้ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่? ทำไมท่านไม่เชิญชวนเขามาให้พวกเราเห็นหน้ากัน?”

ซ่งฉิงและลิ่วเฟยมองหน้ากันเอง จากนั้นไปมองเหล่าผู้อาวุโส ผู้อาวุโสทั้งหมดพยายามคิดหนักว่าใครที่กำลังทะลวงสู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดตอนนี้แต่ไม่สามารถคิดได้ว่าเป็นใคร ดังนั้นทั้งหมดจึงส่ายศีรษะ

จึงทำให้ใบหน้าของคนทั้งสองเปลี่ยนเป็นน่ากลัว ใบหน้าซ่งฉิงมืดมัวขณะที่เขาเอ่ยอย่างช้าๆ “ขออภัยด้วยสหายซือหม่า แม้แต่ข้าก็อยากรู้เหลือเกินว่าเขาเป็นใคร หากเราสามารถชวนเขาออกมาที่นี่ได้เมื่อนั้นเรามั่นใจได้ว่าทุกคนจะพบเขาแน่นอน” น้ำเสียงแฝงความชั่วร้ายโดยเแฑาะคำเชิญชวนที่มีน้ำเสียงกระแทกกระทั้นอย่างมาก

ขณะที่ประโยคได้เปล่งออกมา คิ้วของเซียนทุกคนขมวดขึ้น หากไม่มีใครในสำนักเมฆาฟ้าที่กำลังพยายามบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด เช่นนั้นสถานการณ์แบบนี้นับว่าน่าสนใจอย่างมาก

ในเวลาเดียวกันเล่าเซียนทั้งหมดของสำนักหลายแห่งและเหล่าตระกูลเซียนต่างรู้สึกแฝงไปด้วยความเสียใจ คนผู้นั้นต่างไม่ฉลาดเลือกสถานที่ที่จะทะลวงสู้ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเสียจริง ดูเหมือนว่าวันที่เขาทะลวงผ่านจะเป็นวันตายของเขา

ใบหน้าของสำนักเมฆาฟ้ายิ่งใหญ่กว่าทุกอย่าง คนผู้นี้นับว่ากำลังหาที่ตาย!

ใบหน้าจ้าวสำนักชั้นนอกของสำนักเมฆาฟ้าได้มีหน้าตาน่ากลัว เขาฝืนยิ้มและเอ่ยขึ้น “ข้าต้องการเห็นว่าใครกันที่กล้าใช้ภูเขาเมฆาฟ้าของข้าเพื่อสร้างวิญญาณเซียน วิญญาณเซียนของมันเป็นของข้า!”

ใบหน้าลิ่วเฟยจมดิ่ง เขาสะบัดแขนเสื้อหายตัวไป ในขณะเดียวกันเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดได้ออกจากโถงหลัก ทั้งหมดนี้ออกมายืนดูด้วยความใครรู้ กล่าวได้ว่าสำนักเมฆาฟ้าเป็นสำนักอันดับหนึ่งในแคว้นซึ่งยากที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นได้

เหตุผลที่ทุกคนมารวมตัวในวันนี้ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะลืมกันไปแล้ว การบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดนั้นสำหรับงานจับคู่ฝึกฝนไม่อาจเปรียบเทียบได้

เพียงแค่พวกเขาออกมาจากโถงหลักและเดินไปถึงห้องสี่เหลี่ยม เตาปรุงยาชิงสวรรค์ทั้งเจ็ดเตาได้ส่งเสียงฟู่ๆ จากนั้นเตาทั้งเจ็ดถูกผลักออกไปข้างนอกราวกับมีมือล่องหนขยับไป รอยแตกปรากฎบนพื้นใจกลางห้องสี่เหลี่ยม

ชั้นอากาศหนาอันหนาวเย็นออกมาจากรอยแตกบนพื้นจึงทำให้ห้องสี่เหลี่ยมมีความหนาวเย็นมากนัก

