242. พั่วหนานจื่อ
เทือกเขาเหิงยั่ว สำนักซวนต้าว
หลังภูเขาตำแหน่งที่ที่หวังหลินฝึกฝนเมื่อกาลก่อน มีรูนับไม่ถ้วนถูกสร้างเป็นถ้ำหลายแห่ง บนยอดภูเขาเป็นเพียงถ้ำตามธรรมชาติและพั่วหนานจื่อกำลังฝึกฝนอยู่ข้างใน
ผ่านไปสี่ร้อยปีรูปร่างของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักเล็กน้อย
เสียงหยดน้ำจากเพดานดังก้องในถ้ำติ๋งติ๋ง
แสงประหลาดเรืองขึ้นจากใบหน้าพั่วหนานจื่อเป็นเวลาจนมันเปลี่ยนกลับไปกลับมา เขาค่อยๆลืมตาขึ้น แสงที่เปล่งออกมาราวกับมีดวงดาราอยู่ในนั้น
พั่วหนานจื่อยกมือขวาขึ้นและสร้างผนึก ใบหน้ายังคงเดิมจากนั้นสะบัดแขนตรงไป ก้อนหินเบื้องหน้าเขาพลันเริ่มส่องแสง
ไม่นานนัก จุดแสงจำนวนสิบจุดปรากฎบนกำแพงหิน
ทว่าขณะที่จุดแสงทั้งสิบจุดปรากฎ หกในสิบหมองลงทันทีและหายไป
ใบหน้าพั่วหนานจื่อบิดเบี้ยวเล็กน้อยและมืดมน อากาศรอบตัวเขาค่อยๆลดลง และในไม่นาน กระทั่งหยดน้ำจากเพดานก็ยังหยุด
หากเซียนขั้นตัดวิญญาณคนใดอยู่รอบๆ สายตาพวกเขาคงสว่างขึ้นเพราะเกิดการผันผวนของพลังปราณรอบๆในการใช้วิชาที่มีเพียงขั้นตัดวิญญาณสามารถใช้ได้
พั่วหนานจื่ออยู่ที่ชายขอบขั้นตัดวิญญาณ สำหรับเขาแล้วมันนับว่าไม่ไกลเกินเอื้อม มีเพียงสิ่งเดียวที่แยกเขาออกจากขั้นตัดวิญญาณก็คือม่านกระดาษบางๆแผ่นหนึ่งและที่เขาจำเป็นต้องทำก็คือหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อทะลวงผ่าน
พั่วหนานจื่อจ้องไปที่จุดแสงบนกำแพง หลังเวลาผ่านไปนานเขาถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “เถิงฮว่าหยวน ใครให้เจ้าพาภัยพิบัติเช่นนี้มาให้ตัวเองเล่า?”
“หากไม่ใช่ว่าท่านฉือต้องการใช้ตระกูลเถิงเป็นการทดลองโดยเฉพาะ ข้าคงไม่ต้องการเจรจาธุรกิจอะไรกับตระกูลเถิงเสียจริงๆ!” ใบหน้าพั่วหนานจื่อมืดหม่น กระทั่งเขาก็ไม่รู้ว่าท่านฉือเลือกตระกูลเถิงมาเพราะอะไร
หากไม่ใช่เรื่องนั้น เพียงแค่ทรัพยากรของตระกูลเถิงคงไม่มีทางจะเกิดเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดถึงเก้าคนและเถิงฮว่าหยวนคงไม่ได้แข็งแกร่งเกือบเท่าพั่วหนานจื่อในเวลาแค่สี่ร้อยปี
เขาครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นยืนขึ้นสะบัดแขนเสื้อ และหายไปจากจุดนั้น
เมื่อปรากฎตัวอีกครั้งก็อยู่บนยอดภูเขาเหิงยั่วแล้ว พั่วหนานจื่อคุกเข่าลงหนึ่งข้างจดจ้องไปบนท้องฟ้าและสร้างผนึกแตกต่างกันหลายแบบในฝ่ามือ ขณะที่ผนึกสร้างขึ้นพลันปรากฎก้อนเมฆมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันที่มองไม่เห็นสร้างขึ้นอย่างช้าๆในท้องฟ้า