แม้ว่าใบหน้าซือหม่าหยุนนานจะปกติดี ทว่าเขาลอบตกใจ กลิ่นอายรูปแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดธรรมดาจะสามารถปลดปล่อยออกมาได้

เขาหันไปมองคนอื่นๆในห้องสี่เหลี่ยม แม้ว่าจะมีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมากกว่าสิบที่มีใบหน้าสงบนิ่ง แต่แววตาพวกเขาต่างเผยให้เห็นว่าเคร่งเครียดแค่ไหน

ลิ่วเฟยพ่นลมหายใจหนาวเย็นออกมา เขาเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าเข้าไปในรอยแตกบนพื้นพร้อมกับตะโกน “สหายเซียนใช้สำนักเมฆาฟ้าของเข้าเพื่อบรรลุวิญญาณแรกกำเนิด เจ้าคิดหรือว่าจำผลักดันสำนักเมฆาฟ้าออกไปได้?”

ทันทีที่เขาเข้าไปในรอยแตกจึงเกิดเสียงกรีดร้องขึ้นจากข้างใน เสียงกรีดร้องนี้ออกมาจากลิ่วเฟยหลังจากที่เขาพูดจบประโยคและมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก

ทำให้เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดรอบๆทั้งหมดต่างถอยหลัง พวกเขามองรอยแตกด้วยใบหน้าเคร่งเครียดราวกับมีมารร้ายยุคโบราณอยู่ใต้นี้

พ่อของซุนเซินเว่ยซึ่งสวมชุดคลุมสีเทาไม่ได้ถอยหลังกลับแต่พุ่งไปข้างหน้า เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดในสำนักเมฆาฟ้าต่างนำสมบัติวิเศษของตัวเองออกมา

มาถึงจุดนี้ ซุนเซินเว่ยได้ออกมาจากโถงหลัก แต่เพราะเขาไม่ได้มีความสามารถเคลื่อนย้ายพริบตาได้เหมือนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด เขาจึงก้าวถอยหลังออกมาตามสัญชาตญาณ

ลี่มู่หวานค่อยๆเดินออกมาเช่นกัน นางมองเบื้องหลังซุนเซินเว่ยและมีใบหน้าเยาะเย้ย จากนั้นนางมองไปที่รอยแตกบนพื้นด้วยแววตาอ่อนโยน

ขณะที่ผู้อาวุโสชุดเทากำลังจะตรวจสอบรอยแตก เขาสังเกตซุนเซินเว่ยได้และกล่าวขึ้น “เซินเว่ยกลับเข้าไปข้างใน เจ้าไม่ควรออกมาที่นี่”

“เจ้าออกมาแล้ว อย่าจากไปเลย” เสียงอันเยือกเย็นราวกับลมหนาวเหน็บในฤดูหนาวดังออกมาจากรอยแตก

ร่างกายซุนเซินเว่ยอ่อนแรงขณะที่เขาฟุบลงบนพื้น เขาคุ้นเคยกับน้ำเสียงนี้ นี่เป็นน้ำเสียงที่ทำให้เขาเคร่งเครียดเมื่อไม่นานมานี้

เช่นนั้นร่างชายหนุ่มคนหนึ่งผมปลิวไสวสีขาวลอยขึ้นมาจากภายในรอยแตก มีดวงดาวสีม่วงเปล่งแสงหนึ่งดวงบนหน้าผาก เขาดูราวกับน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลายมาพันปี ขณะที่เขาปรากฎตัว รอบๆร้านต่างหนาวเย็นขึ้นทันที

ในมือขวาเขาถือศีรษะลิ่วเฟยขึ้นมา ขณะที่พุ่งขึ้นออกมาจากรอยแตก ใบหน้าลิ่วเฟยซีดเผือดและดวงตาหลับสนิทปรากฎขึ้น

ในเวลาเดียวกัน พ่อของซุนเซินเว่ยรีบก้าวถอยหลังพร้อมกับจ้องไปที่ชายหนุ่ม เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดคนอื่นของสำนักเมฆาฟ้าต่างมีสายตาเยือกเย็น

เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดจากหลากหลายแห่งพลันตกตะลึงยกเว้นซือหม่าหยุนนาน ทั้งหมดมองดูจากด้านข้างเงียบๆเพื่อหาว่าเหตุการณ์นี้จะเปลี่ยนไปทางไหน นอกจานั้นแม้แต่ลิ่วเฟยก็ไม่สามารถต้านทานคนผู้นี้ได้ เช่นนั้นแม้พวกเขาทั้งหมดจะช่วยเหลือก็คงไร้ประโยชน์

ซ่งฉิงสูดหายใจอันหนาวเหน็บ เขาสะบัดแขนไปหาผู้อาวุโสคนหนึ่ง ผู้อาวุโสคนนั้นนำหินหยกขึ้นมาและส่งมันออกไป ชายหนุ่มผมขาวหันมามองผู้อาวุโสและซ่งฉิงพร้อมกับเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย

จิตใจซ่งฉิงสั่นกระตุกทันที เขารู้สึกราวกับถูกมองทะลุทุกอย่าง เขาไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนตอนที่พบเจอกับท่านบรรพชนของสำนักจึงช่วยไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความหวาดกลัว

ส่วนผู้อาวุโสคนนั้นยิ่งแย่กว่า เขาทำหินหยกหล่นลงพื้นทันทีและไม่กล้าเคลื่อนไหว เขารู้สึกได้ว่าหากพยายามส่งหินหยกต่อไป ผลที่ตามมาไม่อาจจินตนาการได้

ซ่งฉิงสูดหายใจลึก เขามองลิ่วเฟยซึ่งอยู่ในมือขวาของชายผมขาว เขาฝืนสงบใจตนเองและกล่าวขึ้น “สหายเซียน เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิด! ความเข้าใจผิด!”

ชายหนุ่มผมขาวคนนี้คือหวังหลิน สายตากวาดผ่านฝูงชน เมื่อเขามองไปที่ลี่มู่หวาน สายตาแฝงไปด้วยความอ่อนโยน เขายกมือซ้ายขึ้น “ออกมา!”

ลี่มู่หวานยิ้มอย่างสวยงามขณะที่นางเดินเข้าหาหวังหลิน เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดแยกทางให้นางเดินขณะที่ไม่มีใครกล้าต่อสู้กับสำนักเมฆาฟ้าตอนนี้

ซือหม่าหยุนนานสูดหายใจลึกขณะที่ดวงตาสว่างขึ้น ซือหม่าหยุนนานเป็นคนที่ทะเยอทะยานอย่างมากแต่สำนักเมฆาฟ้ามักจะอยู่เหนือสำนักเฮ่าหรันของเขาเสมอ แม้ว่าเขาจะเกลียดพวกมันเต็มหัวใจแต่ไม่มีสิ่งใดที่เขาทำได้

เมื่อชายหนุ่มผมขาวผู้นี้ปรากฎตัว เขาจดจำคำอธิบายของซิ่วลี่ได้ทันที เขามั่นใจร้อยส่วนว่าคนผู้นี้เป็นตัววิบัติที่มาจากทะเลปิศาจ

แต่ถึงอย่างนั้นเขาไม่คิดว่าระดับฝึกตนของคนผู้นี้จะสูงพอที่จะสังหารลิ่วเฟยได้อย่างง่ายๆ จิตใจเขาจึงตกตะลึง

อย่างน้อยๆเขาก็ไม่สามารถมองเห็นระดับของลิ่วเฟยได้ ดังนั้นระดับฝึกตนของเด็กหนุ่มคนนี้เป็นบางสิ่งที่เขาไม่กล้าคิดถึง แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็มีความสุขอย่างมาก ด้วยความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนี้ มีโอกาสสูงที่สำนักเมฆาฟ้าจะถูกลบล้างออกไปวันนี้ โดยเฉพาะตอนที่ลิ่วเฟยที่เอ่ยว่าต้องการวิญญาณเซียนของเขา กลับกลายเป็นว่าถูกพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย วันนี้สำนักเมฆาฟ้าถือว่าเสียหน้ามากมายจริงๆ