จากนั้นพั่วหนานจื่อสะบัดแขนและพูดขึ้น “ข้าพั่วหนานจื่อจากแคว้นอันดับล่าง ขอยืมสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง”
ขณะที่เอ่ยประโยคนั้น ลำแสงสองเส้นเป็นสีเขียวและสีแดงพุ่งออกมาจากภูเขาเหิงยั่ว ลำแสงนี้ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆและพลังปราณทั้งหมดในแคว้นจ้าวเริ่มรวบรวมไปที่ภูเขาเหิงยั่ว ลำแสงทั้งสองเส้นร่อนมาถึงพั่วหนานจื่อ พวกมันหมองลงในไม่ช้าและเผยให้เห็นร่างที่แท้จริง
ร่างที่แท้จริงของพวกมันคือแผ่นจานวิเศษสองแผ่น บนแผ่นจานวิเศษมีใบมีดสี่เล่มที่เปล่งแสงอันเยือกเย็นออกมา แม้กระทั่งเกิดรอยแยกในอากาศรอบๆพวกมัน
กล่าวได้ง่ายๆว่าของสิ่งนี้ไม่ใช่สมบัติขั้นวิญญาณแรกกำเนิดและมันถูกสร้างมาจากใครสักคนที่มีขั้นตัดวิญญาณหรือสูงกว่า
พั่วหนานจื่อหมอบคลานอย่างเคารพ จากนั้นก็ประทับสัมผัสวิญญาณไว้ในของวิเศษและเก็บใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง เพียงหลังจากนั้นจึงผ่อนคลาย เขาเริ่มเปล่งจิตสังหารอันทรงพลังและพึมพำ “เถิงฮว่าหยวน นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าช่วยเจ้า หากภายในหนึ่งร้อยปี ตระกูลเถิงยังไม่มีเซียนขั้นตัดวิญญาณสักคนก็จงอย่าดุด่าว่าข้าโหดร้ายต่อตระกูลเถิง!”
สิ้นคำพูดเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อพลังปราณพุ่งพล่าน หวังหลินจึงรับรู้ได้ แม้ว่าใบหน้าเขาจะไม่เปลี่ยนไปแต่จิตใจจมดิ่งลง ถึงอย่างนั้นเขาหายใจเย็นเยียบและพุ่งตรงไปทิศทางของสมาชิกหลักตระกูลเถิงคนสุดท้าย
ที่ชายแดนของแคว้นจ้าวมีมิติลึกลับมากอยู่แห่งหนึ่ง ทุกครั้งที่มีคนธรรมดาเข้ามาในสถานที่แห่งนี้จะรู้สึกหวาดกลัว กระทั่งเหล่าเซียนยังขวัญอ่อน
มันเป็นหลุมโคลนสีดำขนาดยักษ์
หลุมนี้เต็มไปด้วยโคลนสีดำที่เปล่งกลิ่นเตะจมูก ไม่มีใครนอกจากคนเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าหลุมโคลนนี้ลึกแค่ไหน
ทุกๆหนึ่งร้อยปีหลุมโคลนนี้จะระเบิด และทุกครั้งที่ระเบิดจะเป็นภาพน่าตกใจ
ส่วนใหญ่แล้วที่นี่เป็นสถานที่ต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา เหล่าเซียนหรืออสูร เมื่อไหร่ที่เข้าไปในระยะของหลุมโคลน พวกเขาจะถูกดึงเข้าไปโดยพลังดึงดูดที่แข็งแกร่งและถูกฝังทั้งเป็น
หลังจากเวลาผ่านไปนานชั่วขณะ สายหมอกสีดำปรากฎขึ้นเงียบๆและปกคลุมทั่วพื้นที่