ทุกคนได้เคลื่อนออกเป็นทางให้ลี่มู่หวานเดินเข้าหาหวังหลิน แม้กระทั่งซ่งฉิงซึ่งมีใบหน้าซีดเผือดต้องฝืนยิ้มและเดินหลีกทางให้

มีเพียงชายชุดเทาคนเดียวที่มีใบหน้าฉุนเฉียวเพราะลี่มู่หวานเกือบจะได้เป็นลูกสะใภ้ของเขาแล้ว นางเดินเข้าหาคนที่เขาเรียกนางทันทีซึ่งทำให้เขารู้สึกอับอาย

แต่เขาเป็นคนฉลาดมาก แม้ความโกรธจะปะทุไว้ข้างในทว่าใบหน้าเปลี่ยนเป็นปกติอย่างรวดเร็วขณะที่เดินหลีกทางให้

ลี่มู่หวานเดินผ่านเหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดอย่างช้าๆ ปกติตอนที่พวกเขาพบนาง แม้จะทักทายด้วยรอยยิ้มพวกเขายังหยิ่งจองหองและพูดจาถือดี แต่ในวันนี้เหล่าเซียนพวกนี้ต่างแสดงสีหน้าและท่าทางหวาดกลัวต่อนาง

ลี่มู่หวานรู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนผู้หนึ่ง คนผู้ที่ทำให้พวกเขากลัว คนที่ทำให้พวกเขาหวาดหวั่น คนที่สังหารลิ่วเฟยได้อย่างง่ายดาย คนคนนี้เป็นบุรุษของนาง หวังหลิน

หลังจากนางมาถึงข้างหวังหลิน ลี่มู่หวานเผยรอยยิ้มราวกับดอกไม้บาน ขณะนั้นลี่มู่หวานรู้สึกพึงพอใจลึกๆในใจ

สายตาหวังหลินกวาดผ่านและจรดลงซุนเซินเว่ย ใบหน้าซุนเซินเว่ยซีดขาวขณะที่เขาถูกหวังหลินจ้อง รอยยิ้มอ่อนโยนแต่เดิมหายไปถูกแทนที่ด้วยความเกลียดชัง

หวังหลินกล่าวเบาๆ “ตาย!”

ขอบเขตจวี่เคลื่อนไหวทันทีและทั้งห้องสี่เหลี่ยมถูกปกคลุมด้วยสัมผัสวิญญาณอันทรงพลังเหนือจินตนาการ เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดสูดหายใจลึก พลังของพวกเขาสั่นสะท้านเกือบจะหลุดจากการควบคุม

ความรู้สึกที่ทิ้งไว้นี้มันเร็วหยั่งคาด ซุนเซินเว่ยตัวสั่นเทาจากนั้นสายตาเลื่อนลอย ร่างกายตกลงบนพื้นและบิดเล็กน้อยก่อนจะแน่นิ่งไป

ชายชุดคลุมสีเทาจดจ้องซุนเซินเว่ยอย่างตกตะลึงขณะที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง เขารีบเคลื่อนร่างเข้าหาซุนเซินเว่ยและนำขวดยาออกมาจากกระเป๋า ทว่าฝ่ามือสั่นเทาจนทิ้งขวดออกไป เขาจ้องหวังหลินและร้องตะโกน “ทำไมกัน?!”

หวังหลินส่ายแขนขวา ร่างลิ่วเฟยสั่นเทาขณะที่ลืมตาขึ้น ใบหน้าเขาซีดเผือดและระดับฝึกฝนถูกข่มไว้ด้วยพลังลึกลับ ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะที่เขาตะโกนขึ้น “ถ้าเจ้าต้องการฆ่าข้าก็จงฆ่าข้าซะ ทำไมต้องให้ตาเฒ่าคนนี้อัปยศอดสูเช่นนี้?”

จิตใจซ่งฉิงกระวนกระวายมาก แม้ว่าเขาไม่ได้ส่งข้อความใดให้กับเหล่าบรรพชน พวกเขายังรับรู้ไว้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ทำไมพวกเขายังไม่อยู่ที่นี่อีก?

เขาสูดหายใจลึก ที่เขาทำได้ตอนนี้คือยื้อเวลาไว้ พลันจึงฝืนยิ้มและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส สำนักเมฆาฟ้าไม่รู้ว่าอาวุโสลี่เป็นสหายของท่าน ข้าขออภัยที่ล่วงเกินท่าน เรื่องนี้เป็นความผิดของสำนักเมฆาฟ้า ท่านไปห้องโถงหลักกับข้าจะว่าอย่างไรและข้าจะแต่ตั้งให้ท่านเป็นผู้อาวุโส”

ด้วยอายุของเขาจะไม่รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร? เขาลอบคิดว่าเหล่าบรรพชนช่างจมูกยาวเสียจริงๆ ลี่มู่หวานทำได้ดีมากแต่พวกเขาต้องสร้างความยุ่งยากให้นางซึ่งทำให้สหายของนางมาหา เรื่องการตายของซุนเซินเว่ยแล้วเขาไม่คิดมากนัก ในความคิดของเขาซุนเซินเว่ยเป็นเพียงศิษย์หลักของสำนักชั้นนอกเท่านั้น

หวังหลินปฏิเสธซ่งฉิงแต่ชี้ไปที่ผู้อาวุโสชุดสีเทาและกล่าวอย่างช้าๆ “ธุระวันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของข้าเอง หากใครกล้าก้าวก่าย อย่ากล่าวหาว่าข้าโหดร้าย”

ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขณะที่เขาตบกระเป๋าและกระบี่เหินสีม่วงเจ็ดเล่มลอยออกมา เมื่อกระบี่ปรากฎ พวกมันปลดปล่อยพลังปราณมหาศาล เขาใช้ระดับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของตนเองเพื่อควบคุมกระบี่ทั้งเจ็ดเล่มโจมตีหวังหลิน

ลิ่วเฟยเผยใบหน้าผิดหวัง แต่ในที่สุดเขาถอนหายใจและไม่เอ่ยอะไรอีก ก่อนที่เขาจะเข้าไปในรอยแตก เขาถูกพลังทำลายล้างอันทรงพลังล้อมรอบไว้ เขารู้สึกว่าวิญญาณเซียนของตัวเองหลุดจากการควบคุมและรู้ได้ว่าหวังหลินเพียงคิดจะสังหารเขาเท่านั้น

เขาไม่ได้รู้สึกว่านั่นเป็นเวลานาน แม้กระทั่งเหล่าบรรพชนก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น นอกจากนั้นระดับฝึกฝนของลิ่วเฟยได้ถึงขั้นวิญญาแรกกำเนิดระดับกลางขั้นสูงสุด อีกเพียงก้าวเดียวจากระดับปลายเท่านั้น

ใบหน้าหวังหลินยังสงบนิ่ง สำหรับกระบี่เหินทั้งเจ็ดเล่มที่ตรงเข้าหาเขา หวังหลินเมินเฉยอย่างสิ้นเชิง ขอบเขตจวี่ของเขาเคลื่อนไหวอีกครั้งและแสงสีแดงกระพริบผ่านแววตา

ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เพียงกระพริบตาหนึ่งครั้ง ร่างชายชราชุดคลุมสีเทาไอออกมาเป็นเลือดขณะที่ดวงตาเลื่อนลอย วิญญาณเซียนของเขาผุดออกมาจากศีรษะและพยายามหลบหนี

ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เขาตบกระเป๋าและนำเอากระจกสีทองแดงออกมา มือทั้งสองสร้างผนึกพร้อมกับที่โยนกระจกทองแดงออกไปด้วย กระจกเรืองแสงสีเขียวขณะที่ร่อนลงบนวิญญาณเซียนที่กำลังหลบหนีทันที