สี่ร้อยปีที่ผ่านมาที่นี่ถูกพิจารณาว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในแคว้นจ้าว เรียกกันว่า หลุมโคลนดำ
ในส่วนลึกที่สุดของหลุมโคลนดำมีโลงศพอยู่โลงหนึ่งสร้างจากผลึกสีดำ โลงศพผลึกดำนี้ไม่ได้ถูกปกคลุมไปด้วยโคลนดำ กล่าวได้ว่ามีชั้นกระดูกหนาๆระหว่างโลงศพและโคลนดำกั้นไว้
ในกระดูกพวกนี้ต่างเป็นกระดูกมนุษย์และอสูรทั้งนั้นซึ่งเป็นกลุ่มของคนที่ถูกดูดเข้ามาในรอบสี่ร้อยปีที่ผ่านมา
สถานที่แห่งนี้เป็นของคนที่เถิงปา(แปด)กลัวที่สุด มันเป็นสถานที่ฝึกฝนของเถิงอี(หนึ่ง)
เถิงอีเป็นตำนานหนึ่งในตระกูลเถิง
คนผู้นี้ไม่ได้เป็นลูกหลานของเถิงฮว่าหยวน กล่าวให้ถูก เขาเป็นน้องชายของเถิงฮว่าหยวนจะถูกกว่า
เขาเป็นเพียงสมาชิกหลักตระกูลเถิงเพียงคนเดียวที่ไม่มีใครกล้าท้าทายตำแหน่งและถือครองชื่อเถิงอีมานานสี่ร้อยปี
เมื่อหวังหลินเข้าใกล้ในรัศมีหนึ่งพันลี้ของหลุมโคลน เขารับรู้ได้ว่าสถานที่แห่งนี้พิเศษนัก หลังขบคิดเล็กน้อยจึงตัดสินใจไม่ใข้อสูรยุงต่อไปและเหาะเหินด้วยตัวเอง
แทบในทันทีที่หวังหลินเข้ามาในระยะของหลุมโคลน มืออันแห้งเหี่ยวข้างหนึ่งโผล่ออกมาจากหลุมศพ โครงกระดูดที่เหมือนกับผู้ชายยืนขึ้นอย่างช้าๆ
ตลอดทั้งร่างของเขาเป็นสีดำและไม่มีกล้ามเนื้อในร่างกายเลย บนศีรษะมีรอยจ้ำไม่กี่แห่ง ทั้งร่างของเขาดูน่ากลัวอย่างมาก
ในดวงตาเขา แสงเรืองรองค่อยๆสว่างขึ้นจากนั้นเขาค่อยๆเงยศีรษะขึ้นไป
ชั่วขณะนั้นหวังหลินอยู่เหนือหลุมโคลนดำ ใบหน้ายิ่งเคร่งเครียดมากกว่าเดิมและธงกฎเกณฑ์ออกมาลอยถัดจากเขาเรียบร้อย หวังหลินมองไปที่หลุมโคลน ดวงตาเรืองแสงสีแดงโดยไม่ลังเลและสายฟ้าขอบเขตจวี่หลายชุดพุ่งเข้าไปในโคลนดำ
ลึกลงไปในหลุมโคลน แสงน่ากลัวในแววตาชายในหลุมดำเรืองแสงขึ้นขณะที่มองสายฟ้าแดงหลายชุดพุ่งลงมา ชายคนนั้นยกแขนกระดูกและสัมผัสหนึ่งในสายฟ้าแดง
ตูมมมมมม
ทันใดนั้นเกิดเสียงดังก้องกังวาล สายฟ้าแดงหายไปอย่างไร้ร่องรอยและรอยร้าวปรากฎบนนิ้วมือเขา
เขาเลียริมฝีปาก แสงอันน่ากลัวในแววตาพลันเกิดแรงกระตุ้นการต่อสู้ขึ้น เขายืนขึ้นอย่างเชื่องช้า ขณะนั้นมีสายฟ้าแดงอีกหลายชุดติดตามมาแต่กลับถูกนิ้วของเขาป้องกันไว้
ในที่สุดสายฟ้าสีแดงทั้งหมดถูกป้องกันไว้ แต่ทั้งแขนขวาต่างเต็มไปด้วยรอยร้าว เขามองแขนตัวเองและเขย่ามันพลันเปลี่ยนไปเป็นฝุ่นผงทันที
เขาดูไม่สนใจใยดี ร่างกายเปล่งพลังอำนาจที่จะต่อสู้ เขายิ้มขึ้นมาพร้อมกับพุ่งไปเบื้องบน