วิญญาณปลดปล่อยควันสีเขียวพร้อมกับกรีดร้อง

หวังหลินสะบัดแขนขวาและเก็บกระจกทองแดงกลับไป เขากำวิญญาณเซียนด้วยใบหน้าเลือดเย็นขณะที่สะบัดแขนและกวาดจิตสำนึกของวิญญาณเซียนออกไป เขาวางวิญญาณเซียนให้กับลี่มู่หวานและเอ่ยขึ้น “นำสิ่งนี้ไปปรุงยา”

ลี่มู่หวานมีรอยยิ้มหวานขณะที่นางเก็บใส่กระเป๋าอย่างเชื่อฟัง นางพยักหน้าและกล่าวอย่างเรียบร้อย “ตกลง สิ่งนี้ควรจะสร้างเม็ดยาวิญญาณระดับสูงได้”

รอบด้านเงียบกริบ ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงหลักพึ่งจะปรากฎตัวในห้องสี่เหลี่ยมและพวกเขาพึ่งจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่มีใครกล้าหายใจเสียงดังขณะที่มองหวังหลิน ซิ่วลี่ซึ่งเป็นหนึ่งในพวกเขารีบก้มศีรษะลงต่ำเพื่อปิดบังความตกใจของเขา

ส่วนเหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของสำนักเมฆาฟ้า พวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรขณะที่มองหวังหลินด้วยความเกรงกลัว

เซียนขั้นวิญาณแรกกำเนิดสำนักอื่นทั้งหมดต่างถอยหลังออกไปยิ่งขึ้น พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

หลังจากที่ชายชราชุดคลุมสีเทาถูกสังหารไม่นานนัก หวังหลินขยับร่างโดยไม่ลังเล เขาสะบัดแขนขวาและร่างลิ่วเฟยถูกบังคับให้ติดตามไปใกล้ๆด้วยพลังล่องหน หวังหลินกอดลี่มู่หวานขณะที่พุ่งเข้าไปหาผู้อาวุโสของสำนักเมฆาฟ้าที่อยู่ใกล้สุด

ใบหน้าผู้อาวุโสคนนั้นเปลี่ยนไปทันทีขณะที่พยายามเคลื่อนที่พริบตา ทว่าขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนไหวพลันสัมผัสแรงกดดันที่ไม่อาจจินตนาการได้ล้อมรอบเขาราวกับถูกล้อมไว้ด้วยแขนยักษ์ เขาไอออกมาเป็นโลหิตทันทีขณะที่ฝืนใช้เคลื่อนที่พริบตา เขารู้สึกหนาวเย็นบนหน้าท้องขณะที่มองลงไปพลันเห็นวิญญาณเซียนได้ถูกเอาไปแล้ว

ณ ขณะนั้นร่างหวังหลินได้เคลื่อนหาผู้อาวุโสคนถัดไปแล้ว เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดถอยหลังกลับและใช้สมบัติวิเศษหลายอย่างเพื่อโจมตีหวังหลิน

เหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดไม่ใช่คนที่ต่อกรได้ง่ายๆ พวกเขาทั้งหมดต่างมีเกียรติของตนเอง หากสู้หนึ่งต่อหนึ่งพวกเขาอาจจะวิ่งหนี แต่เมื่อต่อสู้หลายคนต่อหนึ่งคนแม้ระดับของพวกเขาไม่ได้สูงมากแต่พวกเขายังกล้าต่อสู้

แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเหล่าผู้อาวุโสพวกนี้ต่างรู้ว่าท่านบรรพชนกำลังมาที่นี่ในไม่ช้า

ทว่าพวกเขายังลังเลเล็กน้อยตอนที่ใช้สมบัติวิเศษของตนเองเพราะว่าลิ่วเฟยอยู่ใกล้กับหวังหลิน ซึ่งทำให้การโจมตีของพวกเขาช้าลงเล็กน้อย

ขณะนั้นสัมผัสวิญญาณอันแข็งแกร่งห้าจุดปรากฎในส่วนลึกของสำนักเมฆาฟ้า ในไม่นานทั้งห้าร่างพุ่งออกมาจากภายในภูเขาลึกราวกับอุกกาบาต ความเร็วของแต่ละคนเร็วมากกว่าการใช้เคลื่อนที่พริบตาหลายเท่าจนมาถึงตำแหน่งที่หวังหลินอยู่

เกือบทันที ทั้งห้าคนมาถึงน่านฟ้าเหนือห้องโถงหลัก

“หยุดซะ!” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากท้องฟ้าราวกับพายุคำราม

แม้ว่าความเร็วของพวกเขาถือว่าเร็วมาก แต่ความเร็วของหวังหลินนับว่าเร็วกว่า ร่างกายเขาไม่ได้หยุดลงแม้เพียงหนึ่งวินาทีขณะที่กอดลี่มู่หวานและสังหารผู้อาวุโสสำนักเมฆาฟ้าทั้งหมดไปด้วย

ขอบเขตจวี่ของหวังหลินกระพริบถี่ แสงสีแดงเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งในแววตา พริบตาเดียวหวังหลินได้สังหารเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมากกว่าสามคนตอนที่พวกเขายังไม่ทันตั้งตัว หวังหลินนำวิญญาณเซียนให้ลี่มู่หวานเพื่อปรุงยา แม้วิญญาณเซียนบางคนพยายามหนี แต่ก็หนีไม่รอดจากการไล่ล่าของกระจกทองแดง

ทำให้เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่สำนักเมฆาฟ้ามีเก้าคนรวมลิ่วเฟยและซ่งฉิง มีห้าคนได้ถูกสังหาร ส่วนลิ่วเฟยไม่ว่าเขาจะอยู่หรือตายไม่มีใครรู้

ณ จุดนี้มีเพียงเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่เหลืออยู่สามคนเท่านั้นซึ่งรวมถึงซ่งฉิงด้วย เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งสามคนยืนติดกันเผยให้เห็นใบหน้าหวาดกลัวหวังหลินอย่างระงับไม่ได้

ความจริงหากเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดนั้นรุมโจมตีหวังหลินในทีเดียว แม้ว่าหวังหลินจะสังหารพวกเขาทั้งหมดได้แต่ก็บาดเจ็บสาหัสแน่ นั่นทำให้หวังหลินไม่พุ่งเข้าไปในครั้งแรกแต่กลับรอให้ใครสักคนเข้ามาค้นหาเขาก่อน

เป็นเหตุที่เขาไม่สังหารลิ่วเฟยหรือคนอื่นในครั้งแรกเพราะต้องการใช้โอกาสที่ระดับฝึกฝนทรงพลังของเขาเพื่อให้ทุกคนตกตะลึง เขาใช้การตื่นตกใจนี้เพื่อพาให้ลี่มู่หวานออกมาหาเขาอย่างปลอดภัย จากนั้นจะไม่เหลือเรื่องอะไรให้กังวลอีกต่อไป

สำหรับการต่อสู้นี้เป้าหมายของหวังหลินคือให้เกิดการตกใจและความเกรงกลัว เขาใช้จังหวะที่สร้างขึ้นมาสังหารพ่อของซุนเซินเว่ยพร้อมกับเป็นโอกาสในเริ่มการล่าสังหาร

ทั้งหมดที่เขาทำก็เพื่อให้เหล่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดพวกนี้ไม่สามารถรวมกลุ่มและโจมตีเขาได้

ในเวลาเดียวกัน ลิ่วเฟยถือเป็นตัวเอกของเขา หากพวกเขารวมกลุ่มและโจมตีขึ้นได้ เช่นนั้นเขาจะใช้ลิ่วเฟยเป็นโล่เนื้อทันที

เหตุผลที่เขาไม่ได้สังหารคนนอกคนใดเพราะป้องกันไม่ให้พวกเขาแทรกแทรง หลังจากแสดงพลังอำนาจของตัวเองออกไป เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดคนอื่นๆทั้งหมดจะเต็มไปด้วยความกลัว

หลังจากสังหารคนทั้งสามคนนั้น หวังหลินหยุดลงและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาเห็นชายชราผมขาวทั้งห้าคนมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version