ใบหน้าหวังหลินกลับน่าเกลียดน่ากลัวอย่างมาก เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าเสายฟ้าแดงที่สร้างจากขอบเขตจวี่ถูกป้องกันไว้ด้วยราคาของแขนข้างเดียว
เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หวังหลินสามารถยืนยันได้ว่าระดับฝึกฝนของเขายังไม่ใช่ขั้นตัดวิญญาณแต่กลับสามารถป้องกันการโจมตีของขอบเขตจวี่ได้เช่นนี้
ขณะที่ชายคนนั้นเริ่มพุ่งขึ้นมา ธงกฎเกณฑ์ล้อมรอบพื้นที่โดยไม่ลังเล จากนั้นเขาสร้างผนึกขึ้นและกฎเกณฑ์เก้าสิบรูปแบบเปลี่ยนไปเป็นรูปมังกรและพุ่งเข้าหาหลุมโคลน
ชายร่างผอมเผยใบหน้าตกตะลึงต่อกฎเกณฑ์ เขาไม่ได้หลบเลยและยอมให้กฎเกณฑ์ปะทะเข้ากับร่างกาย
ทันใดนั้นรอยร้าวนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นทั่วร่าง หลังจากกฎเกณฑ์รูปแบบสุดท้ายร่อนลง แม้ว่าทั้งร่างจะปกคลุมไปด้วยรอยร้าวแต่เขาไม่ได้ลดความเร็วลงเลย
หวังหลินมีใบหน้ามืดหม่นขณะที่ถอยกลับอย่างรวดเร็ว เขาสร้างผนึกขึ้นและชี้ไปขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับกฎเกณฑ์มากกว่าเก้าสิบรูปแบบลอยออกมา
ชายร่างผอมมองรอยร้าวบนร่างกายตนเองและจากนั้นมองหวังหลิน เขาเลียริมฝีปากขณะที่หายไปจากจุดนั้น
หวังหลินหลบไปด้านข้างโดยไม่ลังเลพร้อมกับเกิดเสียงฉีกขาด ปลายเสื้อคลุมหวังหลินฉีกแคว่กออกจากกัน ด้านขวาที่หวังหลินอยู่มีชายร่างผอมปรากฎขึ้นพร้อมกับถือเศษเสื้อหวังหลินไว้ แววตาของเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้
หนังศีรษะหวังหลินลุกซู่เมื่อจ้องชายร่างผอม หากเขาช้ากว่านี้คงโดนชายร่างผอมโจมตีถูกไปแล้ว
กฎเกณฑ์คล้อยลงมามากขึ้นขณะที่ดวงตาหวังหลินมืดหม่นลงและกฎเกณฑ์พุ่งเข้าหาชายร่างผอม
ชายร่างผอมมีใบหน้าตกตะลึงอีกครั้ง เขาไม่ได้หลบและปล่อยให้กฎเกณฑ์โจมตีโดนอย่างง่ายๆจนทำให้รอยร้าวในร่างกายเพิ่มมากกว่าเดิม
แววตาหวังหลินเรืองรอง ก่อนที่กฎเกณฑ์ทั้งหมดจะร่อนลง เขากระทั่งใช้พลังปราณจำนวนมากเพื่อเรียกกฎเกณฑ์โจมตีมากกว่าเดิม ในเวลาเดียวกันนั้นร่างกายเขาก็ไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว ขณะที่ควบคุมกฎเกณฑ์อยู่ สายฟ้าขอบเขตจวี่ก็พุ่งออกไปนับไม่ถ้วน
ชายร่างผอมคนนั้นยังไม่เคลื่อนไหว เมื่อขอบเขตจวี่กำลังจะร่อนลงไปถึงนั้นเขายกแขนซ้ายขึ้นมาป้องกันไว้ รอยร้าวปรากฎบนร่างกายมากขึ้นและแขนซ้ายเริ่มกลายเป็นฝุ่น
การต่อสู้ครั้งนี้น่าประหลาดยิ่งนัก ประสบการณ์การต่อสู้ของหวังหลินอาจกล่าวได้ว่าราบรื่นมาก แต่เขาไม่เคยเจอการต่อสู้ประหลาดเช่นนี้มาก่อน